ต้องเผชิญกับคำถามของอวิ๋นอี้ เสี่ยวมู่อวี่ไม่เพียงจะมิตอบคำถาม กลับร้องไห้หนักอย่างเศร้าสร้อย อ้าปากกว้างจนเห็นลิ้นไก่สีแดง
สักพัก ในห้องก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้
สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างนอกได้ยินการเคลื่อนไหวจึงถามด้วยน้ำเสียงกังวล “พระชายาเพคะ?”
“มิมีกระไร พวกเ้าออกไปเถิด”
อวิ๋นอี้ปฏิเสธคนใช้ แล้วค่อยๆ รินชา ควันสีขาวลอยขึ้น นางมองไปที่เบื้องหน้า กะพริบตาราวกับรู้สึกว่าขนตาเปียกไปหมดแล้ว
เวลาที่เด็กร้องไห้เอะอะ จะเริ่มด้วยน้ำตาและจากนั้นก็โวยวาย
โวยได้โวยไป โวยวายเสียให้พอใจ ถึงอย่างไรคนที่เหนื่อยมิใช่นาง
อวิ๋นอี้มิได้ทำกระไรเลย จึงไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายผู้นี้ถึงได้ร้องไห้อย่างเศร้าสร้อยเช่นนี้ ราวกับว่าเขาต้องทุกข์ใจมากเช่นนั้นแหละ
เขาจะร้องก็ปล่อยให้เขาร้องไป นางควรทำกระไรก็ยังต้องทำอยู่ดี
หลังจากดื่มชาเสร็จแล้วก็มีของว่างและผลไม้วางอยู่บนโต๊ะ อวิ๋นอี้เห็นว่ามีองุ่นที่นางชอบที่สุดอยู่ สีม่วงสดใส ดูน่ารับประทานนัก
นางหยิบมันออกมาทีละชิ้น วางบนจาน และทานมันอย่างสบายๆ
หลังจากก้มหน้าหยิบแล้วโยนเข้าปาก เมื่อก้มหน้าอีกคราก็เห็นมืออ้วนๆ ขาวนุ่ม แอบขยับเข้ามา มีเป้าหมายคือองุ่นที่วางไว้
อวิ๋นอี้ยกมุมปากแล้วมองไปยังเ้าของมือน้อยๆ
หลังจากที่ทั้งสองมองตากันอยู่พักหนึ่ง เสี่ยวมู่อวี่พลันอ้าปากขึ้นราวกับว่าเขาจะร้องไห้อีกครา
“หยุด!”
อวิ๋นอี้ยกมือซ้ายขวาขึ้นมา ทำท่าหยุด
นางเริ่มจริงจังขึ้นมา ดูค่อนข้างดุ เสี่ยวมู่อวี่ตะลึงงัน กะพริบตามองนาง
นางไม่พูด ทั้งสองนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขามุ่ยปาก “ท่านแม่”
“หืม” อวิ๋นอี้พ่นลมหายใจอย่างเกียจคร้าน “ตอบคำถามก่อน ข้าค่อยตัดสินใจว่าจะให้เ้าทานหรือไม่”
เขาอึกอัก "คำถามกระไร"
อ้าว เ้าหนูแกล้งโง่เสียแล้ว
อวิ๋นอี้หัวเราะและชี้นิ้วอย่างไร้ความปรานี "เป่ยิมีกระไร เ้ากลัวสิ่งใดอยู่กันแน่? เหตุใดจึงไม่ยอมไปพบองค์ชายทั้งสอง?”
“แง้...” เสี่ยวมู่อวี่อ้าปากร้องอีกครา คราวนี้เขาตะกุกตะกักและพูดเหตุผลว่า “พวกเขาล้วนกินคน... เสี่ยวมู่อวี่ไม่อร่อย...ท่านแม่อย่าเอาข้าไปให้พวกเขาเลย...”
ที่แท้นี่คือเหตุผลหรือ?
