ไม่ใช่ธิดาของสกุลโม่อีกต่อไป ย่อมหมายถึง้าให้ตัดออกจากผังวงศ์สกุล ขับไล่ออกจากสกุลโม่ ขอเพียงไม่มีตนเองเป็ก้างขวางคอ ท่านพ่อก็อาจรู้สึกละอายใจต่อฟางอี๋เหนียงเื่บุตรในครรภ์ที่แท้งไป จึงชดเชยให้ด้วยการตั้งนางขึ้นมาเป็ภรรยาเอกก็เป็ได้ ถึงเวลานั้นโม่เสวี่ยิ่กับโม่อวี่เฟิงก็จะกลายเป็บุตรและธิดาภรรยาเอก ทุกสิ่งในจวนโม่ก็ต้องตกไปอยู่ในกำมือของฟางอี๋เหนียง จิตใจช่างอำมหิตนัก แม้แต่บุตรในครรภ์ของตนเองก็ยังนำมาใช้เป็เครื่องมือได้
สตรีที่ถูกขับออกจากสกุลคนหนึ่ง นอกจากทางตายแล้วย่อมไม่มีเส้นทางอื่นให้ก้าวต่อไปได้อีก และนางก็เชื่อว่าสามแม่ลูกไม่มีทางปล่อยให้ตนเองมีชีวิตรอดเด็ดขาด
สองแม่ลูกฟางอี๋เหนียงกับโม่เสวี่ยิ่ชั่วร้ายเหมือนชาติที่แล้วไม่มีผิด หน้ากากความสุขุมของโม่อวี่เฟิงในชาติที่แล้วก็ถูกกระชากออกเรียบร้อยในชาตินี้ แต่ละคนต่างเห็นตนเองเป็หนามตำตา เช่นนั้นก็ใช้หนามแหลมเส้นนี้รัดรึงเข้าไปถึงทรวงในเลยเป็อย่างไร
“หากน้องสามทำเื่แบบนี้จริง ข้าก็จะขอร้องให้ท่านพ่อละเว้นชีวิต เพียงแต่ชีวิตน้อยๆ ที่บริสุทธิ์ผุดผ่องต้องมาดับดิ้นด้วยน้ำมือเ้า สกุลโม่คงไม่อาจให้เ้าอยู่ต่อไปได้ มิเช่นนั้นแล้วภายในคฤหาสน์คงถูกเ้าปั่นป่วนจนหาความสงบสุขมิได้ แล้วใช่เื่อันใดที่ท่านพ่อต้องมาแบกรับความเสื่อมเสียที่เ้าเป็ผู้ก่อ”
โม่เสวี่ยิ่มองโม่เสวี่ยถงอย่างอ่อนโยน คำพูดนี้ทำให้นางดูเป็คนใจกว้าง แต่ความหมายที่แฝงอยู่กลับทำให้โม่ฮว่าเหวินมุ่นคิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัว
คิดแล้วก็ปรายตามองโม่เสวี่ยิ่ปราดหนึ่ง รังสีเย็นเยียบแผ่ออกมาจากก้นบึ้งดวงตา ความหมายที่ออกมาจากริมฝีปากของบุตรสาวคนโตที่วางตัวนุ่มนวลอ่อนโยนมาโดยตลอดก็คือ้าขับไล่ถงเอ๋อร์ออกไป
“ท่านพ่อไปเชิญคุณชายไป๋มาเถิดเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงยิ้มเย็น ไม่คิดต่อความไร้สาระ เมื่อโม่เสวี่ยิ่กับโม่อวี่เฟิงแสดงเป้าหมายออกมาชัดเจนแล้ว นางก็หันไปพูดกับโม่ฮว่าเหวิน สำหรับบิดาของตนเองผู้นี้ นางยังพึงพอใจเขาอยู่ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็คอยปกป้องคุ้มครองนางเสมอมา ถึงขั้นไม่สนใจแม้กระทั่งฟางอี๋เหนียงที่แกล้งสลบไม่ได้สติอยู่บนเตียง
แน่นอนว่านางไม่พลาดสายตาของโม่ฮว่าเหวินยามที่มองฟางอี๋เหนียง ในเบื้องลึกดวงตาคู่นั้นฉายแววรังเกียจอยู่รางๆ
พูดมาถึงขั้นนี้แล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก โม่ฮว่าเหวินพยักหน้าแล้วส่งคนไปเชิญไป๋อี้เฮ่า บอกไปว่าต่อให้ต้องคุกเข่ากราบกรานต่อหน้าก็ต้องทำ ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ต้องเชิญไป๋อี้เฮ่ามาเป็พยานให้ถงเอ๋อร์ให้จงได้
