สถานที่จัดงานเลี้ยงอยู่ที่ลานสดับพิรุณในอุทยานหลวง ที่นี่มีลักษณะโดดเด่นแตกต่างจากที่อื่น มีศูนย์กลางเป็ทะเลสาบขนาดไม่ใหญ่มาก ภายในทะเลสาบมีเกาะเล็กๆ สองเกาะเชื่อมกันอยู่ เพียงข้ามไปหนึ่งก้าวก็สามารถไปมาถึงกันได้ สถานที่จัดเลี้ยงของบุรุษจะอยู่บนเกาะด้านซ้ายซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า ส่วนของสตรีจะอยู่บนเกาะด้านขวาซึ่งมีขนาดเล็กกว่า
เพื่อให้ทุกคนได้สนุกสนานอย่างเต็มที่ จักรพรรดิจึงโปรดให้จัดที่นั่งของเหล่าขุนนางอยู่ริมทะเลสาบ ที่นั่งบนเกาะทั้งหมดจะมีแต่คนหนุ่มสาว จะได้ไม่ถูกบิดาของตนเองจับตามองจนอึดอัดพานให้หมดสนุก
มีเรือสำราญลำเล็กสองสามลำจอดอยู่ข้างทะเลสาบคอยรับส่งคนไปที่เกาะกลางน้ำ เนื่องจากมีเรือไม่มาก ชายหญิงจึงต้องขึ้นเรือลำเดียวกัน โดยจะแวะส่งฝ่ายหญิงที่เกาะด้านขวาก่อนแล้วจึงไปส่งฝ่ายชายที่เกาะด้านซ้าย หลังจากนั้นก็ย้อนกลับมาที่ฝั่งเพื่อรับคนต่อไป
ขณะที่โม่เสวี่ยถงและลั่วิจูอยู่ที่ริมฝั่งทะเลสาบก็มีคนยืนรออยู่มากมาย ทั้งคุณหนูและคุณชายล้วน้าข้ามไปบนเกาะ ยามนี้จึงยืนออกันอยู่ ผู้ใดที่สนิทสนมคุ้นเคยก็ไปด้วยกัน เหล่าคุณหนูส่วนใหญ่มักไปกับพี่ชายน้องชายของตนจึงดูไม่น่าเกลียด เนื่องจากยามนี้จักรพรรดิและเหล่าขุนนางยังไม่มา สถานที่จัดเลี้ยงริมฝั่งทะเลสาบจึงยังว่างอยู่ ไม่มีใต้เท้าของจวนไหนมาคอยคุมบุตรหลาน ดังนั้นบรรยากาศจึงค่อนข้างสนุกสนานครึกครื้น เหล่าคุณชายคุณหนูต่างจับกลุ่มคุยกันอยู่ตามใต้ต้นไม้
“น้องหญิงถง ดูสิ... พี่ชายใหญ่ของข้าอยู่ตรงนั้น พวกเราเข้าไปทักทายกันเถอะ” ลั่วิจูชี้ไปที่ลั่วเหวินโย่วซึ่งอยู่ไม่ไกล กลุ่มของเขาทางฝั่งโน้นมีทั้งหญิงชายอยู่ด้วยกันหลายคน
เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ถึงพบว่าในกลุ่มมีฉินอวี้เฟิง ฉินอวี้เซวียน ลั่วเหวินโย่ว โหยวเยวี่ยเฉิงและคุณหนูอีกสองสามคน เมื่อเห็นพวกนางเดินมาคนที่ออกไปทักทายคนแรกก็คือฉินอวี้เซวียน ดวงตาของเขาเป็ประกาย น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยถามฟังดูรู้ว่าห่วงใย “ถงเอ๋อร์ าเ็คราวที่แล้วหายดีแล้วหรือ ยังรู้สึกไม่สบายอยู่อีกหรือไม่”
นับั้แ่กลับมาจากวัดชิงเหลียงซื่อ เขากับนางก็ไม่ได้พบกันอีกเลย
“ขอบคุณพี่ชายเซวียนที่เป็ห่วงเ้าค่ะ ครั้งที่แล้วาเ็เพียงเล็กน้อย ข้าหายตั้งนานแล้วล่ะ” โม่เสวี่ยถงยิ้มให้อย่างน่ารัก หลังจากนั้นก็หันไปคารวะทักทายฉินอวี้เฟิงและลั่วเหวินโย่ว คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังเห็นแล้วต่างก็เดินตามมาสมทบ จากนั้นทุกคนก็กล่าวทักทายกันตามมารยาท