อวิ๋นอี้สงสัย นางจ้องไปที่เสี่ยวมู่อวี่ พยายามหาเบาะแสบนใบหน้าของเขา ทว่าเ้าตัวเล็กกลับหลบสายตาของนางเสมอ ไม่ยอมมองหน้านาง
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางยิ้มอย่างช้าๆ “ได้ แม่รับปากเ้า ไม่ไปเจอก็ไม่ไปเจอ ทว่าเ้ายังทานผลไม้นี้มิได้”
“เหตุใดกัน!” เสี่ยวมู่อวี่เห็นนางไม่เซ้าซี้กับเื่เป่ยิก็แอบโล่งใจ
นอกจากสบายใจแล้วยังรู้สึกทุกข์เล็กน้อย
จริงอยู่ที่เขาชอบอวิ๋นอี้ ทว่าก็จริงที่เขามีความลับ
ความลับนั้นไม่สามารถพูดออกมาได้ หากมีคนรู้เข้า ย่อมคิดถึงผลเสียที่ตามมาไม่ออกเลย
เสี่ยวมู่อวี่หวังว่าวันที่มันจะถูกค้นพบ จะนานออกไปอีกหน่อย เขายังไม่กล้าพอที่จะเผชิญความเป็จริง
อวิ๋นอี้มิรู้เลยว่าใน่เวลาสั้นๆ นี้ เขาจะคิดเยอะเช่นนี้ ได้เพียงตอบคำถามของเขา “ข้าอยากจะตรวจสอบการเรียนของเ้า”
ก่อนหน้านี้ หรงซิวหาครูและอาจารย์มาสอนเขา สอนวิชาการและศิลปะการต่อสู้ให้เขา
อย่างไรเสียในตอนบ่ายนางก็มิมีกระไรทำ ในเมื่อมาแล้วจึงอยากใช้เวลากับเขาให้มาก
อวิ๋นอี้อยู่ในห้องของเสี่ยวมู่อวี่นานกว่าสองชั่วยาม ตรวจการเรียนของเขาและเล่นกับเขาสักพักจนรู้สึกเหนื่อยจึงได้ลูบหัวแล้วบอกลา
เมื่อออกมาจากลานบ้าน ดวงอาทิตย์ตกไปโดยมิรู้ตัวตั้งนานแล้ว
ใน่พลบค่ำในฤดูคิมหันต์ เป็อุณหภูมิที่สบายที่สุด ลมพัดพาความอบอุ่น ใบไม้บนกิ่งที่พัดส่งเสียงกรอบแกรบ เป็ท่วงทำนองที่อ่อนโยน
บนท้องฟ้ามีเมฆสีกุหลาบส้มอมชมพูลอยอยู่ ทอเป็ผ้าลายเมฆอันวิจิตรงดงาม
นางเงยหน้าขึ้นและมองดู รู้สึกเพียงความเงียบสงบของเวลา
่นี้ทุกอย่างเป็ไปในทิศทางที่ดี
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหรงซิวชัดเจนแล้ว เป็่เวลาที่กลมเกลียวและเข้ากันได้อย่างดี ขณะเดียวกันก็มิมีซูเมี่ยวเออร์ที่มาคอยหาเื่ เรียบง่ายและสงบสุขนัก
ต่อไปออกจากบ้านให้น้อยจะดีกว่า หากออกไปน้อยจะไม่ต้องเจอกับซูเมี่ยวเออร์ ส่วนในเวลาอื่น นางคงจะไม่มาหาเื่ถึงจวนองค์ชายหรอกนะ
หากเป็เช่นนั้น เกรงว่าหรงซิวจะเป็คนแรกที่ไม่ยอม
อวิ๋นอี้กำลังคิดมากอยู่ ทว่าอารมณ์ดีมาก นางนึกได้ว่านางมิได้ติดต่อกับพระชายาเก้ามาระยะหนึ่งแล้ว จึงคิดว่าจะชวนนางออกไปเดินซื้อของในสองสามวันนี้
นางจมอยู่กับความคิดของนาง ไม่ทันได้สังเกตว่าทิศทางที่นางมุ่งหน้าไปมิใช่เรือน แต่เป็สวนด้านหลัง
จนกระทั่งมีเสียงเรียกเบาๆ ข้างหู “พระชายา?”
อวิ๋นอี้หยุดเดิน มองไปตามเสียงด้วยความสงสัย ได้เห็นเผยยวนอี้อย่างไม่คาดคิด
เขามิได้ไปกับหรงซิวหรอกหรือ?
กลับมาเร็วเช่นนี้เชียว?
เผยยวนอี้เป็แขก อวิ๋นอี้ไม่ลืมที่จะรักษาภาพลักษณ์ของนางไว้ นอกจากอาการใในตอนแรก นางสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ยิ้มอย่างอ่อนโยน "องค์ชายใหญ่ ท่านมิได้ออกไปนอกจวนหรือเพคะ?”