ไป๋อี้เฮ่ามาถึงไม่นับว่าเร็วเกินไปนัก แต่เขามิได้มาคนเดียว ยังพาหมอหลวงลู่อีเจิ้งแห่งสำนักแพทย์หลวงมาด้วยกัน ไม่นานก็ตามมาถึงเรือนชิงเวย หลังจากโม่ฮว่าเหวินคารวะและต้อนรับตามมารยาทแล้ว จึงให้โม่เสวี่ยถงนำห่อกำยานและดอกหงฮวาวางไว้ต่อหน้าไป๋อี้เฮ่าและลู่อีเจิ้ง
“นี่คือกำยานที่มีส่วนผสมของชะมดเช็ดกับดอกหงฮวาหรือ” ลู่อีเจิ้งหยิบขึ้นมาพิจารณาครู่หนึ่ง สีหน้าดูแปลกไปเล็กน้อย
“ใช่เ้าค่ะ ใต้เท้าลู่ ท่านคงมองออกสินะเ้าคะ น้องสามไม่ยอมรับ ดูท่ายามนี้แม้แต่ใต้เท้าก็ยังใ เกรงว่าครานี้คนคงได้รู้กันทั่วเมืองหลวง หากนางยอมรับั้แ่แรก ไหนเลยจะต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเยี่ยงนี้” โม่เสวี่ยิ่กล่าวพลางทอดถอนใจ ราวกับรู้สึกเสียดายแทนโม่เสวียถง แสดงสีหน้าเหมือนรู้สึกผิดหวังที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็เหล็กกล้า
“พี่หญิงใหญ่ ใต้เท้าลู่ยังมิได้กล่าวอันใดสักคำ ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็ข้า” โม่เสวี่ยถงยิ้มเยาะ เมื่อทุกคนต่างเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของตนเองออกมาแล้ว จึงไม่จำเป็ต้องสวมหน้ากากทำเป็พี่น้องรักกัน ให้คนรู้สึกว่าเป็การเสแสร้งอีก
สิ่งที่นาง้าก็คือ ต้อนให้โม่เสวี่ยิ่เอ่ยวาจาที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจออกมา จะแสดงความสาแก่ใจก็ดีหรือจะใส่ร้ายป้ายสีก็ได้ วันนี้มีโอกาสแล้วต้องให้นางเผยตัวตนออกมาให้หมด ท่านพ่อจะได้เห็นชัดเจนว่าบุตรสาวที่ตนเองรักใคร่นักหนาแท้จริงแล้วเป็คนอย่างไร ส่วนบุตรชายเพียงคนเดียวของเขามีโฉมหน้าแท้จริงน่ารังเกียจแค่ไหน รวมถึงสตรีอ่อนแอหน้าตาซีดเซียวที่แกล้งเป็ลมนอนอยู่บนเตียง แท้จริงแล้วมีแผนการอำมหิตอย่างไร
“ใต้เท้าลู่ แท้จริงแล้วนี่คืออะไรกันแน่” โม่ฮว่าเหวินถามโดยตรง ไป๋อี้เฮ่าที่อยู่ด้านข้างใบหน้าสงบนิ่ง ดวงตางดงามประหนึ่งเทพเซียนกวาดมองไปยังสิ่งของที่อยู่ในมือของลู่อีเจิ้งแวบหนึ่ง ริมฝีปากคลี่ยิ้มน้อยๆ แต่กลับสงวนวาจา ดวงตาวาดผ่านโม่เสวี่ยถงก็เห็นนางนิ่งสงบสีหน้าผ่อนคลาย
ลู่อีเจิ้งสีหน้าไร้รอยยิ้มชี้ไปที่กำยานหอมและหญ้า ‘หงฮวา’ ที่ถืออยู่ในมือ “กำยานนี้ไม่มีส่วนผสมของชะมดเช็ด มีเพียงสมุนไพรที่ช่วยสงบจิตใจ มีประโยชน์ต่อผู้ที่ร่างกายอ่อนแอมีโรคมากมาย หรือพร่องการบำรุงเป็เวลานาน ช่วยให้นอนหลับเต็มอิ่ม ส่วนสิ่งนี้ก็ไม่ใช่ดอกหงฮวา แต่เป็หญ้าเยียนหลัว มีคุณสมบัติเดียวกันคือช่วยให้จิตใจสงบ วางไว้ใต้หมอนช่วยให้หลับง่ายขึ้น”
เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมา ทุกคนต่างนิ่งอึ้งตาเซ่อกันไปหมด...
