“เื่นี้ไม่ยาก เดี๋ยวข้าจะรีบไปถามให้”
เถ้าแก่เฉินโบกมือน้อยๆ รับปากจะช่วยจัดการเื่นี้ให้
เสี่ยวหมี่เห็นว่าพี่ใหญ่ของตนเอาแต่หน้าแดง ลืมไปแล้วว่ามาที่นี่ด้วยเื่ใด นางจำต้องเอ่ยขึ้นมาแทนอย่างปลงตก “พี่เยว่เซียน เมื่อวานนี้ที่บ้านเรารับเด็กจรจัดมาจำนวนหนึ่ง มีเด็กชายเจ็ดคน เด็กหญิงอีกสองคน ข้าคิดว่าในเมื่อเรือนใหม่ของพวกท่านยังไม่มีคนช่วยงาน ไม่สู้ให้เด็กๆ พวกนี้คอยช่วยพวกท่าน ท่านคิดว่าอย่างไรเ้าคะ หรือท่านคิดเตรียมการอย่างอื่นไว้อยู่แล้ว”
ในโลกใบนี้ยังจะมีเื่อะไรที่ทำให้บิดามารดาสุขใจได้เท่ากับเื่ที่ครอบครัวสามีให้ความสำคัญกับบุตรสาวอีก?
เมื่อเสี่ยวหมี่พูดจบ สีหน้าของเถ้าแก่เฉินสองสามีภรรยาก็ยิ่งเบิกบานขึ้นกว่าเดิม
พี่ใหญ่ลู่ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่านี่คือเื่สำคัญที่เขามาในวันนี้ รีบเอ่ยเสริมว่า “หากว่าเ้าไม่ชอบก็บอกมา ข้าจะลองคิดหาทางอื่น”
เสี่ยวหมี่ได้ยินแล้วก็อยากจะกลอกตาขึ้นฟ้า ที่แท้พี่ชายของนางก็เป็พวกเห็นผู้หญิงเข้าหน่อยก็ลืมเด็กตาดำๆ ไปเสียสนิท ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าตอนไปหานางขอร้องให้รับคนไว้นั้น ท่าทางราวกับว่าหากนางไม่ตกลงเขาจะไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้วด้วยซ้ำ ยามนี้พอได้มาเห็นว่าที่ภรรยาในอนาคตกลับลืมสิ้นแล้วทุกสิ่งอย่าง
เฉินเยว่เซียนหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม แต่ก็เงยหน้าเอ่ยออกมาว่า “ข้าจะพาสาวใช้ที่ติดตามข้าั้แ่ยังเด็กไปด้วยสองคน แม่นางน้อยสองคนนั้นก็ให้ไปอยู่ช่วยน้องหญิงเถอะ ส่วนคนอื่นๆ เกรงว่ายามปกติคงจะต้องอยู่ติดตามช่วยเหลืองานท่านมากกว่า เช่นนั้นก็ให้ท่านตัดสินใจเถอะ”
“เช่นนั้นก็ดีๆ”
พี่ใหญ่ลู่หน้าตาเบิกบานราวกับดอกไม้แย้มกลีบทันที คิดจะพูดอะไรเพิ่ม แต่นึกขึ้นได้ว่าอยู่ต่อหน้าพ่อตาแม่ยายจึงกลืนคำพูดกลับลงไป
ฮูหยินเฉินเห็นว่าบุตรสาวและบุตรเขยปรึกษาหารือกันอย่างปรองดอง อีกทั้งบุตรเขยยังดูฟังคำของบุตรสาวอยู่มาก จิตใจนางเรียกได้ว่าหวานล้ำราวกับกินน้ำผึ้งเข้าไปก็ไม่ปาน นางอดไม่ไหวลุกขึ้นเอ่ยว่า “ซินเกอร์ของข้าส่งขนมอร่อยๆ มาจากเมืองหลวงหลายกล่อง ได้ยินว่ากำลังเป็ที่นิยมในเมืองหลวง ยังมีผ้าไหมชั้นดีสองพับ ข้าจะไปเอามา เสี่ยวหมี่เ้าเอากลับไปตัดชุดกระโปรงตัวใหม่เถอะ”
เสี่ยวหมี่เองก็ไม่เกรงใจ ยิ้มรับ “ขอบคุณท่านป้ามากเ้าค่ะ เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว หากตัดชุดกระโปรงตัวใหม่เสร็จ ข้าจะเอามาอวดท่านป้านะเ้าคะ”
แม่นางน้อยที่น่าเอ็นดูและช่างเจรจาเช่นนี้ใครบ้างจะไม่ชอบ
