เล่มที่ 2 บทที่ 40
ในตอนแรก มนุษย์ย่อมมีความดีโดยธรรมชาติ ไม่มีใครเลวโดยเนื้อแท้และไม่มีใครจิตใจดีแต่โง่ไปตลอดชีวิต
เมื่อปี้เอ๋อร์จบคำพูดด้วยเสียงโขกศีรษะ หัวใจของมู่หรงฉิงก็เหมือนมีคลื่นลมถาโถม นางเกลียดความจิตใจดีแต่โง่เขลาของตนเอง นางเกลียดการไม่ทำอะไรของตนเอง มากไปกว่านั้นนางเกลียดที่ตนเองมองคนไม่ขาด
ยวี้เอ๋อร์นะ ยวี้เอ๋อร์ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้สาเหตุว่าทำไมเ้าถึงทรยศท่านแม่ แต่ข้า, มู่หรงฉิงจะไม่ยอมให้แผนการของเ้าสำเร็จลุล่วง มู่หรงฉิงสรุปได้ว่าจุดประสงค์ของยวี้เอ๋อร์ ไม่ใช่การเป็ภรรยารองของมู่หรงอั้น หัวใจของยวี้เอ๋อร์ไม่ได้อยู่ที่มู่หรงอั้นอย่างแน่นอน
อนุหนิง้าให้มู่หรงยวี่ได้เป็ชายาขององค์ชายรัชทายาท และในคืนนั้น ยวี้เอ๋อร์ก็ขอร้องมู่หรงอั้นให้พานางเข้าไปในวัง เมื่อเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกัน มู่หรงฉิงจึงเข้าใจแล้ว
ความประสงค์ของพวกอันธพาลเ่าั้คือราชสำนัก
ผู้อยู่ในเรือนลึกย่อมรับรู้เื่ในราชสำนักน้อยมาก แต่ถ้าสรุปจากสิ่งที่รับรู้กันในเวลานี้ ราชสำนักจะต้องประสบกับเหตุการณ์สำคัญเป็แน่ และผู้ที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญจะต้องเป็อนุหนิงและยวี้เอ๋อร์ คิดว่าท่านแม่ก็คงตกเป็เหยื่อของเหตุการณ์สำคัญนี้ด้วย
“น้องหญิง วัตถุดิบพร้อมแล้ว ฟักทองก็นึ่งสุกแล้วด้วย”
แม้ว่านางจะคาดเดาได้ แต่นางก็ไม่มีหลักฐานใด ดังนั้นมู่หรงฉิงจึงไม่สามารถตัดสินใจอย่างเด็ดขาดได้ ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงของเฉินเทียนหยูก็ดังมาจากกลางเรือน
“เ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ เื่ของวันนี้ จงอย่าให้บุคคลที่สามรับรู้อย่างเด็ดขาด และต่อให้เกิดอะไรขึ้นบ้างใน่เวลานี้ ก็จงอย่าเปิดเผยด้วยเช่นเดียวกัน จงจำไว้ว่า จงอย่าปล่อยให้แม่นมสองคนพบพิรุธ” พลางสาวเท้าสองก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยประคองปี้เอ๋อร์ให้ลุกขึ้นยืน ก่อนมู่หรงฉิงจะสั่งกำชับ “แม่นมสองคนก็ถูกวางยา ‘ทางเลือก’ ข้าคิดว่าเ้ารู้อยู่แล้ว”