หากไม่ใช่แล้ว ฟางอี๋เหนียงจะเกิดเื่ขึ้นได้อย่างไร?
โม่ฮว่าเหวินเป็คนแรกที่ได้สติกลับมา เขาถอนหายใจเสียงเบาอย่างโล่งอก
ไม่ใช่ถงเอ๋อร์จริงๆ ด้วย ถงเอ๋อร์ของเขาจิตใจงดงาม จะทำเื่แบบนั้นได้อย่างไร
ด้วยคำพูดนี้ทำให้ความตึงเครียดในหัวใจของโม่ฮว่าเหวินผ่อนคลายลงได้ในที่สุด แค่ถงเอ๋อร์มิได้เป็คนทำก็พอแล้ว สำหรับเด็กคนนั้น เดิมทีเขาก็ไม่ได้้าอยู่แล้ว คิดจะให้มารหัวขนคนหนึ่งมามีชื่ออยู่ในสกุลโม่ของเขาหรือ หญิงแพศยาผู้นี้ฝันเฟื่องเกินไปแล้ว
“เป็ไปได้อย่างไร นี่คือดอกหงฮวาชัดๆ” หมอที่อยู่อีกด้านดิ้นพล่านออกมาทันที “สีแบบนี้ รูปลักษณ์แบบนี้ เป็ดอกหงฮวาชัดๆ จะเป็อย่างอื่นไปได้อย่างไร”
“คนผู้นี้เป็หมอเถื่อนมาจากไหน ตนเองความรู้ตื้นเขินยังกล้ามาแคลงใจผู้อื่น หากไม่เชื่อจะเชิญคณะแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมพิจารณาหรือไม่เล่า ในตำราแพทย์ก็มีบันทึกไว้ชัดเจน แม้ดอกหงฮวากับหญ้าเยียนหลัวจะคล้ายคลึงกันมาก แต่ก็มีข้อแตกต่าง ดูจากยอดของหญ้าเยียนหัวมีจุดสีม่วงจางๆ แต้มอยู่ก็รู้แล้ว แม้ทั้งสองอย่างจะคล้ายคลึงกัน แต่คุณสมบัติต่างกันโดยสิ้นเชิง หมอข้างถนนอย่างเ้ากล้าสงสัยในคำวินิจฉัยของข้าได้อย่างไร” ลู่อีเจิ้งมองหมอผู้นั้นด้วยหางตา กล่าวพลางยิ้มเยาะหยัน
“นี่มัน... เป็ไปได้อย่างไร” แม้ว่าโม่เสวี่ยิ่จะสุขุมเพียงใดก็เป็เพียงเด็กสาวอายุสิบกว่าปี ไหนเลยจะเคยได้ยินเื่ประหลาดแบบนี้มาก่อน นางหันมาถลึงตาใส่หมอผู้นั้นราวกับจะกินเืกินเนื้อ นางให้คนสับเปลี่ยนกำยานของโม่เสวี่ยถงแล้วแท้ๆ และให้ฟางอี๋เหนียงนำดอกหงฮวาเข้ามาด้วยตนเอง แล้วไฉนจึงเปลี่ยนมาเป็หญ้าเยียนหลัว โดยที่หมอผู้นี้ไม่รู้เื่เลยสักนิด
ตอนนี้โม่อวี่เฟิงสติหลุดลอยไปแล้ว ฟางอี๋เหนียงก็ลืมตาขึ้นดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก หมอผู้นั้นถูกคว่ำลงไม่เป็ท่า เื่กลับตาลปัตรมาเป็เช่นนี้ได้อย่างไร
“ฟางอี๋เหนียงคงสงสัยอยู่กระมังว่าตนเองนำดอกหงฮวาเข้ามาในห้องของข้าแท้ๆ เหตุใดจึงกลายเป็หญ้าเยียนหลัวไปได้” โม่เสวี่ยถงหัวเราะเสียงเย็น ดวงตาสีนิลคู่งามสว่างวูบ “เมื่อครู่พี่ชายกับพี่หญิงยืนกรานหนักแน่นว่าข้า้าทำร้ายฟางอี๋เหนียง แล้วตอนนี้จะอธิบายอย่างไรดี”
“โม่เสวี่ยถง เ้าอย่ามาพ่นโลหิตใส่ผู้อื่น” โม่อวี่เฟิงโกรธจัดลุกขึ้นเต้นผาง
“ฟางอี๋เหนียงนำดอกหงฮวาเข้ามาหรือ” โม่ฮว่าเหวินยังคงสะดุดใจกับคำพูดก่อนหน้านี้ของโม่เสวี่ยถง มองไปทางฟางอี๋เหนียง สีหน้าเย็นะเืโดยพลัน
หรือว่าหญิงแพศยาผู้นี้กลัวว่าตนเองจะตรวจสอบพบว่าเด็กในท้องไม่ใช่เืเนื้อเชื้อไขของเขาจริงๆ จึงตั้งใจสร้างสถานการณ์นี้ขึ้น?