ฮูหยินเฉินหัวเราะอย่างชอบใจ แล้วจึงพาสาวใช้กลับเข้าเรือนหลังไป คิดว่าจะเลือกด้ายสีสันงดงามเพิ่มไปให้อีกสักสองกล่อง ท่าทางเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ารักใคร่เสี่ยวหมี่ราวกับเป็บุตรสาวของตนก็ไม่ปาน
เดิมทีเฉินเยว่เซียนเตรียมจะเดินตามมารดากลับเข้าเรือนหลังไปด้วย แต่เสี่ยวหมี่กลับเอ่ยปากขึ้นมาอีกว่า “ท่านลุงเฉิน ยามนี้ดูแล้วการค้าเฟิ่นเถียวคงเติบโตไปได้ไม่เลว แต่ไข่ดินที่บ้านไม่เพียงพอแล้ว เฟิ่นเถียวที่มีอยู่ก็ไม่พอขาย พี่ใหญ่เฝิงบอกว่าสหายสองคนของพี่สามที่เคยมาพักที่บ้านเรานั้น บ้านพวกเขาอยู่ทางใต้ หากสามารถร่วมมือกับพวกเขาเปิดร้านค้าแถบนั้นได้คงจะดีมาก ข้าเองก็เห็นด้วย แต่รอบกายไม่มีใครที่พอจะใช้ได้ จึงอยากมาถามท่านลุงว่ามีพ่อบ้านหรือผู้ดูแลเก่งๆ ให้ข้ายืมสักคนหรือไม่เ้าคะ”
เถ้าแก่เฉินไม่ได้คิดอะไรมาก เขาชอบใจที่เสี่ยวหมี่เชื่อใจสกุลเฉิน จึงยิ้มเอ่ยว่า “สองสามวันนี้ข้าจะลองคิดดู ในเมื่อจะต้องส่งออกไปต่างเมือง ก็จะต้องเลือกคนที่พึ่งพาได้สักหน่อย”
“ได้เลยเ้าค่ะ เช่นนั้นต้องรบกวนท่านลุงแล้ว”
เสี่ยวหมี่สนทนาสัพเพเหระกับเถ้าแก่เฉินอีกครู่หนึ่งก็เอ่ยลา อย่างไรเสียที่บ้านก็กำลังยุ่งอยู่ ถึงแม้นางจะไม่ต้องลงมือทำอะไร แต่นางเป็ศูนย์รวมจิตใจของทุกคน หากนางไม่อยู่ หลายๆ เื่พวกเขาก็ไม่กล้าตัดสินใจ
ได้ยินดังนั้น ฮูหยินเฉินก็รีบออกมารั้งคนไว้ แต่เสี่ยวหมี่เป็ห่วงเฝิงเจี่ยนที่ไม่รู้ตอนนี้เดินไปถึงไหนแล้ว จึงยืนกรานว่าจะจากไป
ฮูหยินเฉินทำอะไรไม่ได้จึงให้สาวใช้เอากล่องขนมและผ้าไหมขึ้นไปจัดวางให้บนรถม้า แล้วจึงเดินมาส่งเสี่ยวหมี่
เถ้าแก่เฉินเรียกเด็กรับใช้ให้เอาป้ายชื่อของเขามา เตรียมจะออกไปที่ร้านนายหน้าเพื่อหาที่ทางเปิดร้านค้า และเตรียมคัดเลือกลูกน้องที่ไว้ใจได้ออกมาสักคนหนึ่ง
พูดตามตรง เขาเองก็มองออกว่าดองของเขา หรือก็คือบิดาลู่ผู้นั้นเป็คนไม่สนใจจัดการเื่อะไรทั้งสิ้น ต่อให้เสี่ยวหมี่จะเก่งแค่ไหน แต่นางก็เป็แค่แม่นางน้อยคนหนึ่ง วันหน้าก็ต้องแต่งออกไป กิจการของสกุลลู่ก็ต้องตกมาอยู่ในมือพี่ชายคนโตและพี่ชายคนรองของสกุลลู่ แต่พี่ชายคนรองของสกุลลู่ก็มีนิสัยเช่นนั้น พูดให้ถูกจริงๆ ก็คือวันหน้าสกุลลู่ก็คงเป็ของบุตรสาวและบุตรเขยของเขา เขาจึงควรให้ความช่วยเหลือเต็มที่
ฮูหยินเฉินเองก็เฉลียวฉลาด นางเข้าใจว่าสามีกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มช่วยเขาแต่งชุดทางการ คิดไม่ถึงว่าเยว่เซียนที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้า...มีเื่จะพูดเ้าค่ะ”
สองสามีภรรยารู้สึกแปลกใจ เห็นบุตรสาวมีสีหน้าจริงจัง จึงบอกให้เด็กรับใช้และสาวใช้ถอยออกไปก่อน พวกเขาสามคนนั่งลงสนทนากัน
“เ้า้าจะพูดสิ่งใด? หรือว่าไม่พอใจสกุลลู่?”