“คุณหนูใหญ่ โปรดยกโทษให้บ่าวด้วย ในเวลานั้นบ่าวไม่แน่ใจถึงความคิดของคุณหนูใหญ่” ปี้เอ๋อร์รีบคำนับ ครั้นเห็นว่าปี้เอ๋อร์กำลังจะคุกเข่าลงอีกครั้ง มู่หรงฉิงก็รีบประคอง “เดิมทีเ้าก็เป็คุณหนูในครอบครัวหนึ่งเช่นกัน แต่ตอนนี้เ้ากลับต้องมาปรนนิบัติข้า คิดว่าเ้าเองก็ไม่เต็มใจสักเท่าไร”
คำพูดของมู่หรงฉิงทำให้ปี้เอ๋อร์รีบก้มหน้าลงด้วยความกลัว “บ่าวเคยรู้สึกไม่เต็มใจ แต่บ่าวยอมรับในชะตากรรมแล้ว หากเทียบกับการถูกลดตัวเป็นางโลมที่มีคนขี่เป็พันและต้องปล่อยให้คนกดเป็หมื่นคน บ่าวเต็มใจจะภักดีต่อคุณหนูไปตลอดชีวิต”
มู่หรงฉิงพอใจในท่าทีของปี้เอ๋อร์ ในอดีตนางเป็คนจิตใจดีแต่โง่เกินไป เป็สาเหตุให้บ่าวชั่วร้ายวางกับดักทำร้ายนางเป็ขั้นเป็ตอน แต่นางในตอนนี้หมายที่จะกำจัดความจิตใจดีแต่โง่เขลานั้น นางก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า คนชั่วเ่าั้จะเก่งกาจ รู้จักเอาตัวรอดจริงๆ เช่นนั้นได้หรือไม่
เด็กสาวหยิบผ้าแพรออกมาซับน้ำตาให้ปี้เอ๋อร์ เสียงของมู่หรงฉิงค่อนข้างเบาค่อยและสั่นเครือ เห็นๆ อยู่ว่าคนอยู่ตรงหน้า แต่ปี้เอ๋อร์รู้สึกว่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือของมู่หรงฉิงทำให้นางไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย “ความจงรักภักดีของเ้า ข้ารู้ หลังจากเื่ราวครั้งนี้จบลง ข้าจะให้เ้าได้แต่งงานกับคนที่ดี”
ปี้เอ๋อร์ตกตะลึงกับคำมั่นสัญญาของมู่หรงฉิง ก่อนนางจะพบว่ามู่หรงฉิงในเวลานี้มีความแตกต่างจากเมื่อก่อนเป็อย่างมาก แต่ครั้นพิจารณาอย่างระมัดระวัง นางกลับพบว่าผู้เป็นายหญิงไม่ได้มีความแตกต่างจากเดิม อีกฝ่ายยังคงมีใบหน้าสงบนิ่งและเ็าเช่นเดิม แม้แต่การแสดงออกก็ยังเฉยเมยไม่แยแส
ปี้เอ๋อร์ยังอยากที่จะพูดอะไรมากกว่านั้น ทว่ามู่หรงฉิงได้สาวเท้าเดินออกไปแล้ว “แม้ว่าในห้องจะมีก้อนน้ำแข็งอยู่ แต่ถ้าปิดหน้าต่างอยู่อย่างนี้ อากาศย่อมไม่ถ่ายเท เ้าควรเปิดหน้าต่างทุกบาน จากนั้นจัดระเบียบภายในห้อง ก่อนที่จะตามออกไปรับใช้ข้า”