“ใต้เท้าลู่ โปรดช่วยตรวจชีพจรให้อี๋เหนียงด้วย หมอท่านนี้นั่งวินิจฉัยอยู่ที่นี่มานานแล้ว แต่กลับบอกอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ขอใต้เท้ากรุณาด้วยเถิดเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยถงยืนขึ้นแล้วย่อกายคารวะลู่อีเจิ้งอย่างงดงาม ไม่นำพาต่อโม่อวี่เฟิงที่โกรธเป็ฟืนเป็ไฟอยู่แม้แต่น้อย
ไป๋อี้เฮ่าพาลู่อีเจิ้งมาก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าเขาไม่้าเอาตัวเข้าไปเกลือกกลั้วกับเื่แบบนี้ อีกอย่างกำยานนี้เขาก็เป็คนจัดการให้ หากให้เขาเป็ผู้มาวินิจฉัย เกรงว่าสองพี่น้องจะไม่ยอมรับ โม่เสวี่ยถงย่อมเข้าใจเจตนาของตน ดังนั้นจึงไปขอความช่วยเหลือจากลู่อีเจิ้ง เขาเป็หมอหลวงในราชสำนัก มีอำนาจมากกว่าเขาที่เป็องค์ประกันจากต่างแคว้น
เมื่อเห็นความชาญฉลาดของโม่เสวี่ยถงที่เข้าใจเจตนาของเขา เลือกลู่อีเจิ้งไปตรวจอาการ ดวงตาคู่งามของไป๋อี้เฮ่าจึงมีแววยิ้มฉาบฉายอยู่บางๆ มุมปากกระดกขึ้น หยิบถ้วยชาข้างมือขึ้นมาดื่ม สายตาที่จ้องมองโม่เสวี่ยถงเต็มไปด้วยความชื่นชมอยู่ชั่วครู่ จึงก้มหน้าจิบชาของตนเองเงียบๆ
นับั้แ่เข้าประตูมา นอกจากกล่าวทักทายกับโม่ฮว่าเหวินสองประโยค ก็มิได้พูดกับผู้ใดอีกเลย
“ได้” ลู่อีเจิ้งไม่พูดมาก เดินเข้าไปนั่งตำแหน่งเดียวกับที่ท่านหมอคนก่อนหน้าเคยนั่งอยู่ สายตามองเหยียดหมอผู้นั้นที่ถูกเบียดไปยืนอยู่อีกด้านแล้วแค่นเสียงสำทับ เขาไม่เคยเห็นหมอเถื่อนแบบนั้นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว แม้แต่ดอกหงฮวากับหญ้าเยียนหลัวยังแยกไม่ออก แล้วยังกล้ามาประกอบวิชาชีพหมอรักษาผู้ป่วย หากไม่เรียกว่าทำร้ายคนแล้วจะเรียกว่าอะไร เขาตัดสินใจแล้วว่าหลังจากกลับไปถึงจวนจะเขียนคำร้องเรียนส่งทางการในนามของตนเอง ให้มาจับนักต้มตุ๋นผู้นี้เข้าตะรางไปเสีย
การเห็นชีวิตคนเป็ผักปลา น่ารังเกียจยิ่งกว่าฆ่าคนประสงค์ทรัพย์
เขาหลับตาลง ปลายนิ้วแตะไปบนข้อมือของฟางอี๋เหนียง หัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน ชั่วครู่ใหญ่ก็ปล่อยมือแล้วหันมาถามโม่ฮว่าเหวิน “อี๋เหนียงท่านนี้แท้งบุตรเมื่อไร”
“เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ได้” โม่ฮว่าเหวินกล่าวตอบ
“ก่อนหน้านั้น นางดื่มอะไรมาหรือไม่”
โม่ฮว่าเหวินหันไปหาโม่เยี่ย นางจึงก้าวเข้ามาคุกเข่าลงแล้วกล่าวรายงาน “เรียนนายท่าน เนื่องจากฟางอี๋เหนียงเริ่มไม่สบายตอนที่เข้ามาเรือนชิงเวย บ่าวจึงไม่กล้าให้นางกินอะไรทั้งสิ้น เพราะเกรงว่าหากมีสิ่งใดไม่ดีเกิดขึ้น จะปรักปรำว่าเป็ความผิดของคุณหนูเรา ดังนั้นจึงมิได้เตรียมของกินใดๆ ไว้ให้เลย ตอนนั้นสาวใช้ในเรือนทั้งหมดล้วนรู้เห็น เมื่อฟางอี๋เหนียงเข้ามาพักผ่อน ข้างกายก็มีเพียงกุ้ยเยวี่ยกับกุ้ยหวาสองคนเ้าค่ะ”
