ไม่รู้ว่าเย่จื่อมู่นำพัดจีบสีแดงโลหิตงดงามออกมาจากที่ใด กางพัดออกดังฉับด้วยความหล่อเหลา พัดอยู่บริเวณอกอย่างเอ้อระเหย เชิงคางขึ้นสูง ใบหน้าหยิ่งทระนง
ริมฝีปากแดงก่ำอันยั่วยวนของเขากระดกขึ้น “เถ้าแก่มู่ ท่านก็รู้แล้ว ว่าข้าน้อยเป็ผู้รอบรู้ในยุทธจักร ย่อมไร้ผู้ที่ไม่รู้จัก ไร้ไม่มีผู้ใดไม่ทราบ โดยเฉพาะเื่ของเถ้าแก่มู่ ข้าน้อยใส่ใจเป็พิเศษ”
ความหมายภายใต้คำพูดนี้คือเอาใจนางเป็พิเศษ ถ้าอยากจะรู้ ย่อมไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงก็รับรู้เื่ราวที่เกิดกับนางได้อย่างง่ายดาย
มู่จื่อหลิงสูดลมหายใจเข้าลึก ปิดผ้าม่านรถทันที พูดกับสารถีด้านนอกรถลากออกมาหนึ่งคำ “ไป”
สมควรตาย! นางก็รู้อยู่แล้ว ไม่มีคำพูดจริงจังพูดออกมาจากปากเย่จื่อมู่
เมื่อเป็เช่นนี้ นางจะเปลืองเวลาว่างมาพูดไร้สาระไปทำไมกัน
เพียงแต่มู่จื่อหลิงรออยู่นาน รถม้าก็ยังไม่ขยับ และด้านนอกก็ไม่มีความเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
นี่ไม่ปกติ ไม่ปกติเป็อย่างยิ่ง
มู่จื่อหลิงคิดว่าเย่จื่อมู่ต้องเล่นลูกไม้อยู่ข้างนอก จึงเตรียมจะเลิกผ้าม่านออกไปดูสิ่งที่เกิดขึ้น
นางเพิ่งจะเลิกเป็ช่องเล็กๆ รถม้าก็วิ่งห้ออย่างรวดเร็วฉับพลัน
มู่จื่อหลิงที่ไร้ซึ่งการป้องกัน หนึ่งคนที่ไม่มีหลักจึงพุ่งไปด้านหน้าทันที ศีรษะชนเข้ากับด้านหลังของคนบังคับรถอยู่ตรงส่วนหน้าของรถอย่างแรง
แผ่นหลังกำยำแข็งกระด้างราวกับกำแพงทองแดง
ศีรษะขนาดเล็กของมู่จื่อหลิงถูกชนจนเจ็บอย่างฉับพลัน นางกุมศีรษะกำลังจะส่งเสียงร้อง
แต่นางยังไม่ทันร้องอย่างเ็ป กลับมีเสียงอันน่าชิงชังตัดหน้าก่อนนางส่งเสียงร้องออกมา
“ไอ้หยา เถ้าแก่มู่ ศีรษะเล็กๆ ของท่านนี่ทำมาจากหินหรือ? กระดูกหลังของข้าน้อยถูกกระแทกจนจะหักแล้ว” เย่จื่อมู่เลิกม่านเข้าไปดูมู่จื่อหลิงด้วยแผ่นหลังสั่นสะท้าน ท่าทางเสียใจ พูดบ่นด้วยสีหน้าเ็ป
ทว่าแขนเรียวยาวของเขากลับยื่นไปที่ศีรษะมู่จื่อหลิง ย้ายมือขาวผ่องของนางไปอย่างง่ายดาย ช่วยนางลูบศีรษะที่กระแทกอย่างอ่อนโยน
มู่จื่อหลิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อะไรที่บอกว่าศีรษะของนางทำจากหิน?