ปี้เอ๋อร์เข้าใจความหมายในคำพูดของมู่หรงฉิง เนื่องจากการร้องไห้ ดวงตาทั้งสองข้างของนางจึงแดงก่ำ ถ้านางออกไปข้างนอกในเวลานี้ ย่อมทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยอย่างแน่นอน จากนั้นจึงกล่าวตอบรับ
ทันทีที่มู่หรงฉิงเปิดประตู เฉินเทียนหยูก็โผเข้ามาทันควัน “น้องหญิงสามารถทำขนมกรอบเทพีได้หรือไม่? ข้าหิวแล้ว”
“แน่นอนว่าทำได้แล้ว” นางคลี่ยิ้มทว่าจู่ๆ มู่หรงฉิงกลับหยุดชะงักฝีเท้า นางเงยหน้าขึ้นมองเฉินเทียนหยูด้วยรอยยิ้มบางๆ “เพียงแต่ข้อเท้าของข้าเจ็บมาก เกรงว่าจะต้องให้ท่านพี่ประคองข้าไปที่ห้องครัวเล็กแล้ว”
เฉินเทียนหยูอุ้มมู่หรงฉิงกลับมาตลอดทาง หลังได้ฟังคำขอให้ช่วยประคอง เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร นอกจากยื่นแขนทั้งสองออกไปโดยไม่ได้เอ่ยตอบ จากนั้นอุ้มมู่หรงฉิงขึ้นก่อนกล่าวว่า “ประคองอะไรกัน อุ้มง่ายกว่ามาก”
ใช่แล้ว! ง่ายกว่ามาก ต้องให้ทุกคนรู้ถึงความรักของเ้าที่มีต่อข้าก่อน เพื่อที่นายท่านเฉินจะได้เห็นด้วยกับข้าที่จะไปดูผลโยิ
เฉินเทียนหยูอุ้มมู่หรงฉิงเข้าไปในครัวเล็ก จังหวะนั้นพวกบ่าวก็รีบวางของในมือลงก่อนค้อมศีรษะคำนับให้ผู้เป็นายทั้งสองคน “น้อมทักทายคุณชายรอง น้อมทักทายฮูหยินน้อย”
เฉินเทียนหยูย่อมไม่ตอบ และเดินตรงเข้าไปพร้อมกับมู่หรงฉิงซึ่งอยู่ในอ้อมแขน ทางด้านมู่หรงฉิงนั้นพยักหน้าให้ “ทุกคนลุกขึ้นเถอะ วัตถุดิบได้เตรียมพร้อมแล้วใช่หรือไม่?”
“เรียนฮูหยิน ได้เตรียมพร้อมแล้ว” เด็กสาวซึ่งเป็หนึ่งในบรรดาบ่าวทั้งหมดก้าวเท้าออกมา และเอ่ยตอบด้วยความเคารพนอบน้อม
“อืม สองคนอยู่ที่นี่เพื่อช่วยข้า ส่วนคนที่เหลือไปทำงานของตัวเองตามที่ได้รับมอบหมายเถอะ” มู่หรงฉิงกล่าวขณะมองดูส่วนผสมบนโต๊ะ
พวกบ่าวเอ่ยตอบอีกหน โดยมีเด็กสาวระดับสองคอยเป็ผู้ช่วย ส่วนคนที่เหลือก็เดินออกไป
หลังจากเฉินเทียนหยูวางมู่หรงฉิงลง เขาก็ยืนอยู่ด้านข้าง และกะพริบตาปริบๆ รอมู่หรงฉิงลงมือ
“ขนมกรอบเทพีนี้เป็วิธีเรียกตลกๆ ของท่านแม่ เต้าหู้เนียนนุ่ม คล้ายกับสาววัยแรกแย้ม และเนื้อของฟักทองที่มีสีทอง ตัดกับสีของเต้าหู้ให้ความรู้สึกคล้ายกับพระอาทิตย์ตกเล็กน้อย ดังนั้น จึงเป็ที่มาของการเรียกว่า ขนมกรอบเทพี” ในขณะที่พูด มู่หรงฉิงได้ใส่ฟักทองนึ่งและเต้าหู้ลงไปในชามขนาดใหญ่ จากนั้นใส่น้ำผึ้ง แป้งข้าวโพดและแป้งข้าวสาลีผสมให้เข้ากัน
