ในยามเย็นย่ำค่ำคืน เมื่อแสงตะวันโรยรา รถม้าที่ชาร์ลส์โดยสารก็เคลื่อนคล้อยเข้าใกล้ประตูเมืองหลวง หลังจากเดินทางมานานกว่าห้าชั่วโมง ผ่านเส้นทางที่ทอดยาวจากชนบทสู่ความวุ่นวายของเมืองใหญ่
ประตูเมืองอันสูงใหญ่ตั้งตระหง่านราวป้อมปราการ ล้อมรอบด้วยกำแพงหนาทึบ ผู้คนเบียดเสียดผ่านเข้าออกอย่างไม่ขาดสาย แสงไฟจากคบเพลิงส่องวาบจากบนยอดป้อม คอยจับจ้องผู้มาเยือนอย่างเข้มงวด
รถม้าจอดลงที่จุดตรวจ ชาร์ลส์ก้าวลงจากพาหนะพร้อมสัมภาระเดินฝ่าฝูงชนไปหาทหารเพื่อแสดงตัวตน ควักป้ายโลหะสีเงินเงาวับสลักตราสมาคมรับจ้างออกมาให้เห็น ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ผ่านด่านเข้าเมืองได้อย่างง่ายดาย
เมื่อผ่านประตูเมืองมาได้ ไม่รอช้า เขาเรียกรถม้าสาธารณะของเมือง ให้พาเขาเดินทางต่อไปยังสมาคมรับจ้าง ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเขตชั้นกลาง กับเขตคนอัศวิน ที่ซึ่งผู้คนทั้งสองชนชั้นสามารถเข้าถึงได้ง่าย
ชายหนุ่มจ่ายค่าโดยสารคิดตามระยะเวลาให้เ้าของรถ ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งบนเบาะหนังแข็งกระด้าง เขาพอใจที่ได้นั่งพักคลายความเมื่อยล้า ถึงแม้จะไม่นุ่มสบายเท่ารถม้าส่วนตัว แต่ก็ยังดีกว่าเดินเท้าเปล่า
ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาระหว่างเขากับคนขับ มีเพียงเสียงกีบม้าบนทางเท่านั้นที่เจือจางความเงียบ ในใจยังครุ่นคิดถึงความฝันล่าสุด และปริศนากระดาษแผ่นนั้น
เมื่อถึงปลายทาง ชาร์ลส์ก้าวลงจากรถ ยืดเส้นยืดสายคลายความล้า เหลือบมองตึกประดับตราสมาคมอันโอ่อ่า ตัวอาคารหลังใหญ่ทาสีขาวสะอาดตาโดดเด่น
สมาคมรับจ้างเป็เหมือนบ้านหลังที่สองของเขา ที่ซึ่งเหล่าผู้คนทั้งหลายมาเสาะหางานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็งานคุ้มกัน ตามจับคนร้ายตามประกาศจับ คุ้มกันรถม้าสินค้าระหว่างทาง ไปจนถึงงานนักสืบอย่างที่เขารับทำมา มีทั้งงานเล็กงานใหญ่ ไปจนถึงงานเสี่ยงชีวิต หากกล้าพอก็จะได้รางวัลตอบแทนคุ้มค่า
ชาร์ลส์เดินผ่านประตูไม้สลักหนาเข้าไปภายในสมาคม เขามุ่งตรงไปที่โต๊ะรับงานและค่าตอบแทน ที่ซึ่งพนักงานสาวในชุดทำงานสีเข้มกำลังจดบันทึกอย่างตั้งใจ
"สวัสดีค่ะ คุณชาร์ลส์" เธอเงยหน้าขึ้นทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ดวงตาฉายแววยินดี "ยินดีต้อนรับกลับค่ะ จะรับค่าตอบแทนเป็แบบไหนดีคะ"
