แถบผ้าสีม่วงพวกนั้นราวกับเถาวัลย์ไร้เทียมทาน พวกมันพันรอบร่างนักดาบตาเดียวอย่างบ้าคลั่ง และรัดร่างอย่างต่อเนื่อง นักดาบตาเดียวหน้าถอดสี เขาอยากดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการของแถบผ้าสีม่วงนั่น แต่กลับพบว่าตัวเองทำไม่ได้ ทำให้สีหน้าได้ใจหายวับไป แทนที่ด้วยความหวาดกลัว
“เพียะ!” ขณะนั้นเสียงหนึ่งดังกึกก้อง พบว่ากงซุนหลิงเอ๋อร์กำลังควบแน่นพลัง ฝ่ามือั์ไร้รูปร่างก่อตัวที่กลางอากาศ ก่อนจะตบหน้านักดาบตาเดียว จนแก้มข้างนั้นแดงเถือก
“นังสารเลว เ้ากล้า…”
“เพียะ!” ไม่รอให้นักดาบตาเดียวตั้งตัว จู่ ๆ ฝ่ามือเรียวของกงซุนหลิงเอ๋อร์ก็ฟาดไปที่แก้มของนักดาบตาเดียวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หนักกว่าเมื่อครู่นี้มากจนไม่รู้ว่าฟันของนักดาบตาเดียวหลุดกี่ซี่ รอยฝ่ามือก็ปรากฏเด่นชัด
“นังสารเลว ข้าจะ…” นักดาบตาเดียวโมโหจนเืขึ้นหน้า ทว่ากงซุนหลิงเอ๋อร์ไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสใด ๆ ฝ่ามือเรียวของนางฟาดไปที่เขาไม่ยั้ง
“เพียะ ๆ ๆ!” เสียงดังกังวาน แม้เป็เพียงการตบหน้า แต่ไม่ว่าการโจมตีใดก็มิอาจทนไหว โดยเฉพาะนักดาบตาเดียวที่ต้องทนต่อการโจมตีส่วนศีรษะ ด้วยการตบของกงซุนหลิงเอ๋อร์อย่างไม่หยุดยั้ง ไม่นานนักดาบตาเดียวก็หมดสติไป แม้จะตื่นขึ้นมา แต่สมองก็ได้รับผลกระทบอย่างมากจนกลายเป็คนเสียสติ
จากนั้นกงซุนหลิงเอ๋อร์เช็ดมือตน ก่อนจะเดินออกมาพร้อมเก็บแถบผ้าสีม่วง ตามมาด้วยเสียงดังปัง กงซุนหลิงเอ๋อร์เตะร่างนักดาบตาเดียวอย่างแรงจนกระเด็นไปกระแทกผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์อีกสองคน ทำให้สองคนนั้นโอดครวญ
“นี่...” ผู้คนต่างต้องเบิกตาโพลงด้วยความใ พวกเขามองนักดาบตาเดียวที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นก็อดใจเต้นแรงไม่ได้ และขนก็ยังลุกเกรียว ซึ่งไม่มีใครคิดว่าหญิงสาวอายุ 15-16 ปีจะมีพลังที่น่าหวาดกลัวเพียงนี้ ถึงขนาดตบหน้านักดาบตาเดียวจนกลายเป็คนเสียสติ
“หญิงผู้นี้มาจากไหนกัน ทำไมร้ายกาจเพียงนี้?” จ้าวหยางเอ่ยถามคนข้าง ๆ
“ข้าน้อยมิทราบ ในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนไม่เคยมีคนผู้นี้ปรากฏตัวมาก่อน หากอายุจริงเหมือนภาพลักษณ์ของนาง เช่นนั้นความก้าวหน้าตบะของนางก็ไม่มีผู้ใดในอาณาจักรจ้าวตามทัน!” คนผู้นั้นกล่าวขึ้น เมื่อจ้าวหยางได้ยินก็เผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ส่วนสีหน้าของเซิ่งอ๋องก็ดูไม่ได้เช่นกัน เขาและองค์ชายใหญ่เตรียมตัวมาเป็อย่างดี แต่กลับล้มเหลวเพราะการปรากฏตัวของเย่เฟิงอย่างนั้นหรือ?
