ยอดเขาเมฆาที่มีเมฆขาวปกคลุมมาหลายร้อยปีโดยไม่สูญสลาย ยามนี้ฟ้าโปร่งปลอดเมฆ สายลมอ่อนเฉื่อย กลิ่นอายพลังชีวิตที่สดชื่นแจ่มใสกลับจางหายไป แสงแดดร้อนดวงตะวันที่เปลี่ยนเป็สีส้มแดงเริ่มคล้อยต่ำ
เมืองหลวงตามร้านค้าแผงขายตลอดจนโรงเตี้ยมเหลาสุรามีข่าวลือหนึ่งที่ทุกคนต่างพูดถึงและให้ความสนใจ นี่ยังเกี่ยวข้องกับข่าวลือที่แพร่สะพัดเร็วยิ่งกว่าไฟป่าของเมืองหลวงเมื่อวันก่อน
สองสำนักที่ล้มลงแล้วเป็ฝีมือของประมุขสำนักพันปี ชาวเมืองหลวงและทหารทั้งหลายคล้ายค่อยนึกขึ้นได้ว่าในอาณาจักรชางไห่ เมืองหลวงมีสำนักที่มีรากฐานยาวนานเท่าบ้านเมืองอยู่บนเทือกเขาหยก
สำนักพันปีเงียบหายไม่่ชิงกับผู้อื่นมานานหลายสิบปีแล้ว อีกทั้ง่เวลาที่รุ่งโรจน์เ่าั้ผ่านมาชั่วหลายอายุคน รุ่นปู่รุ่นทวดที่รู้เื่ที่กระเดื่องลือเลื่องของสำนักพันปีล้วนล้มตายกันไปหมดแล้ว
ที่ตรอกสิบสามเป็สถานที่ค้าขายที่ครื้นเครงอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง ตรอกสิบสามนอกจากผู้คนมาซื้อของจับจ่ายใช้สอย อีกส่วนหนึ่งมายังที่แห่งนี้เพื่อจุดประสงค์เดียว แวดวงนินทาสังคมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงอยู่ที่นี่
ในร้านค้าแผงขายรูปปั้นยามนี้จอแจด้วยผู้คนมากมาย คนขายรูปปั้นกลับกลายเป็คนเล่าข่าวให้ชาวบ้านทั้งหลายฟังว่า
“ได้ยินว่าผู้ที่ทำลายสำนักเมฆัและสำนักพิรุณพายุคือประมุขสำนักพันปี พวกเ้ารู้หรือไม่ สำนักพันปีเป็สถานที่เช่นไร”
“สำนักพันปี ไฉนชื่อโหลยโท่ยเช่นนี้” เด็กน้อยผู้หนึ่งที่ติดตามบิดามาพอฟังก็เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจออกมา กลับถูกบิดาค้อนศีรษะจนร้องโอยออกมา
“เพ้ย คนโง่เขลาอย่างเ้าจะรู้อะไร สำนักพันปีเป็ที่พำนักของเทพเซียนของโลก อย่าได้พูดจาพล่อยๆเช่นนี้ ประดาจะถูกฟ้าลงทัณฑ์เอา”
เด็กน้อยเอียงคอถามบิดาว่า
“ในโลกมีเทพเซียนจริงหรือ”
ชายวัยกลางคนที่ยืนฟังอยู่พลันแทรกขึ้นมาว่า
“เฮอะ ย่อมมีแน่นอน พวกเ้าบางคนวันนี้อาจไม่เห็น ทว่าข้าเห็นกับตาตนเอง เทพเซียนต่อสู้กัน แม้แต่ท้องฟ้ายังเปลี่ยนสีสัน ะเืเลือนลั่นแม้แต่โรงเตี้ยมของเหล่าซายังถูกทำลายทิ้งไป ที่เขตนั้นมีเรือนเสียหายไปกว่าครึ่ง”
“ประมุขสำนักพันปีผู้นั้นยิ่งใหญ่แกร่งกล้าปกติมักอยู่เงียบ เมื่อเคลื่อนไหวก็โเี้อำมหิต ถึงกับเป็ผู้สะบั้นศีรษะของเ้าสำนักทั้งสองนั้นด้วยตนเอง”
“เดี๋ยวก่อน มิใช่คนบอกว่าหลินกงกงผู้นั้นเป็คนลงมือกวาดล้างสำนักพิรุณพายุในเมืองจินจุ่นหรอกหรือ”
“ใช่แล้ว ข้าเองก็ได้ยินชาวเมืองจินจุ่นเล่าว่าผู้ที่ลงมือทำลายหอพิรุณนั้นเป็ขันทีผมขาวกระบี่แดงในตำนานผู้นั้น”
เ้าของร้านรูปปั้นสีหน้าเคร่งขรึมลดเสียงต่ำกล่าวเบาๆ ว่า
“พวกเ้าอาจไม่รู้ หลินกงกงผู้นั้นเป็คนรับใช้ของท่านประมุขสำนักพันปี วันก่อนหลังจากที่ทำลายสำนักพิรุณพายุ ขันทีผมขาวยังไปเยือนยอดเขาเมฆา หลังจากเหตุการณ์นั้น เ้าสำนักคนใหม่ของสำนักเมฆัถึงกับกราบเท้า ขอเป็องครักษ์ติดตามตัวประมุขสำนักพันปี ยังมีวันนี้หลินกงกงก็ลงมือ ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับประมุขสำนักพันปี หลินกงกงที่อยู่แต่ในวังหลวง แต่ยื่นมือช่วยเหลือเขาทุกครั้ง หากมิใช่ผู้รับใช้ของประมุขสำนักพันปีจะเป็อะไรไปได้?”