ทั้งๆ ที่แผ่นหลังของเขาแข็งราวกับกำแพง นางยังไม่ทันโอดครวญ เ้าพ่อค้าหน้าเืกลับชิงเล่นงานด้วยการโอดครวญกับนาง
มู่จื่อหลิงมองบุคคลตรงหน้าอย่างโเี้ เค้นออกมาทีละคำ “เย่ จื่อ มู่”
“เถ้าแก่มู่ ข้าน้อยก็มิได้อยู่ด้านหน้าท่านหรือ อย่าได้ร้องเรียกเสียงดังเพียงนั้น หูของข้าน้อยยังเฉียบไวอยู่” เย่จื่อมู่ตอบรับเสียงอ่อน การกระทำในมือยังคงลูบศีรษะมู่จื่อหลิงอย่างอ่อนโยนราวกับลูบสุนัข
มู่จื่อหลิงโมโหจนแทบจะเสียสติ ปัดมือใหญ่บนศีรษะออกอย่างแรง ตากลมโตถลึงใส่อย่างมีโทสะ “ท่าน...สารถีของข้าล่ะ?”
“เอ้า! ก็อยู่ต่อหน้าท่านมิใช่หรือ” เย่จื่อมู่เชิดคางตนเองขึ้น ชี้ไปที่ตนเองอย่างถือดี
หน้าอกมู่จื่อหลิงขยับขึ้นลงไม่หยุด เพลิงโทสะเผาไหม้อยู่ในดวงตา หลุดปากไปอย่างอดไม่ได้ “ท่านมิได้พูดว่าบังคับรถม้ามิได้ ได้แต่เหาะมิใช่หรือ?”
เ้าพ่อค้าหน้าเืนี่ปะานางก่อนแล้วค่อยรายงาน บังคับรถม้าวิ่งออกทันที ทำให้นางจนปัญญากับเขา ช่างน่าโมโหยิ่งนัก
ราวกับว่าเย่จื่อมู่ไม่เห็นเพลิงโทสะในดวงตาของมู่จื่อหลิง สามารถมองเห็นได้ว่าดวงตาภายใต้หน้ากากเขาทอประกายรอยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจอยู่
มุมปากของเขายกเป็รอยยิ้มสีแดงสด พูดอย่างเป็คนดี “ยากนักที่เถ้าแก่มู่จะจำคำพูดของข้าน้อยได้ แต่ เื่ที่ทำเพื่อเถ้าแก่มู่ได้ความสามารถย่อมไร้ขีดจำกัด ร่ำเรียนเองโดยไม่มีอาจารย์”
ความสามารถไร้ขีดจำกัด ร่ำเรียนเองโดยไม่มีอาจารย์ บ้านเ้าสิ!
มู่จื่อหลิงข่มโทสะในใจ ไม่ได้ มิอาจปล่อยให้พ่อค้าหน้าเืพูดจาเหลวไหลอย่างได้คืบเอาศอกอีก
นางต้องโต้ตอบ ก็แค่ดีแต่พูดหรือ ยากตรงใดกัน?
พอคิดอีกทีสายตามู่จื่อหลิงสว่างวาบ มุมปากยกขึ้นน้อยๆ เป็รอยยิ้มเ้าเล่ห์ เอียงเข้าไปใกล้เย่จื่อมู่ กระซิบอย่างมีเสน่ห์ “ได้ยินเ้าพูดเช่นนี้ หรือว่า...หรือว่าเ้าชอบกู่ไหน่ไนเข้าแล้ว?”
พูดพลาง นางก็โน้มเข้าไปใกล้อีกนิด พ่นลมหายใจร้อนผ่าวรินรดใบหน้าเย่จื่อมู่ช้าๆ อย่างมีเลศนัย
“แค่กๆ” เย่จื่อมู่สำลักน้ำลายตนเอง ดีดหน้าผากของมู่จื่อหลิงเบื้องหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้อย่างไม่ลังเล
‘เปี๊ยะ’ เสียงตีหน้าผากที่ใสและดังก็ะเิขึ้นบนหน้าผากมู่จื่อหลิงในชั่วพริบตา
มู่จื่อหลิงลูบหน้าผากที่ถูกดีด ร้องออกมาอย่างเ็ป “เจ็บ”
เย่จื่อมู่ผลักมู่จื่อหลิงออกในทันที ถลึงตาใส่มู่จื่อหลิงอย่างอารมณ์เสีย
“เถ้าแก่มู่พูดจาโง่งมอันใด จะอย่างไรข้าน้อยก็เ้าสำราญ อิสรเสรี หล่อเหลาผ่าเผย เพียงแค่ขยับนิ้ว สตรีก็ต่อแถวอยู่เต็มถนนใหญ่ ท่านว่า สตรีเต็มท้องถนนไปหมด ข้าน้อยจะมากินไม่เลือก มาชอบสตรีที่แต่งงานแล้วได้อย่างไร?”
