“เป็เพราะดูดีเกินไปข้าถึงจะไม่ใส่น่ะสิ สตรีที่สวยที่สุดในคืนนี้ควรจะเป็พระชายาขององค์รัชทายาท” กู้เจิงมองสามีแล้วถามยิ้มๆ “ถูกไหมเ้าคะท่านพี่”
“ถูกต้อง” เสิ่นเยี่ยนพยักหน้า เขามองภรรยาเแล้วเอ่ยว่า “ชุดนี้เหมาะกับเ้ามาก”
“ดีเ้าค่ะ” กู้เจิงตอบอย่างดีใจ สายตาจับจ้องไปยังกล่องในมือเขา “องค์รัชทายาททรงประทานของอะไรมาให้หรือเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนเปิดออกและวางลงบนโต๊ะ
ภายในกล่องมีกำไลหยกคู่หนึ่ง และปิ่นระย้าทองคำที่ทำอย่างปราณีตอีกสองอัน แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีมูลค่าไม่น้อย
ชุนหงตาเป็ประกาย
“กำไลหยกคู่นี้องค์รัชทายาทมอบให้ท่านแม่ ท่านแม่บอกว่านางไม่ชินกับการสวมของมีค่าเช่นนี้จึงให้ข้านำมามอบให้เ้า ส่วนปิ่นสองอันนี้องค์รัชทายาทมอบให้เ้า เนื่องจากช่วยเขาคิดแผนการที่จะเอาชนะใจประชาชนได้”
“ท่านหมายถึงเื่หอสมุดหรือเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนส่งเสียงอืมเบาๆ
“ท่านพี่ องค์รัชทายาททรงชื่นชมท่านมากเลยหรือเ้าคะ?” กู้เจิงหยิบปิ่นปักผมในกล่องมาเสียบเข้ากับมวยผมแล้วส่องกระจก ดูดีมากทีเดียว แต่มันไม่เข้ากับชุดที่นางจะใส่ในคืนนี้ นางจึงวางใส่กล่องกลับไป
“ข้ากับองค์รัชทายาทเคยพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง” เห็นภรรยากะพริบตาปริบๆ เสิ่นเยี่ยนก็หลุดยิ้มออกมา “เ้าจะบอกว่าข้าเป็แค่ขุนนางเล็กๆ ได้พบองค์รัชทายาทไม่กี่ครั้ง ก็ถือเป็เื่ดีแล้วใช่หรือไม่”
“ท่านพี่รู้จักข้าดีจริงๆ เ้าค่ะ” กู้เจิงเลือกปิ่นอันอื่นที่เข้ากับชุด ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเสิ่นเยี่ยน “ข้าแต่งแบบนี้ไปตำหนักบูรพาดีไหมเ้าคะ?”
“เ้าใส่อะไรก็ดูดีไปหมดทั้งนั้น” ถ้อยคำนี้มาจากใจจริงของเขา
หากเข้าวังหลวง ด้วยฐานะของกู้เจิงไม่สามารถพาชุนหงเข้าไปด้วยได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงทิ้งชุนหงไว้ที่บ้าน
กู้เจิงที่เคยชินกับการนั่งด้านนอกรถม้าเป็เพื่อนชุนหงแล้ว นางจึงไม่อยากนั่งในรถอีก ถึงแม้ข้างนอกจะหนาวไปบ้าง แต่นางมีเตาอังมือที่ชุนหงให้ไว้ นางจึงนั่งอยู่ติดกับเสิ่นเยี่ยนที่ด้านนอกรถม้า
เสิ่นเยี่ยนมองใบหน้าเล็กๆ ของภรรยาที่ถูกสายลมเย็นปะทะจนแดงระเรื่อ เขาชะลอความเร็วของรถม้าลง เพื่อไม่ให้นางรู้สึกหนาวเกินไป
“จริงสิ ท่านพี่ ในเมื่อเป็วันเกิดของพระชายารัชทายาท แล้วของขวัญวันเกิดต้องเตรียมไหมเ้าคะ?” จู่ๆ กู้เจิงก็นึกถึงเื่นี้ขึ้นมาได้
“เมื่อวานส่งไปแล้ว ตวนอ๋องเป็คนเลือกให้”
กู้เจิงส่งเสียงอ้อ นางรู้สึกว่าตวนอ๋องช่างยอดเยี่ยมจริงๆ “วันนี้จะมีคนมากมายมาเยือนตำหนักบูรพาใช่ไหมเ้าคะ?”