ไม่นานนัก กงซุนหลิงเอ๋อร์ก็ไปเข้าร่วมศึกของเยว่กู่กับหลิวฉางเฟิง ซึ่งผู้าุโขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนได้เปรียบด้านขั้นพลัง น่าจะจัดการหยางจงได้ ก่อนหน้านี้เยว่กู่และหลิวฉางเฟิงถึงทางตันมิอาจจบศึกได้ ทว่าเมื่อกงซุนหลิงเอ๋อร์เข้าร่วม สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปทันที
ศัตรูล้อมหน้าล้อมหลังหลิวฉางเฟิง เขาจึงมิอาจทนได้นาน จากนั้นเขาถูกหมัดของเยว่กู่ซัดต่อเนื่องสามครั้ง จนอาเจียนออกมาเป็ลิ่มเื ทางด้านหยางจงเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้าุโขั้นยุทธ์แท้ที่ 8 ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนคนนั้น ท้ายที่สุดฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็ได้รับชัยชนะในครั้งนี้ไป
หลังจากศึกนี้ ทุกคนเริ่มสนใจกงซุนหลิงเอ๋อร์ สถานการณ์เปลี่ยนไปทันทีเมื่อนางเข้าร่วมศึกนี้ นำพาชัยชนะมาสู่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีสามคะแนนเสมอกัน แม้คะแนนจะเสมอกัน แต่ฝ่ายราชวงศ์กลับเป็ฝ่ายหน้าแตกยับ ขืนสู้ต่อไปก็ไม่มีความหมาย
“รากฐานของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนลึกซึ้งตามคาด ศึกต่อไปคงไม่จำเป็แล้ว ข้าขอตัวลา!” จ้าวหยางกล่าวด้วยความไม่เต็มใจ จากนั้นเห็นเขาโบกสะบัดมือ ส่งสัญญาณให้ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์ถอนกำลังออกจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์เผยสีหน้าไม่เต็มใจ แต่จากนั้นก็ถอนกำลังออกไปจากที่นี่ แต่ก่อนจะไปเซิ่งอ๋องเหลือบไปมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือก โดยไม่ปกปิดจิตสังหารแม้แต่นิดเดียว
แน่นอนว่าฉินเจิ้นถิงไม่ห้ามแต่อย่างใด แม้ราชวงศ์จะแสดงท่าทีอยากกำจัดสำนักยุทธ์เทียนเสวียนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ทว่าในตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายจะเปิดากันอย่างแท้จริง
“เย่เฟิง ครั้งนี้ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์หน้าแตกยับได้ ข้าต้องขอบคุณเ้ากับแม่นางกงซุน” หลังจากผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์ออกไป ฉินเจิ้นถิงก็หันไปพูดกับเย่เฟิงด้วยรอยยิ้ม
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนต่างมองเย่เฟิงด้วยสายตาหวาดหวั่น อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักยุทธ์ของพวกเขา บัดนี้เติบโตจนกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริง พวกเขาจึงเคารพนับถือเย่เฟิงมาก
“เื่นี้เกิดขึ้นเพราะข้า ผู้าุโฉินไยกล่าวเช่นนี้เล่า” เย่เฟิงกล่าว
พายุผ่านพ้นไป แต่ทางจ้าวหยางและเซิ่งอ๋องไม่มีทางรามือง่าย ๆ เมืองหลวงจึงถูกกำลังทหารปิดล้อม หากเซวียิ ซ่งกัง และคนอื่น ๆ คิดอยากออกจากเมืองหลวง เกรงว่าจะเป็ไปไม่ได้ ดังนั้นฉินเจิ้นถิงจึงเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติในสำนักยุทธ์เทียนเสวียนส่งพวกเซวียิออกจากเมืองหลวงอย่างลับ ๆ
ด้านเย่เฟิง สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือเพิ่มพูนพลังของตัวเอง สำนักเสวียนเจินก็กลายเป็หนึ่งในกำลังที่เย่เฟิงต้องควบคุม
หลังจากเย่เฟิงผ่านการลอบสังหารของผู้ฝึกยุทธ์ราชวงศ์ในคืนนั้น หอกมารก็เกิดการวิวัฒนาการเป็ครั้งแรก ทุกครั้งที่วิวัฒนาการพลังของหอกมารจะเปลี่ยนไป ดังนั้นด้วยการอาศัยพลังหอกมาร เย่เฟิงสามารถประมือได้กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ ทว่าเย่เฟิงมิอาจใช้พลังของหอกมารได้ตลอดเวลา เพราะด้วยตบะของเย่เฟิงในตอนนี้ยังมิอาจควบคุมหอกมารได้เต็มที่ หากถูกหอกมารกลืนกินได้สำเร็จ เขาต้องเจอกับหายนะอันใหญ่หลวงอย่างแน่นอน
ครั้งนี้หากไม่ใช่ว่าเย่เฟิงโชคดีที่มีาามารชื่อเทียน กงซุนเชียน และเฒ่าจิงคอยช่วยเหลือ เขาคงต้องเข้าสู่วิถีมารและกลายเป็เครื่องมือเข่นฆ่า
วันนี้ ณ แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการปรุงยาที่ทรงพลังที่สุดในอาณาจักรจ้าว ขณะนั้นมีชายหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวที่ด้านนอกวังเทพโอสถ
“ใต้เท้าโปรดหยุด จะเข้าวังเทพโอสถจักต้องได้รับอนุญาตก่อน!”