ฮูหยินเฉินนึกไปว่าบุตรสาวเกิดไม่พอใจอะไรขึ้นมา จึงจับมือนางไว้แล้วเอ่ยโน้มน้าว “แม่จะบอกเ้าให้ สกุลลู่นับว่าไม่เลวจริงๆ พวกเขาให้ความสำคัญกับเ้ามากทั้งที่เ้ายังไม่แต่งเข้าไป ที่เข้าเมืองมาปรึกษาเื่ในวันนี้กับเ้าก็เพราะกลัวว่าวันหน้าเ้าจะไม่สุขสบาย ข้าและพ่อของเ้าต่างก็ชอบใจ เ้าอย่าได้...”
“ท่านแม่ ไม่ใช่เื่นี้เ้าค่ะ...”
เฉินเยว่เซียนร้อนใจรีบตัดบทคำพูดของมารดา แล้วโพล่งออกมาว่า
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยากจะรีบแต่งเข้าไปให้เร็วขึ้น”
“อะไรนะ”
ฮูหยินเฉินได้ยินประโยคนี้ของบุตรสาวก็อึ้งไป เดิมทีนางนึกว่าบุตรสาวกลัวการแต่งงาน ที่ไหนได้นางแทบรอจะแต่งเข้าไปไม่ไหวแล้ว
แต่เถ้าแก่เฉินรู้ว่าบุตรสาวต้องมีความคิดอื่นอยู่เป็แน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่คิดรีบร้อนแต่งเข้าไป จึงเอ่ยว่า “เยว่เซียน เหตุใดเ้าต้องรีบแต่งเข้าไปก่อนกำหนดด้วยเล่า?”
“ท่านพ่อ เมื่อครู่เสี่ยวหมี่บอกว่าสกุลลู่จะร่วมมือกับครอบครัวสหายทางใต้เปิดร้านขายเฟิ่นเถียว แต่ไม่มีคนที่ไว้ใจได้ไปดูแล ข้าคิดจะ...รีบแต่งเข้าไป แล้วจากนั้นค่อยติดตามสามีลงใต้เ้าค่ะ”
“ไม่ได้” ฮูหยินเฉินเอ่ยปฏิเสธทันที ให้บุตรสาวแต่งไปสกุลลู่ ถึงแม้จะไม่ได้พบหน้ากันทุกวันแต่ก็อยู่ใกล้ ส่งข่าวคราวถึงกันสะดวก แต่ยามนี้บุตรสาวจะเดินทางลงใต้ไปไกล นางที่เป็มารดาจะวางใจได้อย่างไร?
“เ้าฟังเหตุผลของเยว่เซียนก่อนเถอะ” เถ้าแก่เฉินขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามแสดงท่าทีของหัวหน้าครอบครัว ข่มขู่ภรรยา ทำเอาฮูหยินเฉินต้องหยิกเอวเขาอย่างแรง
เยว่เซียนเกรงว่าบิดามารดาจะทะเลาะกัน จึงรีบเอ่ยว่า “อันดับแรกเพราะการเปิดร้านทางใต้เป็เื่สำคัญมาก สำหรับการกำหนดทิศทางความก้าวหน้าในอนาคต แทนที่จะใช้ผู้ดูแลคนอื่นมิสู้ใช้คนในครอบครัวไปจะเชื่อใจได้มากกว่า ข้อที่สอง พี่ใหญ่ลู่...จะอย่างไรก็ต้องแสดงความเป็พี่คนโตออกมา เสียสละเพื่อครอบครัวของตนเอง ข้อสาม ข้าเองก็อยากหาอะไรให้ตัวเองทำ เสี่ยวหมี่ทำได้ ข้าเองก็อยากลองดูบ้าง”
ฮูหยินเฉินยังคิดจะพูดอะไร เถ้าแก่เฉินกลับโบกมือและเอ่ยยิ้มๆ “ดีๆ นี่สิลูกสาวข้า ก่อนหน้านี้ข้ายังเสียใจภายหลังอยู่เลยที่ขังเ้าไว้แต่ในบ้าน ยามนี้เป็เช่นนี้ก็ดีมาก หากเป็คนอื่นอาจจะกลัวว่าสตรีจะเจริญก้าวหน้าจนเกินหน้าเกินตา แต่สกุลลู่เดิมทีก็มีเสี่ยวหมี่เป็ผู้นำ จะต้องสนับสนุนอย่างแน่นอน เ้าวางใจแต่งเข้าไปเถอะ เื่นี้พ่ออนุญาต”
“ไม่ได้ จะอย่างไรก็จะให้รีบแต่งเข้าไปก่อนไม่ได้ คนอื่นจะ...”