“เหล่าท่านอ๋องกับพระชายาจะมากันหมด ส่วนขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ไม่ได้รับเชิญ ได้รับเชิญแต่เหล่าคุณชายคุณหนูจากตระกูลต่างๆ เพื่อมาร่วมสนุก” เสิ่นเยี่ยนมองภรรยาด้วยสีหน้าจริงจัง “น้องรองกับน้องสี่ก็มาเหมือนกัน”
“ข้าไม่เห็นน้องสี่มาหลายวันแล้วเ้าค่ะ” หลังจากงานแต่งงานของกู้อิ๋งครั้งก่อน แม่เฒ่าซุนบอกว่ากู้เหยาถูกนายหญิงว่ากล่าว ไม่รู้ว่าตอนนี้ความประพฤติดีขึ้นบ้างหรือยัง
“ข้าต้องคอยอยู่กับตวนอ๋องและองค์รัชทายาท เกรงว่าจะอยู่เป็เพื่อนเ้าไม่ได้”
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ท่านทำในส่วนของท่านเถอะ ข้าโตขนาดนี้แล้ว ย่อมดูแลตัวเองได้เ้าค่ะ” กู้เจิงอิงใบหน้ากับไหล่ของสามี เมื่อตำแหน่งขุนนางของเสิ่นเยี่ยนยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปก็จะมีเื่แบบนี้มากขึ้น นางต้องทำความคุ้นชินกับมัน “จริงสิ วันนี้ข้าไปที่ร้านหนังสือแล้วเจอคุณชายสามหนิงด้วยเ้าค่ะ”
“หนิงฉีกวงหรือ?”
กู้เจิงพยักหน้า “เขาบอกว่าตระกูลหนิงของพวกเขาจะยกเลิกการหมั้นหมายกับฟู่ผิงเซียง ทั้งยังปั้นหน้าโมโหคิดว่าข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวเื่ระหว่างพวกเขา ตัวข้าไหนเลยจะมีความสามารถเช่นนั้นเ้าคะ”
“ญาติผู้พี่สกุลวังข้าเป็คนหามา แต่เื่นี้ท่านแม่ยายเป็คนจัดการ”
กู้เจิงมองสามี เขามีสีหน้าสงบนิ่ง เขาก้มหน้ามองนางด้วยั์ตาลุ่มลึกแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
“ท่าน ท่านเป็คนหาสกุลวังคนนั้นหรือเ้าคะ?” นางแค่รู้สึกว่าเื่นี้มีลับลมคมใน แต่ไม่รู้ว่าญาติผู้พี่สกุลวังคนนั้นสามีจะเป็คนหามา และยิ่งคิดไม่ถึงว่าสามีจะร่วมมือกับนายหญิง กู้เจิงแปลกใจมาก “ท่านมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านแม่ขนาดนี้ั้แ่เมื่อไหร่กันเ้าคะ?”
“ฟู่ผิงเซียงก่อกวนเ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้แม้แต่การแต่งงานของน้องรองก็ยังกล้ามาวุ่นวาย ตอนอยู่ในห้องหนังสือคราวก่อนท่านพ่อตาพูดถึงเื่นี้ขึ้นมา ข้าเลยบอกเื่คนสกุลวังคนนั้นขึ้น”
เสิ่นเยี่ยนปกป้องนางปานนี้ ทำเอากู้เจิงรู้สึกอบอุ่นใจ “ท่านพี่ช่างดีจริงๆ ฟู่ผิงเซียงกลับคิดว่า ตระกูลหนิงเป็คนทำร้ายนางเ้าค่ะ”
นางเป็ภรรยาของเขา เขาย่อมต้องปกป้องนาง เสิ่นเยี่ยนกล่าว “ตระกูลหนิงไม่ชอบฟู่ผิงเซียงก็จริง แต่ด้วยฐานะของนาง การแต่งกับนางมีแต่จะเป็ประโยชน์ต่อตระกูลหนิง” ตระกูลขุนนางเหล่านี้ ผลประโยชน์จะต้องมาก่อนเสมอ ต่อให้เกลียดฟู่ผิงเซียงเพียงใด ก็ต้องยิ้มต้อนรับนางเข้าตระกูล
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเ้าค่ะ” กู้เจิงตื่นเต้นที่ตนเองเดาถูก “แต่ดูเหมือนคุณชายสามสกุลหนิงจะไม่พอใจมาก หรือว่าเขาจะชอบฟู่ผิงเซียงเ้าคะ?”