"ผมขอเป็ธนบัตรสิบครูเซโดสี่ใบ ห้าครูเซโดสี่ใบ และเหรียญทองยี่สิบเหรียญครับ" เขาตอบพลางยื่นเอกสารยืนยันความสำเร็จของภารกิจให้เธอตรวจสอบ กระดาษแผ่นนั้นมีตราประทับสีแดงเข้มและลายเซ็นของผู้ว่าจ้าง
"ได้ค่ะ ดิฉันจะรีบดำเนินการให้ทันที" เสียงปากกาขนนกขีดเขียนดังแ่เบา ขณะที่เธอบันทึกรายละเอียด แสงเทียนบนโต๊ะสั่นไหวตามแรงลมอ่อน ทำให้เงาทอดยาวบนผนังเต้นระริก
"ขอบคุณครับ" ชาร์ลส์ยิ้มบางๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้ "อ้อ แล้วคุณมอแกนล่ะครับ เขาอยู่หรือเปล่า ผมอยากนัดเวลาฝึกซ้อมกับเขาพรุ่งนี้น่ะ"
"เขาไม่อยู่ค่ะ" เธอพลิกเปิดสมุดนัดหมายปกหนังสีน้ำตาล "แต่เขาฝากบอกว่าถ้าคุณกลับมา ให้แจ้งเวลานัดได้เลยค่ะ"
"ดีเลยครับ บอกเขาว่าพรุ่งนี้เวลาเดิมที่สนามฝึกด้านหลัง" ชาร์ลส์ยิ้มออกมา
พนักงานจดข้อความลงสมุดเสร็จแล้ว ก็หันกลับมายิ้มให้ "ได้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะแจ้งให้เขาทราบ เขาจะได้มาสอนให้คุณอย่างเต็มที่ตามเวลาที่นัดไว้ แล้วก็...ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จด้วยนะคะ"
ชาร์ลส์ยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน รู้สึกอบอุ่นใจที่ได้ยินคำชื่นชม "ขอบคุณมากครับ ผมดีใจที่ทำสำเร็จ และขอบคุณกำลังใจจากคุณด้วย"
เมื่อธุระเสร็จสิ้น เขาจึงหยิบถุงเงินค่าจ้างใส่กระเป๋า แล้วโบกมือลาพนักงานอย่างเป็กันเอง ก่อนจะเดินทางกลับที่พักของตนในเขตชั้นกลาง
ขณะเดินทางกลับที่พัก ชาร์ลส์แวะตลาดริมถนนเพื่อซื้ออาหารติดไม้ติดมือไปด้วย เขาเลือกซื้อขนมปังก้อนใหญ่ราคาห้าเดนาริอุส ชีสก้อนหนึ่งราคาสิบเดนาริอุส และไส้กรอกรมควันอีกสองชิ้นราคารวมสิบห้าเดนาริอุส รวมทั้งหมดเป็เงินสามสิบเดนาริอุส ซึ่งเพียงพอสำหรับมื้อเย็นและเช้าของเขา
เสียงบ่นพึมพำของพ่อค้าแผงผักข้างๆ ดึงความสนใจของชาร์ลส์ "ภาษีก็ขึ้นเอาๆ ทุกวัน ขุนนางพวกนั้นเอาแต่รีดนาทาเร้นราษฎร าก็จบไปแล้ว ทำไมข้าวของยังแพงขึ้นอีก"
ลูกค้าคนหนึ่งพยักหน้าเห็นด้วยกับพ่อค้า "จริง าจบไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าราคาสินค้ายังไม่กลับมาเป็ปกติเลย"
พ่อค้าถอนหายใจ "คงต้องทำใจแหละ หวังว่าพวกขุนนางจะเห็นใจชาวบ้านบ้าง"
ชาร์ลส์เหลือบมองไปทางพ่อค้า รับฟังอย่างเงียบๆ เขาคุ้นเคยกับเสียงบ่นเช่นนี้ดี
จากนั้นเขาก็ขึ้นรถม้าคันเดิมที่จ้างไว้กลับที่พัก ค่าโดยสารคิดตามระยะเวลา จากทางเข้าเมืองตอนแรกจนมาถึงที่พักทั้งหมดใช้เวลาราวสี่สิบนาที เป็เงินสามสิบสามเดนาริอุส เขาจ่ายเหรียญทองหนึ่งครูเซโดให้คนขับแล้วได้ทอนมาหกสิบเจ็ดเดนาริอุส จากนั้นเดินเข้าซอยเล็กๆ ที่ทอดยาวเข้าไปสู่ย่านที่พักอาศัย
เสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามา ชาร์ลส์หลบเข้าข้างทางอย่างว่องไว รถม้าหรูหราของขุนนางแล่นผ่านไป ทิ้งไว้เพียงฝุ่นตลบและสายตาขุ่นเคืองของชาวบ้าน เขามองตามด้วยสีหน้าเรียบเฉย คุ้นชินกับความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึกในสังคม ชาร์ลส์เดินต่อไปจนถึงที่พัก
บ้านของชาร์ลส์ปรากฏในสายตา เป็เรือนไม้ทาสีขาว เรียบง่ายแต่สวยงาม มีสวนเล็กและที่จอดรถม้าตรงหน้าถึงแม้ไม่มีรถม้าส่วนตัว บ้านหลังนี้เขาได้เช่าในราคาพิเศษจากเพื่อนสนิทซึ่งเป็ขุนนางที่คบกันมาั้แ่ที่เขาจำความได้
"ไง ชาร์ลส์ กลับมาแล้วเหรอ" เสียงทักทายดังมาจากรั้วไม้ข้างบ้าน
ชาร์ลส์หันไปมองก็พบคุณนายวิลสัน เพื่อนบ้านอายุเลยหกสิบมองมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอกำลังดูแลสวนให้กับสวนดอกไม้ตรงหน้าบ้านกลางแสงโคมไฟสลัว
"สวัสดีครับ คุณนายวิลสัน ผมลืมไปเลยว่าดอกไม้ที่ผมปลูกไว้เป็ยังไงบ้าง"
"โอ้ อย่าเลย พวกมันโตวันโตคืน ฉันเลยช่วยรดน้ำพรวนดินเบาๆ ให้ระหว่างที่เธอไม่อยู่ล่ะ" คุณนายยิ้มภูมิใจ
"โอ้ ขอบคุณมากครับ แล้วก็ขอโทษด้วยนะครับที่ให้คุณต้องเหนื่อย ผมยุ่งกับคดีจนลืมไปสนิท" ชาร์ลส์เกาหัวแก้เก้อ รู้สึกขอบคุณในน้ำใจของเธอยิ่งนัก
เธอโบกมือ "ไม่เป็ไรหรอกน่า ฉันเองก็มีเวลาว่างพอดี ว่าแต่งานเป็ไงบ้าง ผ่านไปได้ดีหรือเปล่า?"
"แรกๆ คิดว่าเป็งานหาของหายเล็กๆ แต่อยู่ๆ ก็กลายเป็คดีใหญ่ไม่คาดฝัน โชคดีที่จับตัวคนร้ายได้ ตอนนี้ขอตัวไปพักก่อน ค่อยมาคุยกันใหม่นะครับ" ชาร์ลส์พูดพลางชูถุงอาหารในมือให้ดู
"เอาสิ ไปพักผ่อนซะ ตอนเช้ามาหาฉันทานชากันบ้างก็ได้นะ เดี๋ยวจะทำพายแอปเปิลให้ชิมด้วย" เธอพูดทิ้งท้ายแล้วโบกมือลา
ชาร์ลส์ส่งยิ้มให้ ก่อนจะเดินเข้าบ้านอย่างอ่อนล้า เขาเปิดประตูเข้าสู่บ้านชั้นเดียวเรียบง่ายแต่อบอุ่น ผนังภายนอกทาสีขาวสะอาดตา ตัดกับประตูไม้สีน้ำตาลเข้มที่ช่วยเพิ่มความโดดเด่น ภายในเป็ห้องนั่งเล่นขนาดกะทัดรัด มีโซฟาผ้าสีครีมตั้งอยู่กลางห้อง ตรงข้ามมีเตาผิงสำหรับใช้ในหน้าหนาว เหนือเตาผิงเป็ชั้นวางของที่ประดับด้วยภาพวาดและของตกแต่ง พื้นปูด้วยพรมขนสั้นโทนสีอ่อนที่ช่วยให้ห้องดูสว่างขึ้น
ทางด้านซ้ายของห้องนั่งเล่นเป็ประตูกั้นเข้าสู่ห้องครัว ภายในจัดวางอุปกรณ์ทำครัวครบครัน มีตู้เก็บของ อ่างล้างจาน และเตาไฟสำหรับประกอบอาหาร นอกจากนี้ยังมีโต๊ะไม้ขนาดย่อมพร้อมเก้าอี้สี่ตัว เป็มุมสำหรับทานมื้อเช้าหรือมื้อเย็นเล็กๆ น้อยๆ