ฮูหยินเฉินหงุดหงิดงุ่นง่าน จะอย่างไรก็คิดหยุดยั้งเื่นี้ให้ได้ แต่เยว่เซียนกลับพาสาวใช้รีบเดินกลับเข้าเรือนหลังไปแล้ว เถ้าแก่เฉินเองก็เอ่ยว่า “หากเ้าอยากให้วันหน้าบุตรสาวได้เป็นายหญิงแห่งสกุลลู่อย่างแท้จริง วันนี้ก็ต้องตัดใจให้ได้!”
ฮูหยินเฉินถูกตอกกลับจนอึ้งไป รอจนดึงสติกลับมาได้ เถ้าแก่เฉินก็หายไปแล้ว
นางโกรธจนกระทืบเท้า หงุดหงิดอยู่นานสุดท้ายก็ถอนใจ ช่างเถอะ บุตรสาวโตแล้ว นางจะรั้งเอาไว้ก็ไม่ได้อีก บุตรสาวนางยังไม่ทันแต่งเข้าไปก็ขบคิดเพื่อสกุลลู่เช่นนี้ หากนางยังรั้งเอาไว้อีกก็คงไม่ได้
“ใครอยู่ข้างนอก”
ด้านนอกมีหญิงรับใช้คนสนิทรีบซอยเท้าเดินเข้ามา ประคองฮูหยินเฉินไปยังคลังเก็บของ
ในเมื่อบุตรสาวจะรีบแต่งออกไปก็ต้องรีบจัดการสินเดิมให้เรียบร้อยก่อน
เสี่ยวหมี่ไปรออยู่ที่ร้านน้ำชาตรงประตูเมือง ครู่หนึ่งเฝิงเจี่ยนก็เดินมาพร้อมเกาเหริน เห็นว่าพวกเขาไม่มีท่าทางผิดปกติ นางจึงไม่เอ่ยถามอะไร
คิดไม่ถึง รถม้าเพิ่งเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านเขาหมีได้ไม่เท่าไร เถ้าแก่เฉินก็ไล่หลังมาแล้ว
เสี่ยวหมี่ใมาก เดิมนึกว่ามีเื่อะไรไม่ดีเกิดขึ้นอีก จึงรีบพาเขาเข้าไปคุยในบ้าน “ท่านลุง ท่านมาได้อย่างไร มีเื่อะไรหรือเ้าคะ? หาที่ตั้งร้านไม่ได้ หรือว่าหาคนที่ไว้ใจไม่ได้เ้าคะ”
เถ้าแก่เฉินโบกมือ เขาดื่มน้ำชา จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ ให้เฝิงเจี่ยน “ขายหน้าคุณชายเฝิงแล้ว แต่มีเื่จะขอร้องจึงต้องรีบร้อนเสียมารยาทเช่นนี้”
เฝิงเจี่ยนพยักหน้า ตอบรับว่า “ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่จำเป็ต้องเกรงใจเช่นนี้”
เสี่ยวหมี่เองก็เอ่ยว่า “ใช่แล้ว ท่านลุง มีเื่อะไรท่านก็รีบพูดมาเถอะเ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเชิญบิดาของเ้าออกมาเถอะ ข้ามีเื่จะสนทนาด้วย”
ยามปกติบิดาลู่ไม่สนใจเื่ในบ้าน แต่หากเป็เื่มงคลของบุตรสาวบุตรชายก็ยังต้องให้เขาเป็คนตัดสินใจ
เพียงไม่นานบิดาลู่ก็เดินออกมา
อาจเป็เพราะหมกตัวอยู่กับตำรามากเกินไปจนตาลาย ต้องนวดอยู่ครู่หนึ่งถึงจะสังเกตเห็นว่าเป็เถ้าแก่เฉิน แล้วจึงประสานมือคารวะ ถามถึงเหตุผลที่เขามาในวันนี้
เถ้าแก่เฉินเห็นว่าพี่ใหญ่ลู่ เสี่ยวหมี่ เฝิงเจี่ยนล้วนอยู่ที่นี่ก็ไม่อ้อมค้อมอีก เขาเอ่ยว่า “วันนี้ที่ข้ามาก็เพราะมีเื่อยากจะปรึกษา คิดจะขยับวันมงคลของเด็กทั้งสองเข้ามาให้เร็วหน่อย ไม่ทราบว่าท่านเห็นเป็อย่างไร?”