“ข้าไม่รู้หรอกว่าเขาชอบหรือไม่ชอบ แต่ในฐานะบุตรอนุเขาไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายในตระกูลหนิงนัก การได้แต่งงานกับฟู่ผิงเซียงถือเป็โอกาสดีสำหรับเขา” คนของตระกูลหนิงเสิ่นเยี่ยนล้วนรู้แจ้งดี คุณชายสามหนิงคนนี้ใช้ชีวิตได้ดีกว่าผู้ลากมากดีจอมเสเพลคนอื่นๆ แต่พอโตมาในจวนแบบนั้น ก็รู้จักริเริ่มคิดแผนสูง
“เขาคิดอย่างไรกันเ้าคะ? เขาสอบตกในการสอบรับราชการ ฟู่ผิงเซียงให้บ่าวรับใช้ปล่อยข่าวทำเขาอับอายขายหน้าเช่นนั้น หากข้าเป็ผู้ชาย ไม่ว่าข้าจะได้ประโยชน์มากเพียงใด สตรีเช่นนี้ข้าก็ไม่้าหรอกเ้าค่ะ” ขนาดนางที่เป็คนนอกยังทนดูต่อไปไม่ได้ แต่คุณชายสามหนิงกลับไม่แยแสเลยสักนิด พอนึกถึงเื่ที่เขาตำหนินางเมื่อเช้า กู้เจิงก็อดโมโหไม่ได้ ไม่ถามเขียวแดงดำขาว* ก็ใส่ความคนอื่นเสียแล้ว นับว่าเหมาะสมกับฟู่ผิงเซียงนัก
(*หมายถึง ความผิดความถูก)
“บางครั้ง ความอับอายขายหน้าก็ช่วยให้เขาได้ในสิ่งที่้า”
“หมายความว่ายังไงเ้าคะ?”
“ข้างนอกมีข่าวลือว่าคุณชายสามหนิงเป็คนแสวงหาความก้าวหน้า เพื่อที่จะได้คู่ควรกับคุณหนูฟู่ อายุเพียงสิบสองปีก็มีความกล้าไปเข้ารับการสอบ แม้จะสอบไม่ติดกระทั่งถูกบ่าวตระกูลฟู่ทำให้อับอาย แต่ก็ไม่ได้ตำหนิตระกูลฟู่ กลับแสดงความเป็คนใจกว้างและอ่อนโยน” เมื่อเห็นภรรยาทำหน้าฉงน เขาจึงอธิบายเพิ่ม “ก่อนหน้านี้ ท่ามกลางสายตาผู้คนคุณชายสามหนิงก็เป็เพียงบุตรอนุจากตระกูลหนิงเท่านั้น”
กู้เจิงอ้าปากค้าง นางไม่อยากจะเชื่อ “ท่านหมายความว่า ทั้งหมดนี้ล้วนถูกวางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้วหรือเ้าคะ?”
“ข้าไม่แน่ใจ แต่ผลลัพธ์สุดท้าย ดูเหมือนจะเป็ประโยชน์ต่อเขามากๆ” เสิ่นเยี่ยนยิ้มบางๆ
กู้เจิงคิดว่า การมีชีวิตโดยต้องคอยใช้ความคิดเช่นนี้ ไม่เหนื่อยหรือไง? หากเป็อย่างที่เสิ่นเยี่ยนพูดจริง ดูเหมือนฟู่ผิงเซียงจะน่าสงสารอยู่บ้าง
จวนใกล้ถึงวันตรุษจีนแล้ว บนท้องถนนจึงครึกครื้นเป็พิเศษ ผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของเยอะกว่าปกติมาก
กู้เจิงเมื่อเห็นร้านตัดเย็บเสื้อผ้าก็อุทานออกมา “ข้าลืมทำเสื้อผ้าชุดใหม่เสียสนิท ต้องใส่ในวันตรุษจีนซะด้วย พรุ่งนี้ข้ากับชุนหงจะไปหาน้าเฝิงที่หลัวฉีเก๋อ ทำเสื้อผ้าชุดใหม่ของทั้งครอบครัวเลย ดีไหมเ้าคะ”
“เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านแม่ให้น้าเฝิงทำชุดใหม่ให้แล้ว” เสิ่นเยี่ยนบอกกล่าว
“ท่านแม่ช่างรอบคอบจริงๆ” กู้เจิงคลายใจ “ท่านรู้เื่การแต่งงานของน้องหงซานหรือไม่เ้าคะ?”