เขาชะงักไป ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคร่งขรึม พูดอย่างหนักแน่น “เถ้าแก่มู่อย่าได้หลงใหลรูปลักษณ์หล่อเหลาของข้าน้อย อย่าได้ลุ่มหลงข้าน้อยโดยเด็ดขาด เพราะข้าไม่มีทางชมชอบสตรีที่มีสามีแล้ว”
มู่จื่อหลิงกัดฟันอย่างโกรธแค้น ถลึงตาใส่เย่จื่อมู่อย่างไม่ยอมแพ้
โง่งมนัก ที่พูดเสียดิบดีว่าจะใช้ฝีปากโต้ตอบเล่า?
เดิมคิดจะให้เย่จื่อมู่หน้าแดงขัดเขิน นี่กลับดีนัก ในปากเ้าพ่อค้าหน้าเืนี่บรรจุปืนกลเอาไว้หรือ?
ถึงได้รัวคำพูดออกมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด สามารถเป็อาจารย์ปู่หลายสิบชั่วอายุคนของหลงเซี่ยวเจ๋อได้เลย
ลุ่มหลงเขา? คิดว่าเขาเป็เทพเซียนบน์เก้าชั้นฟ้าในตำนานหรือไง!
แค่กระดิกนิ้วมือสตรีก็เต็มท้องถนน? คิดว่าเขาเป็นกยูงรำแพนหางที่เหมือนคนหลงใหลหรือ!
ถึงได้พูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ออกมา พูดได้ไม่อายปาก
ในใจมู่จื่อหลิงไม่ยินยอม สองมือกอดอก กลับไปนั่งประจำที่ก้มตาลงมา มองเย่จื่อมู่อย่างถือดีและเหยียดหยาม หัวเราะเยาะ “เหอะ! ต่อให้กู่ไหน่ไนมองหมาแมวข้างถนน ก็ไม่มีทางชมชอบเ้า กู่ไหน่ไนเองก็เป็...”
เย่จื่อมู่แสร้งทำเป็หวาดกลัว เบิกตากว้างอย่างเกินจริง ยกมือขึ้นหยุดคำพูดมู่จื่อหลิง “หยุด เถ้าแก่มู่อย่าได้พูดมั่วซั่ว! สามีของท่านสูงศักดิ์ อำนาจเทียมฟ้า เขาสะบัดแขนเสื้อ ก็สั่นะเืไปทั้งแผ่นดินใหญ่แล้ว ไม่มีทางใช่แมวหมาข้างถนนอะไรแน่”
“เ้า...” มู่จื่อหลิงโมโหจนพูดไม่ออกโดยพลัน ปล่อยหมัดไปทางเย่จื่อมู่ทันทีด้วยกำปั้นสั่นระริก
เย่จื่อมู่รับหมัดที่มู่จื่อหลิงปล่อยออกมา ยิ้มอย่างทรงเสน่ห์ พูดตักเตือนอย่างอารมณ์ดี “พวกเราขยับปากไม่ขยับมือ แล้วยังเป็เื่ทำลายภาพลักษณ์ เถ้าแก่มู่ไม่ทำจะดีกว่า”
มู่จื่อหลิงถูกโจมตีจนแตกพ่ายในทันที โมโหจนกระทืบเท้า
จะบ้าแล้ว จะเป็บ้าไปแล้ว
คำพูด มิได้พูดว่านางเล่นตุกติก โต้ฝีปากไม่ชนะเขา เปลี่ยนเป็ใช้กำลังที่ไม่มีภาพลักษณ์?