“จะเป็ไปได้อย่างไร หลินกงกงเป็ขันทีรับใช้ฝ่าาแต่เพียงผู้เดียว”
เ้าของร้านรูปปั้นเพียงฟังผู้อื่นเล่ามาเที่ยวเดียวจากนั้นเติมแต่งเื่ให้ดูยิ่งใหญ่ขึ้น ยามกะทันหันมิทราบจะตอบอย่างไรจึงบ่ายเบี่ยงว่า
“เื่เหล่านี้เกี่ยวพันถึงความลับใหญ่ของอาณาจักรความลับของฝ่าาไม่อาจกล่าว”
ทุกคนต่างแตกตื่นตื่นตะลึง เ้าของร้านรูปปั้นกลับยิ้มอย่างภาคภูมิรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่อง ข่าวนี้เป็เขาใช้เงินจ่ายซื้อจากทหารรักษาการณ์ผู้หนึ่ง ในหมู่ชาวบ้านพ่อค้า เขาเป็คนที่รู้เื่คนแรก สำหรับแวดวงนินทาสังคมยึดถือเขาเป็เถ้าแก่ข่าวสายฟ้า ไม่ว่าเื่ราวใดเขาจะเป็คนกระจายข่าวเป็คนแรก มีหน้ามีตาด้านในสังคมนินทาผู้อื่นอย่างยิ่ง
ที่โรงเตี้ยมชาวยุทธ์ยามดื่มสุราชื่นชอบเล่าเื่สนุกสนาน
“วันนี้ข้าเห็นกับตาตนเองยอดเขาเมฆาอันเป็ที่ตั้งของสำนักเมฆัถูกประมุขสำนักพันปีโจมตีจนสิ้นสภาพ เหล่าลูกศิษย์ที่หนีออกมาได้ยังบอกว่า ประมุขสำนักพันปีบุกยึดสำนัก กล่าวว่าต่อจากนี้ทุกอย่างของสำนักเมฆัเป็ของสำนักพันปีแล้ว กล่าวอย่างโอหังสายฟ้าฟาดจนยอดเขาสว่างไสว”
“เ้ารู้จักกับศิษย์ผู้นั้นของสำนักเมฆัหรือ”
“สหายของสหายของข้าเล่าให้ข้าฟัง”
“สรุปที่แท้เ้าเห็นกับตาตนเองหรือไปฟังผู้อื่นเล่ามา”
“แน่นอนว่าต้องเห็นด้วยตาตนเอง หากเ้าไม่เชื่อก็ลองไปประตูเมืองตะวันออกดูสักครา ยอดเขาเมฆาแห่งนั้นไร้เมฆแล้ว เมฆขาวนั้นปกคลุมยอดเขาเมฆามานับร้อยปี ยามนี้พอประมุขสำนักพันปีบุกยึดสำนักก็หมดซึ่งพลังชีวิตแล้ว”
“ใช่แล้ว วันนี้ข้าบังเอิญผ่านไปทางด้านนั้น เห็นลำแสงมากมายพวยพุ่งขึ้นฟ้า ยังมีสายฟ้ามากมายผ่าเปรี้ยงลงมา ข้ายังเข้าใจว่าโลกาจะถล่มขุนเขาจะทลายแล้วเสียอีก”
จากนั้นก็มีคนเอ่ยขึ้นมากมาย พูดแทรกอย่างสงสัย บางคนอย่างแต่งเติมเื่ราวที่ตนเองได้ยินเพิ่มเข้าไป
โดยไม่รู้ตัวไม่ทราบเป็ผู้ใดเริ่มต้นเล่าเกี่ยวกับเื่นี้ เพียงไม่กี่ชั่วยามข่าวประมุขสำนักพันปีก็ถูกบอกเล่าอย่างผิดเพี้ยนดัดแปลงไปมากมาย ชาวเมืองหลวงและชางไห่ยิ่งเพิ่มพูนความศรัทธาสำนักพันปี สำนักเทพเซียนที่สูงส่งดั่ง์ ประมุขสำนักพันปียิ่งใหญ่ประหนึ่งเทพ์
ซึ่งเ้าตัวเองไม่ทราบเลยแม้แต่น้อยว่ามีข่าวเช่นนี้ ตัวเขายังคงอยู่บนยอดเขาเมฆา โบ๋เวินเรียกเรือเหาะลำหนึ่งนำพาลูกศิษย์และสิ่งของทั้งหมดของสำนักเมฆัย้ายไปยังเทือกเขาหยก ไท้หยูตระเตรียมตัดแบ่งเทือกเขาหยกที่ยังเป็ป่าให้เป็อาณาเขตที่ตั้งของสาขาเมฏั