“ได้ยินท่านแม่บอกว่าจะแต่งงานหลังสิ้นปี”
กู้เจิงประหลาดใจ “เร็วขนาดนี้เชียวหรือเ้าคะ?”
“เื่ของนางนับว่าไม่เร็ว แต่เื่ของพวกเราต้องเร็วหน่อย”
“เื่อะไรหรือ?”
เสิ่นเยี่ยนก้มหน้ามองนางด้วยแววตาประหลาด “วันก่อนชุนหงคุยกับท่านแม่ นางว่าคุณหนูของนางอยากจะมีลูกในปีหน้า หากท้องก็ต้องใช้เวลาเก้าเดือน ฉะนั้นอีกสามเดือนที่เหลือพวกเราต้องเร่งทำให้เร็วหน่อย”
กู้เจิง “...” นางหน้าแดงเถือก ชุนหงผู้ปากมากคนนี้นี่
ตำหนักบูรพาตั้งอยู่ในวังหลวง เมื่อก่อนกู้เจิงคิดมาตลอดว่าพอองค์ชายโตขึ้นก็จำต้องย้ายออกไปอยู่อาศัยข้างนอกวัง แต่ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าในวังหลวงมีบุรุษอาศัยอยู่มากมาย นอกจากวังหลังที่มีทหารคอยคุ้มกันอย่างแ่า และไม่อนุญาตให้ขุนนางเข้าออกแล้ว ตำหนักใหญ่หลายแห่งด้านนอกล้วนมีขุนนางอยู่ กระทั่งมีตำหนักที่เตรียมไว้ให้ขุนนางนอกโดยเฉพาะ เพื่อสะดวกต่อการทำงานราชการ
พระราชวังมีขนาดใหญ่โตมาก หลังจากที่เสิ่นเยี่ยนแสดงป้ายแขวน รถม้าของตระกูลเสิ่นก็ตรงเข้าไปในวัง โดยมีกงกงคนหนึ่งขึ้นมาบังคับรถม้าและพาพวกเขาไปที่ตำหนักบูรพา
รถม้ามาจอดอยู่หน้าประตูหนึ่ง นามว่า ‘ตำหนักเจี่ยงตู๋’ กงกงลงจากรถม้า เขาโค้งคำนับแล้วพูดอย่างอ่อนน้อมว่า “ใต้เท้าเสิ่น ฮูหยินน้อยเสิ่น องค์รัชทายาทกำลังรอพวกท่านอยู่ในตำหนักขอรับ”
“รบกวนกงกงแล้ว” เสิ่นเยี่ยนโค้งตอบ
กู้เจิงมองซ้ายมองขวา กำแพงสีแดงกระเบื้องสีทอง ตั้งสูงตระหง่านตรงหน้า นางยืนอยู่ในจวนอันสูงส่ง มองจากที่ไกลๆ ตำหนักหลังแล้วหลังเล่า กระเบื้องสีทองเชื่อมต่อกันยาวเป็ทาง ส่องแสงสีทองอร่ามระยิบระยับไปตลอดแนว
ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแห่งต้าเยว่นับว่าไม่เลว แม้เมื่อสิบกว่าปีก่อนจะเกิดความโกลาหลขึ้นภายใน แต่ไม่นานก็สงบลง นางไม่เคยได้ยินเื่ความวุ่นวายภายนอกมาก่อน ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทผู้นี้เป็คนแบบไหนกัน?
“ข้าน้อยคารวะตวนอ๋อง พระชายาตวน” มีเสียงทักทายดังขึ้น
กู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยนหันกายไป พวกนางเห็นตวนอ๋องจ้าวหยวนเช่อกับกู้อิ๋งเดินออกมาจากประตูกลม ตามมาด้วยกู้เหยาและกู้เจิ้งชินทางด้านหลัง
นางและเสิ่นเยี่ยนต่างโค้งคารวะ