ส่วนทางด้านขวาของห้องนั่งเล่นจะเป็ห้องนอนและห้องทำงานในตัว ชาร์ลส์ชอบที่จะผสมผสานการพักผ่อนและการงานให้อยู่ในห้องเดียวกัน เพื่อความคล่องตัว ในห้องนี้มีเตียงนอนไม้สีเข้ม ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ และชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยตำราเกี่ยวกับการเรียนพื้นฐานและประวัติศาสตร์ก็ถือว่ามีครบทุกอย่างที่จำเป็แล้ว
สิ่งที่ชาร์ลส์ชอบที่สุดในบ้านหลังนี้ก็คือ ระเบียงหลังบ้านที่เชื่อมต่อกับสวนหลังขนาดย่อม เขาจะมานั่งเล่นบนเก้าอี้ไม้สักตัวเก่า จิบชายามบ่ายหรือเหล้ารัมยามค่ำคืน มองต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังเติบโตและฟังเสียงนกร้องรับแสงแดดอุ่นๆ มันคือมุมพักผ่อนส่วนตัวของเขา ให้ความสงบผ่อนคลายได้เป็อย่างดี
ถึงแม้จะธรรมดา แต่บ้านมีทุกอย่างครบ ทั้งความสะดวกสบาย เป็ส่วนตัว และบรรยากาศช่วยให้โล่งใจ ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน พอได้กลับมา ความอิ่มเอมใจก็แทนที่ความเหนื่อยล้า
ทันทีที่ปิดประตู ชาร์ลส์วางถุงอาหารบนโต๊ะในครัว เขาตัดสินใจเปลี่ยนชุดให้สบาย ก่อนนำขนมปัง ชีส และไส้กรอกมาวางบนโต๊ะ รินน้ำใส่แก้วเพื่อดับกระหาย ก่อนจะหยิบกระดาษปริศนาที่ได้มาจากหมู่บ้านมาพิจารณา
ขณะกินมื้อเย็นเรียบง่าย ความคิดของชาร์ลส์เริ่มเรียบเรียงชัดเจน แม้งานที่ผ่านมาจะสำเร็จด้วยดี แต่เงื่อนงำเื่อดีตและกระดาษลึกลับยังคาใจ คล้ายเป็เชือกรั้งให้เขาเดินหน้า ปลดปมให้คลี่คลาย
แต่คืนนี้ เขาปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับสายลมและแสงจันทร์นวล ใต้ความฝันแสนสงบ เพื่อเก็บเกี่ยวพลังให้เต็มเปี่ยม ตื่นขึ้นมาพบวันใหม่ ทั้งฝึกฝนและสืบค้นอดีตของตัวเอง
หลังจากเก็บล้างจานชามเสร็จ ชาร์ลส์เข้าห้องนอน ทิ้งตัวลงเตียงนุ่ม เปลือกตาหนักอึ้งค่อยปิดลงท่ามกลางความมืด คืนนี้ เขาคงหลับสบายกว่าที่ผ่านมา ก่อนจะตื่นขึ้นมาเผชิญวันใหม่ที่รอคอยเบื้องหน้า
แต่ราวกับสมองไม่ปล่อยให้เขาได้สบาย ความฝันก่อนหน้านี้ได้ฉายซ้ำลงมาอีกครั้ง ชัดเจนและสมจริงกว่าครั้งก่อนหน้า
ในค่ำคืนที่บ้าคลั่ง กลางเสียงฟ้าร้อง ฝนตกพร้อมกระหน่ำอย่างรุนแรง กลิ่นเค็มของน้ำทะเลร่องรอยออกมาแตะจมูก ััที่เย็นะเืของละอองน้ำเกาะผิวจนหนาวสั่น
เรือสองลำแล่นฝ่ามรสุมอันบ้าคลั่ง ของท้องทะเลในคืนที่มืดมิด ลูกเรือต่อสู้เอาชีวิตรอด ศัตรูสีหน้าขึงขัง บ้างเมื่อสังหารลงได้หัวเราะเยาะยินดี มุ่งเอาชนะ ท่ามกลางวิกฤตแห่งชีวิตและความตาย