นอกประตูใหญ่วังเทพโอสถ ทหารยามสองนายห้ามชายหนุ่มไว้ ซึ่งวังเทพโอสถเป็เช่นนี้เสมอมา หาดผู้ใด้าเข้าวังเทพโอสถจักต้องมีเทียบเชิญหรือหนังสือนัดหมาย แต่ชายหนุ่มไม่พูดสิ่งใด เขาเพียงแสดงแผ่นป้ายที่อยู่ในมือ เมื่อทหารยามสองนายนั้นเห็นแผ่นป้ายนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ก่อนจะคำนับชายหนุ่มแล้วกล่าวว่า “เชิญท่านใต้เท้า!”
ชายหนุ่มพยักหน้าให้ทหารยามสองนายนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปในวังเทพโอสถ แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็คือเย่เฟิง เขาไม่ลืมข้อตกลงที่ให้ไว้กับสี่ผู้ทำพิธี เมื่อเย่เฟิงบรรลุขั้นยุทธ์แท้ก็จะต้องรับตำแหน่งประมุขวังเทพโอสถ ซึ่งการมาของเย่เฟิงได้ดึงดูดความสนใจคนบางส่วนในวังเทพโอสถ ไม่นานข่าวก็ไปถึงหูเซี่ยชิงซาน เซี่ยชิงซานและเซี่ยจวิ้นหลงจึงออกมาต้อนรับเย่เฟิงด้วยตัวเอง
เซี่ยชิงซานและเซี่ยจวิ้นหลงคำนับเย่เฟิงเล็กน้อย “ข้าน้อยเซี่ยชิงซานและลูกชายมาต้อนรับผู้สืบทอด”
เย่เฟิงพยักหน้าให้พวกเขาสองคน “ผู้าุโเซี่ยไม่ต้องเกรงใจ”
“มิทราบว่าผู้สืบทอดมาครั้งนี้มีธุระอันใด?” เซี่ยชิงซานเอ่ยถาม
“รบกวนผู้าุโเซี่ยพาข้าไปพบผู้าุโผู้ทำพิธีทั้งสี่ท่านได้หรือไม่” เย่เฟิงกล่าว
“ได้สิ!” เซี่ยชิงซานกล่าว การพบเจอครั้งนี้ เขารู้สึกว่าเย่เฟิงดูแตกต่างออกไปจากเดิม แต่รูปธรรมจะเป็อย่างไร เซี่ยชิงซานก็มิอาจค้นหาคำตอบในเวลาอันสั้นได้ เขาจึงอดเลื่อมใสศรัทธาผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขท่านนี้มากขึ้นไม่ได้ แต่เขาหารู้ไม่ว่าเย่เฟิงบรรลุขั้นยุทธ์แท้แล้ว การมาครั้งนี้ก็เพื่อมาทำตามสัญญาให้เสร็จสิ้น นั่นคือการรับตำแหน่งประมุข
ไม่นานพ่อลูกเซี่ยชิงซานก็พาเย่เฟิงมาถึงสถานที่บำเพ็ญของผู้ทำพิธีทั้งสี่
“เ้าหนู ไม่คิดว่าเ้าจะมาหาพวกข้าเร็วขนาดนี้!” ผู้ทำพิธีคิ้วขาวกล่าวพลางยิ้ม
“สมแล้วที่เ้าหนูนี่เป็ผู้สืบทอดนวมรดกแห่งวังเทพโอสถ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อหลายวันก่อนเ้าหนูนี่คว้าอันดับหนึ่งของงานชุมนุมหวงปั่งมาได้ ร้ายกาจมาก!” เฒ่าจ้วงกล่าวพร้อมยิ้มอย่างเริงร่า
“เ้าหนูมาครั้งนี้คงไม่ได้มาพูดคุยกับพวกข้าหรอกใช่ไหม?” เฒ่าอู๋กล่าว
“เฒ่าอู๋ฝันไปเถอะ ข้าเดาว่าเ้าหนูนี่ต้องบรรลุขั้นยุทธ์แท้แล้วเป็แน่ เขาถึงมาหาพวกเราเพื่อทำตามสัญญาก่อนหน้านี้ให้สำเร็จ” เฒ่าแดงกล่าวพลางยิ้ม เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินหน้าพลันหน้าเปลี่ยนสี เย่เฟิงเปลี่ยนไปจนดูน่าเหลือเชื่อ จากนั้นเมื่อผู้ทำพิธีคิ้วขาวได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยถามเย่เฟิงว่า “เ้าหนู เ้าบรรลุขั้นยุทธ์แท้แล้วจริง ๆ หรือ?”