การพูดถึงผู้เป็แม่ทำให้ความโศกเศร้าของมู่หรงฉิงพวยพุ่งออกมา ในใจของนางมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะทำลายแผนการของอนุหนิง พร้อมทั้งล้างแค้นให้ท่านแม่ของนางให้ได้
เฉินเทียนหยูเห็นว่ามู่หรงฉิงได้ทำการเทส่วนผสมให้เข้ากันแล้ว จากนั้นปั้นเป็รูปทรงกลมชิ้นเล็กๆ เขาก็ล้างมือให้สะอาด และปั้นขนมด้วยเช่นกัน
ทันทีที่เขานั่งลง เฉินเทียนหยูแทบรอไม่ไหวที่จะกินขนมกรอบเทพี เมื่อกินเข้าไป เขาก็หรี่ตาอย่างพึงพอใจทันที
แค่กัดหนึ่งคำก็ััผิวสีทองด้านนอกซึ่งกรอบอร่อย จากนั้นััได้ถึงความหอมหวานในปากที่อธิบายเป็คำพูดไม่ถูก คลุกเคล้ากับความรู้สึกเนียนนุ่ม ครั้นกลืนกินเข้าไป รสหวานนั้นกลับไม่จางหายเป็เวลานานส่งผลให้ปากยังคงรับรู้ถึงกลิ่นหอม
เฉินเทียนหยูไม่รู้จะอธิบายถึงความอร่อยเลิศรสของขนมกรอบเทพีนี้ว่าอย่างไร เขาได้แต่พูดว่ามันอร่อย ขนมกรอบเทพีมีความแตกต่างจากขนมข้าวเหนียวห่อใบบัว เนื่องด้วยไม่ต้องกลัวว่าจะย่อยยาก ด้วยสาเหตุนั้น มู่หรงฉิงจึงไม่ได้หยุดเฉินเทียนหยู และปล่อยให้เขากินทีละชิ้นอย่างต่อเนื่อง
มู่หรงฉิงเห็นว่าเฉินเทียนหยูชื่นชอบขนมกรอบเทพีมาก นางจึงกินเพียงชิ้นเดียว จากนั้นไม่กินอีกโดยปล่อยขนมที่เหลือให้เฉินเทียนหยูกินคนเดียว
เมื่อจ้าวจื่อซินเดินเข้ามาก็เห็นเฉินเทียนหยูกำลังกินขนมทรงกลมสีทองในจาน พร้ะโกนว่าอร่อย ฝั่งมู่หรงฉิงกำลังกินอาหารของนางอย่างเงียบๆ
เฉินเทียนหยูหันไปเห็นจ้าวจื่อซิน เขาก็อึ้งงันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนโอบจานด้วยมือทั้งสองข้าง “ข้าจะไม่เ้ากิน ข้าจะไม่ให้เ้ากิน”
เดิมทีจ้าวจื่อซินไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไร แต่หลังจากเห็นเฉินเทียนหยูดูชื่นชอบขนมนั้นมาก จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่า มู่หรงฉิงได้สัญญาว่าจะทำขนมกรอบเทพีให้เฉินเทียนหยูหลังกลับถึงเรือน เป็ไปได้หรือไม่ว่าขนมชิ้นเล็กๆ เ่าั้จะเป็ขนมกรอบเทพีที่น่ารำคาญนั่น?