โม่เสวี่ยถงเพิ่งรู้ว่าหญิงสาวหน้าตาน่าสะสวยในชุดสีชมพูก็คือน้องสาวของโหยวเยวี่ยเฉิงชื่อโหยวเยวี่ยเอ๋อ สตรีหน้าตาหมดจดในชุดหรูฉวินสีฟ้าชื่อเจี่ยงอวี้เอ๋อร์ ส่วนหญิงสาวหน้าตาน่ารักที่เดินมาด้วยกันชื่ออ้ายเสวี่ย
แต่สายตาของโม่เสวี่ยถงกลับไปอยู่ที่ซือหม่าเหอเยี่ยนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังสุด นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้พบกับซือหม่าหลิงเยี่ยนนับั้แ่มาเกิดใหม่ นางสวมชุดกระโปรงสีเทาอ่อนที่คอเสื้อและแขนเสื้อปักลายสีแดงสด ดูท่าทางซุกซนขี้เล่น
ชีวิตในชาติก่อนของซือหม่าเหอเยี่ยนก็ไม่ดีนัก ต้องกลายเป็บันไดสู่อำนาจให้พี่ชายตนเอง ตอนที่โม่เสวี่ยถงแต่งเข้าจวนซือหม่าแรกๆ ซือหม่าเหอเยี่ยนยังอยู่ในจวน แต่ทั้งสองก็มิได้พูดคุยสนิทสนมกันมาก หลังแต่งเข้ามาได้หนึ่งเดือนซือหม่าเหอเยี่ยนก็แต่งออกไป ในระหว่างหนึ่งเดือนที่ทั้งคู่ยังอาศัยอยู่ในจวน โม่เสวี่ยถงเป็สะใภ้ใหม่ยังขี้อายและขลาดกลัว ไม่ว่าจะทำอะไรก็กลัวผิดพลาดไปหมดจึงไม่กล้าพูดมาก ขณะที่ซือหม่าเหอเยี่ยนก็ยุ่งกับการเตรียมตัวเป็เ้าสาว
ทั้งสองคนจึงคุยกันไม่กี่ประโยค แต่ถึงกระนั้นโม่เสวี่ยถงก็รู้สึกได้ว่าซือหม่าเหอเยี่ยนมิได้รังเกียจนาง แต่ไม่ถูกกับอวิ๋นอี้ชิวญาติผู้พี่ของตนเอง ซือหม่าเหอเยี่ยนในความทรงจำของนางมักชอบเชิดหน้ามองคนอยู่เสมอ
กับสตรีผู้นี้โม่เสวี่ยถงไม่ค่อยมีความรู้สึกอะไรด้วยนัก กลับถอนใจให้ชะตากรรมของนางมากกว่า ที่ต้องออกเรือนด้วยความจำใจภายใต้แผนการของพี่ชายตนเอง
“นี่คือคุณหนูสามสกุลโม่หรือ โอ้... ช่างงามนัก พี่ชายของข้ากลับมาก็เอ่ยถึงอยู่บ่อยๆ นี่กระมังที่เขาเรียกว่าร้อยรู้ไม่สู้หนึ่งตาเห็น” ซือหม่าเหอเยี่ยนยิ้มแย้มแจ่มใส เดินออกมาจากด้านหลังของโหยวเยวี่ยเอ๋อและอ้ายเสวี่ย หันมามองโม่เสวี่ยถงั้แ่หัวจรดเท้าอย่างพิจารณาพลางกล่าวชื่นชม
นางได้ยินพี่ชายของตนเองกล่าวถึงคุณหนูสองคนของสกุลโม่จริงๆ เมื่อก่อนมักจะเอ่ยถึงคุณหนูใหญ่สกุลโม่ จนกระทั่งคุณหนูสามมาปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวง พี่ชายของตนก็ชื่นชมไม่ขาดปาก จนซือหม่าเหอเยี่ยนอยากจะรู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเปลี่ยนไป
วันนี้โม่เสวี่ยถงสวมใส่อาภรณ์สีเรียบสะอาดตา โม่ฮว่าเหวินย่อมตระหนักว่านางต้องไว้ทุกข์ ที่ออกมาร่วมงานเลี้ยงได้ก็เป็ความประสงค์ของตน หากจะสวมชุดสีสันสดใสก็ไม่บังควร ดังนั้นจึงเลือกชุดสีพื้นแต่ดูเรียบหรูสง่างาม
เนื่องจาก่นี้โม่เสวี่ยถงได้พักฟื้นบำรุงอย่างเพียงพอ แม้ว่าตัวจะยังดูไม่สูงขึ้น แต่ก็ดูเป็สาวน้อยสะโอดสะอง ใบหน้าเล็กงามละเมียดประหนึ่งหยกแกะสลัก ดวงตากลมโตเป็ประกายระยิบระยับดั่งสายน้ำยามฤดูใบไม้ผลิ แพขนตายาวงามงอนกะพริบปริบๆ จมูกโด่งเชิดรั้นรับริมฝีปากเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารัก ทำให้ใบหน้างดงามบริสุทธิ์ปานดอกฝูหรงยิ่งดูมีเสน่ห์ชวนหลงใหล