หลังจากรอคอยจนพลังของเส้นปฐีในดาบโพ่คงว่าถูกผนึกอย่างสมบูรณ์แล้ว ค่อยสามารถหยิบดาบขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ขณะพลังของเส้นปฐียังไม่เสถียร ไท้หยูร้อนใจคิดสำรวจการเปลี่ยนแปลงของดาบ ถึงกับถูกพลังมหาศาลกระแทกจนร่างปลิวสิบจั้ง กระอักโลหิตคำโตออกมา
ดาบโพ่คงแบกพลังมหาศาลเอาไว้ ตัวดาบปรากฏรอยแตกมากมายราวกับขนแมว พยุหะที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งวาดเอาไว้เปรียบเสมือนโซ่รัดตรึงเชื่อมตัวดาบมิให้ปริแตกเป็เสี่ยงๆ
นอกจากวัตถุพิเศษในโลกไม่มีสิ่งใดสามารถรองรับเส้นปฐีที่มีพลังมหาศาลและบริสุทธิ์ได้ ดาบโพ่คงแม้นมีพยุหะสลักไว้ก็ไม่สามารถทนได้นานเกินชั่วยาม
เหตุเปลี่ยนแปลงของยอดเขาเมฆาชักนำผู้คนมากมายเข้ามา ไม่เพียงแค่ชาวบ้านที่รุดมาชมดู ยังมีเหล่าผู้บัญชาการของเมืองหลวงแห่แหนกันเข้ามา ในจำนวนนั้นมีผู้ที่ไท้หยูเพิ่งพบหน้าเมื่อไม่นานนี้ และเพิ่มคนที่ยังไม่เคยรู้จักอีกสองสามคน
คนเหล่านี้น้อยครั้งจะปรากฏตัวให้คนเห็น ยามนี้ไท้หยูเพิ่งเข้าเมืองหลวงวันแรกก็แทบจะพบผู้มีอำนาจในเมืองหลวงจนหมดสิ้น ยกเว้นเหล่าขุนนางบุ๋น ผู้ที่มีอำนาจในฝ่ายบู๊แปดในสิบเขาพบเจอหมดแล้ว
จิ่งโม่ที่รู้สึกไม่ชอบหน้าประมุขพันปีผู้นี้ เมื่อมาแล้วพบว่าเป็คนน่ารังเกียจที่รู้จักแต่ก่อเื่ถึงกับก่นด่าออกมาอยู่หลายคำ ไท้หยูตอกกลับไปว่าทั้งหมดนี้เป็สิ่งของของสำนักพันปี เขาจะทำอย่างไรล้วนถูกต้องไม่ผิดกฏแต่อย่างใด สุดท้ายยังย้ำว่านี่มิใช่เขาพูดเองเออเองทว่าเป็ขันทีผมขาวผู้นั้นเอ่ยออกมา หากทุกท่านสงสัยก็ยกขบวนกันไปที่วังหลวง ถามขันทีผมขาวดูสักหลายคำ หากไม่ใช่ความจริง ข้าจะยืนรอให้พวกท่านมาจับเข้าคุก
ไท้หยูจับไต๋ได้ว่าคำขันทีผมขาวเมื่อออกจากปาก ไม่ว่าผู้ใดล้วนเกิดความครั่นคร้ามหวั่นเกรง แทบจะกลายเป็คำประกาศิตที่เมื่อออกจากปากก็สะกดทุกความคิดทุกการเคลื่อนไหว
เ้ากรมราชทัณฑ์เป็ชายวัยกลางคนไว้เครายาวสามนิ้วที่นิยมกัน เบ้าตากลวงลึก ผิวสีข้าวสาลี ั์ตากลอกกลิ้งสวมชุดราชการคลุมเสื้อหนังสีน้ำตาลอีกชั้นหนึ่ง เพียงมองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็จิ้งจอกเ้าเล่ห์มากเพทุบายคนหนึ่ง ยามแรกพบเห็นไท้หยูยังคิดจะขูดรีดทว่าเมื่อพูดถึงขันทีผมขาวออกมาก็สงบเสงี่ยมกว่าเดิม ไม่กล้าจะขูดรีดอีก