ชายหนุ่มผู้มีดวงตาและผมสีน้ำตาลเข้ม ใบหน้าคมชัด กำลังตั้งท่าเตรียมหลบหนีหวาดระแวงกับอันตรายที่ตนกำลังเผชิญ เขาสวมเสื้อลินินสีขาวพับแขนเสื้อขึ้นไว้ใต้ศอก ปกคอตั้งไม่จดกระดุม กางเกงขายาวสีดำ การแต่งกายของเขานั้นแตกต่างจากกลุ่มคนบนเรืออย่างมาก ที่ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบหยาบๆ ผิวดำไหม้จากแสงแดด และยังมีคราบเกลือทะเลติดอยู่ ส่วนของเขาผิวสะอาดเกลี้ยงเกลา เสื้อผ้าไม่มีคราบเปอะเปื้อน ยกเว้นจากน้ำฝนที่ตกลงมา
ชาร์ลส์ที่กำลังหวาดระแวง จู่ๆ สัญชาตญาณที่ไม่มีที่มาที่ไปก็เอ่ยร้องเตือนเขา ให้หลบหนีบางสิ่งบางอย่าง ชายหนุ่มเชื่อและพุ่งตัวออกทันที
ทันใดนั้นห้วงอากาศบิดเบี้ยวได้ปรากฏขึ้นในจุดที่เขายืนอยู่ ขนาดความกว้างยาวเท่าตัวคน เมื่อมันปรากฏได้เพียงพริบตา ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในระยะขอบเขตของมันถูกบดขยี้ทำลายจนไม่มีชิ้นดีก่อนมันจะหายวับไป
ความใฉายบนใบหน้าซีดเผือด หยดน้ำที่ไหลกลางหน้าผาก แยกไม่ออกก็เป็เหงื่อหรือสายฝน กำลังบดบังการมองเห็นของเขา ถ้าช้าไปเพียงนิด เขาคงกลายเป็เศษเนื้อจนดูรูปร่างของมนุษย์ไม่ออกอย่างแน่นอน
แต่จุดที่เขาเลือกะโไปนั้น มีคนผู้หนึ่งกำลังต่อสู้อยู่ ใบมีดในมือของชายผู้นั้นวาดผ่านอากาศเปียกชื้น ก่อนจะพรากชีวิตศัตรูตรงหน้าด้วยความเชี่ยวชาญ เืสีแดงเข้มผสานกับสายฝนไหลเป็ทางบนดาดฟ้าเรือ
ในวินาทีที่ศัตรูล้มลง ร่างของชาร์ลส์ก็พุ่งเข้าชนชายผู้นั้นอย่างจัง แรงปะทะทำให้ทั้งสองเสียหลัก ร่างกระแทกลงบนพื้นไม้เปียกลื่น กลิ้งไปมาท่ามกลางน้ำฝนและคลื่นลมที่โหมกระหน่ำ เสียงฟ้าร้องดังสนั่นราวกับเสียงหัวเราะเยาะของเทพ
ดาบและมีดหลุดจากมือกระเด็นไปคนละทาง ขณะที่ทั้งสองพยายามยันตัวลุกขึ้นบนพื้นที่โคลงเคลง เรือแกว่งไกวรุนแรงตามแรงคลื่น ทำให้การทรงตัวเป็ไปได้ยาก น้ำทะเลซัดสาดข้ามกราบเรือ พัดพาเศษซากและเืที่เปรอะเปื้อนให้จมหายไปในความมืด
สายตาของทั้งสองประสานกันท่ามกลางแสงฟ้าแลบ ดวงตาของชายแปลกหน้าฉายแววตกตะลึงและสับสน ขณะที่ชาร์ลส์เองก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสงสัย ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็มิตรหรือศัตรู ในห้วงเวลาแห่งความวุ่นวายและความไม่แน่นอนนี้ มีเพียงเสียงลมพายุและคลื่นทะเลที่คำรามก้องในความมืด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้