แม้แต่โหยวเยวี่ยเฉิงที่นึกรังเกียจโม่เสวี่ยถงมาโดยตลอดยังมองตาค้าง จนต้องรีบเบนศีรษะหลบ ริมฝีปากเม้มแน่นพยายามข่มหัวใจที่ตุบเต้นวุ่นวายอยู่ในอก เพียรบอกตนเองว่า สตรีผู้นี้เป็พวกจอมปลอมและร้ายกาจเกินไป เขาชอบสตรีที่อ่อนหวานและมากความสามารถอย่างโม่เสวี่ยิ่ มิใช่สตรีที่ทำแต่เื่เลวร้ายน่ารังเกียจ อย่างการคิดกำจัดอนุภรรยาของบิดากับน้องชายของตนเองแบบนี้
สตรีเช่นนั้นยังเสแสร้งทำท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ต่อหน้าผู้อื่น นั่นทำให้เขาอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
ผู้อื่นไม่มีใครสังเกตท่าทีของโหยวเยวี่ยเฉิง แต่โม่เสวี่ยถงกลับเห็นชัดเจน สีหน้าของเขาแสดงความรู้สึกชิงชังออกมาอย่างเด่นชัด หมายยั่วยุอารมณ์ของตน แต่นางก็ไม่ได้คิดต่างจากเขาสักเท่าไร แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยรู้สึกดีกับบุรุษผู้นี้แม้แต่น้อย นับั้แ่ได้ยินเขาพูดคุยกับโม่เสวี่ยิ่เป็ต้นมานางก็นึกรังเกียจบุรุษผู้นี้ และเหมารวมว่าเขากับโม่เสวี่ยิ่ก็เป็พวกผู้ดีจอมปลอม สร้างชื่อเสียงลวงโลกประเภทเดียวกัน
นางไม่้าเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่ปลายเล็บ
“น้องหญิงถง เดี๋ยวงานเลี้ยงเลิกแล้วจะมีงานเทศกาลโคมไฟต่อ ครั้งนี้ในวังจัดกิจกรรมอย่างยิ่งใหญ่เหมือนตลาดด้านนอก ทั้งยังให้ขันทีและนางในแต่งตัวเป็สามัญชนเดินไปเดินมา มีการจัดเวทีเล่นทายปริศนามากมาย ทั้งยังมีของรางวัลพระราชทานจากฝ่าาและฮองเฮาอีกด้วย เดี๋ยวพอออกจากเกาะกลางน้ำแล้วพวกเราไปดูด้วยกันนะ ได้ยินมาว่าสวยกว่าตลาดข้างนอกหลายเท่าตัว” ฉินอวี้เซวียนยืนอยู่ด้านหน้าโม่เสวี่ยถง บังโหยวเยวี่ยเฉิงให้พ้นจากวิถีสายตาของนาง
แต่คำถามนี้โม่เสวี่ยถงไม่รู้ว่าควรตอบรับอย่างไร ที่นี่ไม่ใช่เมืองอวิ๋นเฉิง ตนเองก็มิใช่สตรีที่เป็ลูกกำพร้าเหมือนคราที่อยู่บ้านสกุลฉินอีกแล้ว มีกฎระเบียบมากมายที่ต้องระวังรักษา ถ้าจะให้นัดหมายเพื่อไปชมโคมไฟกันสองคนก็ดูจะ... เื่นี้หากเกิดขึ้นที่เมืองอวิ๋นเฉิงก็คงไม่เป็ไร แค่เพียงฮูหยินผู้เฒ่าตอบตกลงฉินอวี้เซวียนก็สามารถพานางไปชมโคมไฟยามค่ำคืนได้
แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน ทุกก้าวย่างนางต้องเดินอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าพลาดแม้แต่ก้าวเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้างกายมีโม่เสวี่ยิ่ที่คอยจ้องตาเป็มัน ขนาดมิได้เดินพลาดนางยังสามารถค้นความผิดออกมาได้ถึงสามส่วน ยิ่งไปกว่านั้น ชายหญิงนัดหมายกันย่อมไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมมารยาท
“เื่จริง หรือว่าแกล้งหลอกเล่นเ้าคะพี่ชายรอง” นางยังมิได้ให้คำตอบ ก็มีสตรีอีกคนที่แสดงท่าทางดีใจจนแทบะโถามแทรกขึ้นมาก่อน
โม่เสวี่ยถงม่านตาหรี่วูบโดยพลัน นั่นคือบุตรสาวอีกคนหนึ่งของสกุลอวี้
“จริงสิ อีกประเดี๋ยวพวกเราก็จะได้เห็นตลาดนัดจำลองในวังหลวง” ฉินอวี้เฟิงคลี่ยิ้มพลางตอบคำถามแทนน้องชาย แล้วหันไปพูดกับโม่เสวี่ยถง “เดี๋ยวตอนที่น้องหญิงถงตามไปชมโคมไฟก็ไปดูที่ตรงนั้นสิ ได้ยินว่ามีโคมหลากสีสันทุกรูปแบบนับร้อยพันตระการตา ทั้งยังมีเล่นทายปริศนาโคมไฟ ถ้าใครทายถูกก็จะได้รับโคมหนึ่งดวง มีคนไปกันเยอะแยะ หากพวกเ้าอยากเล่นทายปริศนาก็ตามมาด้วยกันสิ”
คำพูดของเขาช่วยเสริมเหตุผลให้กับคำชักชวนที่ตรงไปตรงมาของฉินอวี้เซวียน ทำให้ฟังดูเหมือนว่าพวกเขาบังเอิญมาพบกัน และชวนกันไปเที่ยวเท่านั้น มิใช่นัดหมายเป็การส่วนตัว โม่เสวี่ยถงถอนหายใจอย่างโล่งอก ช้อนตามองใบหน้าอ่อนโยนของเขาด้วยรอยยิ้มพราวพร่าง “พี่ชายเซวียน พี่ชายเฟิง พี่ชายใหญ่ อีกประเดี๋ยวตอนที่พวกเราเล่นทายปริศนาพวกพี่ต้องช่วยด้วยนะ อย่าให้น้องสาวอย่างพวกเราต้องกลับบ้านมือเปล่าเล่า”
กล่าวจบก็ยิ้มพราย กะพริบตาปริบๆ อย่างซุกซน ดูเป็เด็กสาววัยน่ารัก ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายในทันที
“งั้นก็ตกลงตามนี้ เดี๋ยวทุกคนต้องไปเล่นทายปริศนาโคมไฟด้วยกัน” ฉินอวี้เซวียนยิ้มกล่าว แม้ว่าเขาจะเป็คนตรงไปตรงมา แต่ก็หัวไวพอที่จะรูว่าหลังจากที่ตนเองพูดออกไปแล้วทุกคนมีปฏิกิริยาแปลกๆ แต่วาจาเอ่ยออกไปแล้วไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร เมื่อได้ยินพี่ใหญ่ของตนเอ่ยมาเรียบๆ สองประโยค ช่วยเสริมสิ่งที่ขาดไปให้ครบถ้วน จึงค่อยรู้สึกโล่งใจ
เขาเป็คนร่าเริงสดใส เมื่อก่อนตอนอยู่อวิ๋นเฉิงไม่ได้ระวังเื่ชายหญิงเท่าใดนัก และเพราะฮูหยินผู้เฒ่าทั้งรักและตามใจ ไม่ค่อยจ้ำจี้จ้ำไชกับเขา จึงทำให้ยิ่งไม่เคยระวังเื่เหล่านี้ แต่พอเข้ามาเมืองหลวงกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง เพิ่งมาถึงวันแรกฉินเจิ้งผู้เป็บิดาก็พาไปอบรมเป็การใหญ่ในห้องหนังสือ เนื้อหาสำคัญก็เพื่อบอกว่าที่นี่เป็เมืองหลวง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดต้องรักษาระเบียบมารยาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งเื่ชายหญิงต้องแบ่งแยกชัดเจน หากผิดพลาดครั้งเดียวอาจทำลายทั้งชีวิต ทำเอาฉินอวี้เซวียนเดินก้มหน้าก้มตาออกจากห้องหนังสือด้วยความโมโห ลอบบ่นพึมพำว่ารู้อย่างนี้ไม่มาเมืองหลวงเสียก็ดี ยามอยู่ที่อวิ๋นเฉิงไม่เห็นมีกฎระเบียบมากมายขนาดนี้