มู่จื่อหลิงสะบัดมือของเย่จื่อมู่อย่างขุ่นเคือง สะบัดศีรษะนั่งดีๆ ลูบหน้าผากที่กระแทกจนเจ็บแล้วถูกดีดจนเจ็บแปลบ นางตัดสินใจจะไม่พูดกับเย่จื่อมู่อีก
ความสามารถในการพูดจาไร้สาระของพ่อค้าหน้าเืพุ่งถึงขั้นขีดสุดแล้ว
นางเกรงว่า นางจะตายก่อนวัยอันควรในสักวัน ด้วยเหตุผลการตายที่น้ำเน่าที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็เพราะถูกพ่อค้าหน้าเืนี่ทำให้โมโหตาย
ระหว่างทาง ขณะที่เย่จื่อมู่บังคับรถม้า เสียงอ่อนโยนก็ลอยเข้าไปในรถม้า “เถ้าแก่มู่ ศีรษะยังเจ็บหรือไม่?”
มู่จื่อหลิงแค่นเสียงเย็นอย่างโกรธเคือง ไม่สน!
“เถ้าแก่มู่ จะไปที่ใด?” เย่จื่อมู่ถามต่อไป
มู่จื่อหลิงไม่แม้แต่จะส่งเสียง เลิกผ้าม่านมองทิวทัศน์สวยงามนอกหน้าต่าง ผ่อนคลายโทสะในใจตนเอง
เย่จื่อมู่โค้งริมฝีปากสีแดง น้ำเสียงเอ้อระเหยดังขึ้น “เถ้าแก่มู่ ถ้าไม่พูด ข้าน้อยคงต้อง...”
“ศาลต้าหลี่” ในที่สุดมู่จื่อหลิงก็ส่งเสียงอย่างอารมณ์เสีย
“ได้เลย” เย่จื่อมู่ร้องเสียงดัง สะบัดแส้ม้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง
เย่จื่อมู่ก็สำรวมขึ้น ดวงตาเฉลียวฉลาดภายใต้หน้ากากยิ่งทอประกาย เขาถามอย่างเคร่งขรึม “เถ้าแก่มู่ อาการป่วยของมารดาท่านเป็เช่นใดแล้ว”
มู่จื่อหลิงได้ยินเสียงของเย่จื่อมู่ก็ไม่แจ่มใส ไม่สนใจโทนเสียงของเขา เอ่ยปากอย่างไม่คิด “ไม่เกี่ยวกับเ้า”
เย่จื่อมู่ที่นั่งบนรถม้าส่วนหน้า ยกริมฝีปากน้อยๆ โค้งเป็รอยยิ้มขมขื่น ยิ้มอย่างโดดเดี่ยวและจนปัญญา ทว่ามู่จื่อหลิงในรถม้ากลับมองไม่เห็น
มู่จื่อหลิงคิดว่าเย่จื่อมู่จะหาคำพูดมาโต้นาง แต่รออยู่นานเย่จื่อมู่ก็มิได้ส่งเสียงอีก
เงียบลงในทันที มู่จื่อหลิงไม่คุ้นเคยนัก จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าตนเองเหมือนจะทำเกินไป อย่างไรเสียพ่อค้าหน้าเืผู้นี้ดูเหมือนจะใส่ใจอาการป่วยของมารดานางจริงๆ
“ยามนี้ร่างกายมารดาข้าดีนัก เพียงแต่หมดสติไม่ฟื้น อาจจะเป็เพราะร่างกายของนางยังมีพิษที่ซุกซ่อนอยู่ ยามนี้ได้แต่รอให้พิษปรากฏขึ้นมา แล้วค่อยทำการรักษาขั้นต่อไป” มู่จื่อหลิงพูดอย่างกระชับ แต่สิ่งที่พูดล้วนแต่เป็จุดสำคัญ
นางก็ไม่รู้ว่าเป็เพราะอะไรถึงพูดกับเย่จื่อมู่อย่างชัดเจนในคราเดียว ถึงอย่างไรจิตใต้สำนึกนางก็อยากพูด อยากให้เย่จื่อมู่รู้อาการป่วยของหลี่เอินอย่างชัดเจน
รอยยิ้มทรงเสน่ห์ของเย่จื่อมู่สบายใจแจ่มใสขึ้นมาในชั่วพริบตา เขาพึมพำเสียงเบา “เช่นนั้นก็ดี เด็กน้อย ลำบากเ้าแล้ว”
“เ้าพูดอะไรนะ?” เสียงของเย่จื่อมู่เบายิ่งนัก มู่จื่อหลิงได้ยินไม่ชัดเจนโดยสิ้นเชิง
เย่จื่อมู่ราวกับโดนตีปาก เสียงอิจฉาริษยาดังลอบเข้าไป “เถ้าแก่มู่ ระยะนี้กิจการของหลิงซั่นถังเจริญรุ่งเรืองนัก ลูกค้าล้วนมาต่อที่หอเยวี่ยอวี่กลุ่มใหญ่ เป็เช่นนี้ต่อไป ข้าน้อยคงต้องนั่งกินนอนกินแล้ว ท่านว่าข้าน้อยควรเปลี่ยนใจเอาโฉนดคืนหรือไม่?”