ผู้ทำพิธีคิ้วขาวดูตื่นเต้นมาก เสียงจึงสั่นเครือเล็กน้อย
จากการยกระดับตบะของเย่เฟิง ลมปราณจึงเปลี่ยนไป มีความสุขุมเยือกเย็นขึ้น ดังนั้นหากเขาไม่เปิดเผยมัน ผู้อื่นก็ไม่มีทางรู้ตบะของเขาได้
“ใช่แล้ว” เย่เฟิงพยักหน้า พร้อมดวงตาฉายแววมั่นใจ
“ดี ดีมาก!”
เมื่อได้ยินคำตอบจากเย่เฟิง เฒ่าจ้วงก็โบกไม้โบกมืออย่างตื่นเต้น “ข้าคิดว่าจะต้องใช้เวลานานกว่านี้ แต่ไม่นึกว่าเ้าหนูนี่จะทำสำเร็จได้เร็วขนาดนี้ ทำพวกข้าประหลาดใจมากเลยทีเดียว!”
เมื่อได้รับการยืนยันว่าเย่เฟิงบรรลุขั้นยุทธ์แท้แล้ว คนอื่น ๆ ก็ใจเต้นโครมคราม พวกเขาต่างคิดว่าเย่เฟิงก้าวหน้าเร็วมาก
“นี่คือแหวนหยกเทพโอสถ เ้าจงสวมมันไว้ มันคือสัญลักษณ์ประมุขวังเทพโอสถคนใหม่” ผู้ทำพิธีคิ้วขาวเดินออกมาข้างหน้า พร้อมถือของสิ่งหนึ่งในมือ เย่เฟิงทอดสายตามอง ก่อนจะพบว่าเป็แหวนหยกสีแดงวงหนึ่ง ตัวแหวนหยกยังสลักลวดลายเปลวเพลิง ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก
เย่เฟิงมาที่วังเทพโอสถเพื่อทำหน้าที่ของตนเอง จึงรับแหวนหยกเทพโอสถมาแล้วสวมใส่อย่างไม่เกรงใจ จู่ ๆ พลังธาตุไฟหลั่งไหลเข้าสู่ร่างเขา ทำให้เขารู้สึกร้อน พลังธาตุไฟในร่างพลันเพิ่มขึ้นอีกครั้งและทำลายกำแพงที่กั้นไว้ ทำให้อำนาจนี้เข้าสู่ขั้นพื้นฐาน ดังนั้นเย่เฟิงจึงมีพลังอำนาจสามชนิด ซึ่งอำนาจหอกและอำนาจฟ้าดินเข้าสู่ขั้นผันแปร่ปลาย อีกเพียงนิดก็จะเข้าใกล้ขั้นกายาแล้ว ส่วนอำนาจไฟเพิ่งเข้าสู่ขั้นพื้นฐานเท่านั้น ยังต้องขัดเกลาอีกเยอะ
“มหัศจรรย์ยิ่งนัก!”
เย่เฟิงตาลุกวาว เขาคิดว่าแหวนหยกเทพโอสถวงนี้ไม่เพียงแต่เป็สัญลักษณ์ของประมุขวังเทพโอสถ แต่ยังเป็อาวุธที่ทรงพลังชิ้นหนึ่ง
“วูบ!” แสงพลันสว่างวาบ แหวนหยกเทพโอสถหายไปจากนิ้วของเย่เฟิง ราวกับไม่เคยมีมาก่อน แต่เย่เฟิงรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของมัน มันยังคงสวมอยู่บนนิ้วเขา เพียงแต่แหวนหยกเทพโอสถวงนี้มีพลังซ่อนตัวชนิดพิเศษ แต่การไม่เปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ก็ถือว่าเป็เื่ดี
“สมกับเป็อัจฉริยะผู้ได้รับนวมรดก ไม่คิดว่าจะอาศัยพลังของแหวนหยกเทพโอสถบรรลุอำนาจไฟ เห็นทีคงใช้เวลาอีกไม่นาน เ้าก็อาจจะล้ำหน้าตาแก่อย่างพวกเรา”
ดวงตาของผู้ทำพิธีคิ้วขาวเป็ประกายเล็กน้อยขณะมองแสงเปลวเพลิงที่โคจรอยู่บนร่างเย่เฟิง ก่อนจะกล่าวด้วยความใเช่นนั้น