จ้าวจื่อซินพลอยนึกถึงรสชาติอันเลิศรสของข้าวเหนียวห่อใบบัว ก่อนถูกดึงดูดด้วยรูปร่างหน้าตาของเฉินเทียนหยูที่มองมาราวกับตนเป็ศัตรูตัวฉกาจ จึงกล่าวด้วยความรังเกียจทันทีว่า “สังเกตดูจากหน้าตาของขนมแล้ว ไม่น่าจะอร่อยเท่าใดนัก คุณชายรองวางใจเถอะ ผู้น้อยไม่กินอย่างแน่นอน”
“เ้า! เ้าพูดพล่อยๆ ขนมกรอบเทพีที่น้องหญิงทำ มันอร่อยมาก” เมื่อได้ฟังจ้าวจื่อซินบอกว่าขนมกรอบเทพีไม่อร่อย เฉินเทียนหยูถึงกับลุกขึ้นยืน พยายามต่อสู้ด้วยเหตุผล แต่ปฏิกิริยาตอบรับกลับกลายเป็ความเฉยเมยของจ้าวจื่อซิน
ท่าทีไม่เชื่อของจ้าวจื่อซินเป็สาเหตุให้เฉินเทียนหยูลากจ้าวจื่อซินไปที่โต๊ะทันที “เ้ากิน เ้ากินหนึ่งชิ้นแล้วก็จะรู้”
เห็นเฉินเทียนหยูวิ่งไปลากจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงก็ส่ายศีรษะในใจ วิธีของจ้าวจื่อซินผลักดันให้คนตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ และมีเพียงคนโง่เช่นเฉินเทียนหยูเท่านั้นที่หลงกล
เฉินเทียนหยูร้องขอให้จ้าวจื่อซินชิมขนมอยู่หลายครั้ง จุดประสงค์ดั้งเดิมของจ้าวจื่อซินคือการได้ลองชิมขนมกรอบเทพีอยู่แล้ว เขาย่อมไม่ลังเลอีกต่อไป ชายหนุ่มคีบขนมเข้าปากหลังจากเคี้ยวขนม ระหว่างคิ้วของเขาก็กระตุก ก่อนลอบพูดพึมพำในใจ ขนมสีทองกรุบกรอบอร่อย และสิ่งที่หายากที่สุดคือด้านใต้ชั้นนอกกรอบกรุบ แต่ห่อความนุ่มหวานด้านในไว้ รสชาตินี้ทำให้คนรู้สึกเหมือนอารมณ์ค้างจริงๆ
“เป็อย่างไรหรือ? มันอร่อยมากใช่หรือไม่?” สีหน้าของจ้าวจื่อซินยังคงมีแต่ความเ็าหลังจากกิน แต่เฉินเทียนหยูกลับรีบถามขึ้นทันทีว่า “มันอร่อยมากใช่หรือไม่? ใช่หรือไม่?”
“อืม ผู้น้อยยังชิมรสชาติไม่ออก เดาว่าเป็เพราะรสชาติจืดเกินไป คุณชายรองโปรดอนุญาตให้ผู้น้อยลองกินอีกชิ้นสิ” เขาโกงของกินโดยไม่ได้หน้าแดงหรือหอบหายใจใดๆ เขาแค่พูดออกไปอย่างมีเหตุผล
พฤติกรรมของจ้าวจื่อซินทำให้มู่หรงฉิงอยากจะร้องไห้ก็ไม่ได้ อยากจะยิ้มก็ไม่เชิง ปรากฏว่าบุคคลนี้มีด้านอันธพาลเสียด้วย
ตามที่จ้าวจื่อซินได้กล่าวไว้ เฉินเทียนหยูย่อมรอคำตอบและกะพริบตาปริบๆ จ้าวจื่อซินกินอย่างต่อเนื่องไม่รู้ตั้งกี่ชิ้น ก็ยังคงไม่ได้ข้อสรุป เฉินเทียนหยูจึงได้แต่กระวนกระวายเดินไปเดินมา “ตกลงอร่อยหรือไม่? มันอร่อยใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายของเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงจึงรีบดึงเขาลงนั่งพร้อมพูดว่า “ท่านพี่อย่าวิตกกังวล ถ้ามันไม่อร่อยจริงๆ จ้าวจื่อซินก็คงไม่กินมากถึงเพียงนี้ใช่หรือไม่?” ปากพูดกับเฉินเทียนหยู แต่ในใจค่อนข้างไม่ชอบพฤติกรรมของจ้าวจื่อซิน เ้าอยากจะกินก็กินเข้าไปสิ ทำไมถึงต้องหยอกล้อเฉินเทียนหยูด้วย?