ไท้หยูครุ่นคิดในใจว่า
“สงสัยว่าหลินกงกงคงเป็ปีศาจในใจของเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ของเมืองหลวง”
หลังจากพูดคุยกันสองสามประโยค ทุกคนก็รู้ว่าไม่สามารถกวาดสิ่งใดเข้ากระเป๋าของตนเองก็ได้แต่จากไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง หลายคนยิ่งกล่าวว่าประมุขสำนักพันปีผู้นี้ไม่ใช่คน กวาดทรัพย์เข้ากระเป๋าของตนเองไม่ยอมแบ่งปันผู้อื่น พวกเขาหารู้ไม่ แม้แต่ไท้หยูเองก็ถูกขันทีผมขาวผู้นั้นกวาดวัตถุในถุงย่ามของตนเองไปเช่นกัน
พระอาทิตย์ตกดิน ขณะจะออกจากยอดเขาเมฆา มือถือดาบโพ่คงเอาไว้ก็ปรากฏสายลมโชยปะทะแผ่นหลัง เมื่อหันกลับไปก็เห็นขันทีผมขาวที่เป็ปีศาจในใจของขุนนางทุกคนยืนยิ้มมองตนเอง ไท้หยูเรียกหา
“หลินกงกง”
ขันทีผมขาวยิ้มแย้มดุจเดิม รอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าไท้หยูรู้สึกรังเกียจรอยยิ้มนี้ยิ่ง
“ฝ่าาเคยบอกเราว่าแม้แต่ฝ่าายังศึกษาพยุหะแปดปฐีไม่สำเร็จ คาดไม่ถึงท่านกลับมีความรู้เกี่ยวกับพยุหะอยู่บ้าง”
สิ่งที่ฮ่องเต้ยังเรียนรู้ไม่ได้ข้ามีหรือจะทำได้ ไท้หยูแค่นเสียงพร่ำบ่นอยู่ในใจเปลือกนอกกล่าวว่า
“นี่เป็สิ่งที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักเราทิ้งเอาไว้ให้ เราไหนเลยมีความสามารถเทียมฟ้า” หยุดสังเกตสีหน้าเล็กน้อยค่อยกล่าวสืบต่อว่า
“ฝ่าาตรัสสิ่งใดหรือ”
ขันทีผมขาวยังคงมีรอยยิ้ม ส่ายหน้าเล็กน้อยกล่าวว่า
“ฝ่าามิได้สนพระทัยเื่เล็กน้อยเช่นนี้ เื่ความวุ่นวายในเมืองหลวงเป็เราดูแลแทนพระองค์ อืม ฝ่าาตรัสว่าให้ประมุขเข้าวังสักครา”
ไท้หยูแตกตื่นเล็กน้อยทว่าภายนอกปลอดโปร่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเฉยว่า
“ทราบแล้ว รอจนจัดการธุระแล้วเสร็จจะไปเยือนวังหลวงเข้าเฝ้าฝ่าา....ท่านมาเพื่อแจ้งเื่นี้โดยเฉพาะ?”
ในความคิดของเขา หลินกงกงย่อมไม่ขี่กระบี่เหินออกจากวังหลวงเพื่อบอกเื่ที่เคยฝากโบ๋เวินบอกเอาไว้ ดังนั้นคาดว่าคงมีเื่อื่น
“เกี่ยวกับพรรคอัปสรนั้น ซับซ้อนกว่าที่เ้าคาดคิด กลุ่มอำนาจนี้มีเื้ัที่ร้ายกาจและจุดประสงค์หลายอย่างแอบแฝง ข้ามาเพื่อบอกเื่หนึ่งต่อเ้า”
ไท้หยูกลืนน้ำลายเหนียวข้น ไม่ต้องออกไปตกปลาก็มีปลาบินมาหาเองแล้ว
“หลินกงกงโปรดชี้แนะ”