ยามนี้จึงตระหนักได้ว่าคำพูดของตนเองสร้างปัญหาให้กับโม่เสวี่ยถง โชคดีที่พี่ชายใหญ่ผู้เฉลียวฉลาดของเขามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ ฉินอวี้เซวียนแอบยกนิ้วให้กับพี่ชายทีหนึ่งแล้วยิ้มจนตาหยี รู้สึกเลื่อมใสในตัวอีกฝ่ายเพิ่มอีกหลายเท่าตัว
ฉินอวี้เฟิงยิ้มตอบบางๆ แล้วส่ายหน้าไปมา บอกให้เขาระมัดระวังคำพูด
ฉินอวี้เซวียนรีบผงกศีรษะรับโดยไม่ลังเล
และแล้วยามนั้นเรือสำราญเล็กก็มาถึงพอดี พวกเขาต่างขึ้นเรือไปด้วยกัน แท้จริงแล้วเกาะกลางน้ำมิได้อยู่ไกลนัก แต่เพื่อให้ทุกคนบนเรือได้ชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามของทะเลสาบ เรือสำราญจึงแล่นพาเลียบชายทะเลสาบไปครึ่งรอบก่อนมุ่งไปยังที่หมาย
สายลมโชยพัดมาแ่เบา โม่เสวี่ยถงยืนพิงเสาอยู่ในตำแหน่งรับลมพอดี นางนิ่งคิดใคร่ครวญ โม่เสวี่ยิ่วางแผนการอันใดไว้กันแน่ นางยังคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายไม่ออก วันนี้ท่าทีของโม่เสวี่ยิ่ดูนิ่งเย็นเกินไป ส่วนลึกในหัวใจนางรู้สึกได้ถึงอันตรายที่เคลือบแฝง
“คุณหนูสามกำลังคิดวางแผนเล่นงานใครอยู่หรือ? ใครจะคิดว่าคุณหนูที่หน้าตาดูใสซื่อบริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับเทพธิดาจะวางแผนทำร้ายคนได้หน้าตาเฉย โดยไม่มีความวิตกกังวลแม้แต่น้อย สตรีเก่งกล้าเช่นนี้นับว่าอัศจรรย์ยิ่ง” วาจาประชดประชันลอยมา โม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้นจึงเพิ่งรู้ว่าบัดนี้เหลือเพียงโหยวเยวี่ยเฉิงยืนอยู่ผู้เดียว ไม่รู้ว่าคนรอบกายหายไปั้แ่เมื่อไร
“ได้ยินมาว่าโหยวซื่อจื่อเป็คุณชายที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ทั้งสุภาพเรียบร้อยงามสง่า อายุยังน้อย ทว่ามากความสามารถ แต่โบราณว่าไว้ สิ่งที่ได้ยินมาไม่สู้เห็นกับตา ข้าก็รู้สึกว่าเป็เช่นนั้นอยู่เหมือนกัน” โม่เสวี่ยถงกวาดตามองเขาเรียบๆ มุมปากเผยรอยยิ้มเยาะหยัน เมื่อโหยวเยวี่ยเฉิงร่วมมือกับโม่เสวี่ยิ่วางแผนร้ายใส่นางก็ไม่อาจเป็สหายกันได้ นอกจากนี้ตนเองก็ไม่ชอบคนที่วางมาดสุขุมแต่จิตใจดำมืดเช่นโหยวเยวี่ยเฉิงเหมือนกัน
ถึงขั้นรู้สึกว่าแม้หลี่โย่วโม่จะไร้มารยาทอย่างไร ก็มีความจริงใจมากกว่าโหยวเยวี่ยเฉิง
'สิ่งที่ได้ยินมาไม่สู้เห็นกับตา' ความหมายของนางคือเขามิได้ดีงามอย่างที่ได้ยินมา เขาว่านางเป็สตรีใจคอโเี้ วางแผนเล่นงานผู้อื่น โม่เสวี่ยถงก็ตอกกลับไปว่าเขาเป็คนปากอย่างใจอย่าง ลิ้นยาวเชื่อไม่ได้ วาจาแบบนี้จะไม่ให้โหยวเยวี่ยเฉิงรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาได้อย่างไร เขาเป็คุณชายที่มีชื่อเสียงดีงาม ไม่ว่าจะไปที่ใดล้วนมีแต่คำชื่นชม เคยถูกสตรีด่ากระทบกระเทียบเช่นนี้เสียที่ไหน
โทสะพลันลุกโชนในบัดดล