“ไม่ได้ ขนมที่น้องหญิงทำนั้นอร่อยมาก เขาจะต้องบอกว่าอร่อย” ความคิดของเฉินเทียนหยูเรียบง่ายมาก มู่หรงฉิงทำอะไรก็อร่อย เขาชอบมันมาก ย่อมไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นบอกว่าไม่อร่อย
“ในโลกนี้มีของอร่อยมากมาย บางคนบอกว่าอร่อย แต่บางคนกลับบอกว่ามันไม่อร่อย หัวไชเท้าและผักใบเขียว คนบางส่วนชอบย่อมมีคนบางส่วนที่ไม่ชอบ ทำไมท่านพี่ถึงต้องดึงดันบังคับคนอื่นให้บอกว่าอร่อยด้วยล่ะ?”
“ไม่ได้ นี่เป็ขนมที่น้องหญิงทำ สิ่งที่น้องหญิงทำนั้นอร่อยที่สุด” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินเทียนหยูก็ผลักจ้าวจื่อซินออกไปอย่างดุร้าย จากนั้นดึงจานใส่ขนมชิ้นเล็กๆ ที่เหลืออยู่กลับมาราวกับของล้ำค่า “น้องหญิงเป็น้องหญิงที่ดีที่สุด ขนมที่น้องหญิงทำนั้นเป็ขนมที่อร่อยที่สุดในโลก น้องหญิงเป็น้องหญิงของข้า น้องหญิงของข้าเป็น้องหญิงที่ดีที่สุดในโลก”
คำพูดของเฉินเทียนหยูถึงกับทำให้คำพูดขายผ้าเอาหน้ารอดของมู่หรงฉิงติดอยู่ในลำคอ นางพูดออกมาไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถกลืนกลับเข้าไปได้ด้วย
“น้องหญิงเป็น้องหญิงของข้า ขนมที่น้องหญิงทำเป็ขนมที่อร่อยที่สุด คนอื่นพูดไม่ได้ว่าขนมที่น้องหญิงทำนั้นไม่อร่อย ข้าเคยสัญญาแล้วว่าจะปกป้องน้องหญิง ข้าจะไม่ปล่อยให้คนอื่นมาพูดถึงน้องหญิงในด้านแย่ๆ”
เฉินเทียนหยูพูดพึมพำ แต่ดวงตาของมู่หรงฉิงมืดมิดลงเล็กน้อย มิหนำซ้ำนางไม่สามารถบอกได้ว่านางรู้สึกอย่างไร
เห็นๆ อยู่ว่านี่เป็คำพูดโง่ๆ แต่ทำไมนางฟังแล้วกลับให้ความรู้สึกอึดอัดและกลัดกลุ้มในใจ?
เด็กสาววางตะเกียบลงก่อนจะดึงมือของเฉินเทียนหยู เสียงของนางไม่อาจบอกได้ว่าเป็ความโศกเศร้าหรือความเสียใจ “ท่านพี่ดีกับฉิงเอ๋อร์เป็อย่างมาก ฉิงเอ๋อร์มีความสุขมาก ตราบใดที่ท่านพี่ชอบอาหารของฉิงเอ๋อร์ ฉิงเอ๋อร์จะทำอาหารให้ท่านพี่ตลอดชีวิตเลย ดีหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้นางเคยคิดว่าการแต่งงานกับเฉินเทียนหยู มันคือความโชคร้าย แม้ว่านางจะไม่้าที่จะยอมรับ ถึงกระนั้นนางก็ต้องยอมรับมัน แต่หลังจากรู้เื่ราวหลายสิ่งหลายอย่าง นางก็ไม่้าที่จะยอมรับชะตากรรม ถ้านางทำได้ ถ้านางมีความสามารถในการจัดการแก้ไขสถานการณ์เ่าั้ นางคิดที่จะกำจัดพิษของเฉินเทียนหยู สังเกตจากความเกลียดชังที่เขามีต่อจานไฉ่เยว่ เขาคงมีความรักสุดลึกซึ้งต่อจานไฉ่เยว่ ในเวลานั้นคงไม่ต้องให้นางเอ่ยถาม เขาย่อมต้องแก้ปัญหาเ่าั้ด้วยตัวของเขาเอง