“เพิ่งกลับมาพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูด "ได้ยินมาว่าในสวนเต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพันธุ์แปลกๆ ทุกชนิด ข้าจึงมาดู ไม่นึกเลยว่าพระชายาจะอยู่ด้วย”
สวนในจวนช่างล้ำค่าเสียจริง
หรงซิวบอกว่านางเคยชอบดอกไม้ จึงรวบรวมดอกไม้มาจากทั่วทุกมุมโลกมาปลูกไว้ที่นี่ ในสวนจะมีคนใช้ที่รับผิดชอบในการปลูกและรดน้ำดอกไม้ทุกวัน ผลที่ได้ค่อนข้างเป็ที่ประจักษ์
ใกล้เข้าสู่คิมหันต์แล้ว ดอกไม้พากันบานอย่างสวยงามและมีเสน่ห์
พระชายาได้ยินก็พยักหน้าและตอบว่า “ข้าเพียงเดินเตร่เข้ามา”
นางไม่อาจพูดได้ว่านางเดินผิดมา มิเช่นนั้นคงน่าอายมาก
เผยยวนอี้เดินเข้ามาหานางช้าๆ โดยเอามือไพล่หลัง
เขาสูงมาก น่าจะเท่าๆ กันกับหรงซิว ทว่าดูกำยำกว่าหรงซิว อาจเป็เพราะมีกล้ามจึงดูสุขภาพดี
อวิ๋นอี้อดคิดมิได้ว่าเหตุใดเสี่ยวมู่อวี่จึงร้องไห้ แล้วมองไปที่เผยยวนอี้ บางทีในสายตาของเด็ก บุรุษตัวสูงใหญ่อาจจะดูน่ากลัวเกินไป
มุมริมฝีปากของนางอดยิ้มขึ้นมิได้ เผยยวนอี้สังเกตเห็นมันโดยไม่ตั้งใจ และนั่นทำให้เขาหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
เขาต้องยอมรับเลยว่าอวิ๋นอี้งามนัก
สตรีส่วนใหญ่ในเป่ยิล้วนสูงใหญ่ ดูดิบเถื่อน หลายคนต่อสู้กับบุรุษมาั้แ่เด็ก บางคนหยาบกร้านยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก
มีไม่กี่คนที่เป็เช่นนาง... ผิวขาวและพูดจานุ่มนวล
เผยยวนอี้คิดว่านี่คือสิ่งที่สตรีควรจะมี ใบหน้าที่ละเอียดอ่อน ร่างกายอ่อนนุ่ม การเต้นรำที่เย้ายวนและมีเสน่ห์ในดวงตาที่สดใสสะอาด
ทั้งสองยืนนิ่ง แสงของพลบค่ำค่อยๆ อ่อนลง ลมพัดใบไม้และแม้แต่ดอกไม้ที่กำลังเติบโตก็พากันเอนเอียง
อวิ๋นอี้หันหน้าไปถามอย่างสุภาพว่า “องค์ชาย มืดแล้วเพคะ ที่จวนมีคนเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว เราไปกันดีหรือไม่เพคะ?”
“พ่ะย่ะค่ะ” เผยยวนอี้พยักหน้า ในสวนมิมีกระไรให้ดูแล้ว สตรีนั้นอ่อนโยนกว่าดอกไม้เสียอีก เขามิมีกะจิตกะใจดูทิวทัศน์อีกต่อไป
สวนอยู่ห่างจากห้องโถงเล็กน้อย พวกเขาเดินและพูดคุยกันตลอดทาง
เผยยวนอี้เป็บุรุษที่ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย เขาเป็ผู้ใหญ่ มั่นคง สง่างามและรู้จักขอบเขต เขารู้วิธีระมัดระวัง ไม่ว่าจะพูดถึงหัวข้อใดๆ ก็จะจบลงในขอบเขตที่เหมาะสมทั้งสิ้น
สำหรับพื้นที่ซ่อนเร้นเ่าั้ เขาไม่เหยียบย่างเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
อวิ๋นอี้นับถือเขาอย่างสุดซึ้ง มีความชื่นชมในสายตาของนาง
เมื่อใกล้ถึงห้องโถง เผยยวนอี้พูดเื่ตลกที่เขาเจอตอนออกไปข้างนอก ทำให้นางหัวเราะได้
ลมค่อนข้างแรง พัดปลายผมของนาง
ในเพลานั้นเอง จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นว่า "อยู่นิ่งๆ พ่ะย่ะค่ะ"
อวิ๋นอี้ใจนจ้องมาที่เขาอย่างว่างเปล่าโดยอ้าปากค้าง แล้วเห็นว่ามือใหญ่ของเขากำลังเอื้อมมาที่ใบหน้าของนาง ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้