ฟางอี๋เหนียงถูกโม่ฮว่าเหวินกักบริเวณเพราะโม่เสวี่ยถง คนในจวนต่างรู้กันทั่ว บ่าวในเรือนของโม่เสวี่ยถงเห็นฟางอี๋เหนียงจะเข้ามาพักผ่อนที่นี่ ไหนเลยจะกล้าส่งอะไรมาให้กิน เลี่ยงได้ก็เลี่ยงไปดีที่สุด เพราะกลัวว่าหากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นเคราะห์ร้ายจะตกมาถึงตัว ดังนั้นบ่าวทุกคนจึงรวมตัวกันอยู่นอกเรือน หากฟางอี๋เหนียงจงใจหาเื่ใส่ความ พวกตนก็พร้อมเป็พยานให้กันและกัน
หลังจากฟางอี๋เหนียงเข้ามาในห้องก็ไม่มีใครเข้ามาอีก นอกจากฟางอี๋เหนียงแล้วก็มีเพียงสาวใช้ประจำตัวสองคน หากนางกินอะไรเข้าไป ก็มีเพียงพวกนางสองคนที่รู้อยู่แก่ใจ สายตาของทุกคนจึงไปอยู่ที่กุ้ยหวาและกุ้ยเยวี่ย
มีเพียงโม่เสวี่ยถงที่สายตาจับอยู่ที่ถ้วยชาเปล่าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงอย่างพิจารณา
“อี๋เหนียงมะ... ไม่ได้กินอะไร ไม่ได้กินอะไรเลยเ้าค่ะ” เมื่อเห็นสายตาของทุกคนจ้องมาที่ตน กุ้ยหวาก็หน้าซีด ร่างทรุดฮวบกองลงที่พื้น ปากคอสั่นละล่ำละลักชี้แจง
“ก่อนหน้าครึ่งชั่วยามอี๋เหนียงผู้นี้จะต้องกินอะไรบางอย่างที่มีส่วนผสมของดอกหงฮวา จึงทำให้แท้งบุตร แต่หากไม่มีใครส่งอะไรมาให้กิน หรือว่าจะนำดอกหงฮวาเข้ามาในเรือนของผู้อื่นเอง ด้วยมีเจตนาใส่ร้ายป้ายสี มารดาเช่นนี้ช่างใจคอโเี้เหลือเกิน”
ลู่อีเจิ้งส่ายหน้าแล้วลุกขึ้น ไม่มองฟางอี๋เหนียงอีกแม้แต่แวบเดียว คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมีสตรีใจคอโเี้ถึงเพียงนี้ เพื่อ่ชิงความโปรดปราน ยอมสละได้แม้แต่บุตรในครรภ์ของตนเอง เสือร้ายยังไม่กินลูกตน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็สตรีที่วางตัวนุ่มนวลอ่อนหวานมาโดยตลอด
หัวใจริษยาของสตรีคือยาพิษร้ายแรงที่แท้จริง
อนุภรรยา้าชิงความโปรดปราน ต้องโหดร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ลู่อีเจิ้งเหงื่อไหลไปทั้งตัว คิดว่าตนเองช่างโชคดีนักที่มีภรรยาเพียงคนเดียว ดังนั้นจึงไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย เมื่อก่อนก็มักถูกเพื่อนร่วมงานหยอกล้อเป็ประจำ แต่ตอนนี้เขาคิดว่านี่เป็เื่โชคดีที่สุดแล้ว
“ใต้เท้าลู่ รบกวนท่านช่วยตรวจสอบหน่อยได้ไหมเ้าคะ ว่าในนี้มีอะไร” โม่เสวี่ยถงเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชาเปล่าที่อยู่บนโต๊ะ แล้วให้โม่หลันนำไปส่งให้ลู่อีเจิ้ง แล้วเหลือบมองฟางอี๋เหนียงที่สีหน้าแข็งค้างเสแสร้งไม่ออกอีกต่อไป พลางยิ้มเยาะ
ลู่อีเจิ้งรับถ้วยมาดมแล้วให้คำตอบ “นี่เป็ถ้วยที่เคยใส่ดอกหงฮวาผสมน้ำดื่ม ก้นถ้วยยังมีกลิ่นติดอยู่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้