้าหน้ากากผีเขาน่ะสิ!
มู่จื่อหลิงเลิกผ้าม่านรถ ชะโงกไปข้างตัวเย่จื่อมู่ ชูกระดาษไว้ตรงหน้าเขา ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “พ่อค้าใหญ่หน้าเืเช่นท่านยังนั่งกินนอนกินได้? ดูสิ หลักฐานของพวกเราแจ่มแจ้งชัดเจน คิดจะเปลี่ยนใจ? ไม่มีทางเสียหรอก”
“นั่นน่ะสิ มิอาจเปลี่ยนใจ เช่นนั้นทำอย่างไรดี?” เย่จื่อมู่ราวกับถูกเตือนความจำขึ้นมา ทำท่าทางอึดอัดใจ
เขาชะงักไป ลูบคางอย่างไม่ใส่ใจ แสร้งทำท่าครุ่นคิด จากนั้นถามเสียงอ่อน “เถ้าแก่มู่ ท่านว่า หากหลิงซั่นถังมีเื่มีราวทางการรักษาทุกวัน กิจการจะยังดีหรือไม่?”
รอยยิ้มเหนือกว่าของมู่จื่อหลิงชะงักค้างไปโดยพลัน กำหมัดแน่นดังกร๊อบ เค้นออกมาสองคำจากปาก “เ้ากล้า”
“กล้ามิกล้า ต้องทำจึงจะรู้ เถ้าแก่มู่ ท่านว่าใช่หรือไม่!” เย่จื่อมู่แย้มรอยยิ้มเอาแต่ใจและทรงเสน่ห์ด้วยใบหน้าไม่มีพิษมีภัย
“เ้า เ้า เ้าทำไม่ได้นะ” มู่จื่อหลิงโมโหจนพูดคำว่า ‘เ้า’ อยู่นาน จากนั้นก็หลุดพูดออกมาโดยไม่ทันไตร่ตรอง
หลังจากพูดจบ นางถึงค้นพบว่าคำพูดนี้ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง
ความสัมพันธ์ของนางกับเย่จื่อมู่เป็เพียงผู้ซื้อผู้ขาย หรืออาจจะมีความสัมพันธ์เยี่ยงสหายอยู่เล็กน้อย
ฐานะของเย่จื่อมู่ลึกลับเช่นนั้น คิดจะโค่นล้มหลิงซั่นถังคงไม่ใช่เื่ที่ง่ายดายดั่งใช้นิ้วเดียวผลักก็ล้ม
เย่จื่อมู่ยกมุมปากขึ้นอย่างกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม พูดด้วยความคล่องปาก “จุ๊ๆ ยังเป็เถ้าแก่มู่ที่เข้าใจข้าน้อย ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกับเถ้าแก่มู่ช่างเบิกบานใจนัก ข้าน้อยจะหักใจปล่อยโอกาสลับฝีปากไปมิได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้