ขยับวันมงคลเข้ามาให้เร็วขึ้น?
ทุกคนได้ยินแล้วก็แปลกใจ แต่เฝิงเจี่ยนกลับพอจะคาดเดาได้อยู่แล้ว จึงยิ้มแล้วหันไปมองเสี่ยวหมี่เอ่ยว่า “เช่นนี้เ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าคนที่ไว้ใจได้มีไม่พอแล้ว”
เสี่ยวหมี่เฉลียวฉลาด เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้นางก็เดาได้ทันที จึงปรบมือยิ้มอย่างยินดี “ดีจริง มีพี่ใหญ่พี่สะใภ้รับหน้าที่ไปดูแลร้านค้าทางใต้ ย่อมน่าวางใจกว่าใครทั้งหมด”
บิดาลู่เป็หนอนหนังสือ ส่วนพี่ใหญ่ลู่ก็ซื่อเกินไป ต่างไม่เข้าใจและคาดเดาไม่ถูก
เื่นี้จะให้เถ้าแก่เฉินเป็คนอธิบายก็ไม่ได้ เสี่ยวหมี่จึงเป็คนอธิบายให้บิดากับพี่ชายฟังเอง
ไม่ผิดคาด เมื่อทราบเื่ คนทั้งสองก็ยินดีเป็อย่างมาก
“ได้ ท่านวางใจ เยว่เซียนคิดเผื่อสกุลลู่ของเราเช่นนี้ สกุลลู่ของเราจะไม่ละเลยนางอย่างแน่นอน วันหน้านางเป็สะใภ้ใหญ่ของสกุลลู่ ช่วยเ้าใหญ่ขยายกิจการของครอบครัวแต่เนิ่นๆ เช่นนี้นับว่าเป็เื่ดี”
บิดาลู่พยักหน้า ในสายตาเขา ขอแค่ไม่รบกวนการอ่านหนังสือของเขา จะทำอะไรก็ดีทั้งนั้น อีกอย่างการที่จะขยับงานมงคลเข้ามาก็ยังเป็ผลดีต่อสกุลลู่อีก เขามีแต่ต้องซาบซึ้งใจ ไหนจะไปขัดขวางได้
พี่ใหญ่ลู่หน้าแดงก่ำก้มหน้าไม่พูดอะไร แต่ท่าทางของเขาใครจะดูไม่ออกบ้างว่ายินดีปรีดาอย่างยิ่ง
เถ้าแก่เฉินพอใจมาก สนทนากันอีกเล็กน้อยก็ขอตัวกลับไปดูฤกษ์
คืนนั้นเด็กรับใช้สกุลเฉินก็มาส่งข่าว อีกสามวันข้างหน้าเป็วันดีที่เหมาะสม
เสี่ยวหมี่กำลังให้เด็กสาวสองคนช่วยเด็ดผัก เมื่อตอนกลางวันเด็กๆ ทั้งเก้าคนได้ลงนามในสัญญาขายตัวแล้ว ั้แ่วันนี้ไปก็เป็คนรับใช้ของสกุลลู่ ตอนเป็เป็คนสกุลลู่ ตายไปก็เป็ผีของสกุลลู่ และพวกเขายังไม่เรียกร้องเงินค่าแรง ขอเพียงมีข้าวกินอิ่ม
พวกเขาลงนามกันอย่างยินดี ทั้งยังโขกศีรษะขอบคุณ อย่างน้อยวันหน้าก็ไม่ต้องเร่ร่อนอดๆ อยากๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลมหนาวและหิมะอันหนาวเหน็บพรากชีวิตไป