เจียงชิงอวิ๋นได้ยินหลี่หรูอี้กล่าวด้วยถ้อยคำเช่นนี้จึงปล่อยวางได้ทันที กล่าวถามไปว่า “อาหารบ้านเ้าพอให้พวกเราสิบคนกินหรือ”
หลี่หรูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงชี้ไปที่ลุงโจวแล้วกล่าวกับเจียงชิงอวิ๋นด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ในกลุ่มพวกท่านมีเพียงท่านและเขาที่ร่างกายอ่อนแอ ซึ่งเป็ผู้ป่วยในสายตาข้า ข้าจึงให้พวกท่านสองคนกินข้าว ส่วนคนอื่นร่างกายแข็งแรงดี ทนหิวเพียงครู่หนึ่งก็ไม่เป็ไร”
นางหลิวรีบกล่าวขึ้นทันที “นายท่าน ไม่จำเป็ต้องสนใจพวกเราหรอกเ้าค่ะ”
หลี่หรูอี้ยังคงกล่าวต่อไป “หึ... หากทุกคนเป็เหมือนท่าน มาบ้านข้ามือเปล่า เพื่อให้ข้าช่วยรักษา แล้วยังให้ข้าดูแลเื่อาหารการกินอีก เช่นนี้ครอบครัวข้าจะมีชีวิตต่อไปได้หรือ”
เจียงชิงอวิ๋นเคยฟังคำพูดที่ร้ายกาจกว่านี้สิบเท่ามาแล้ว แต่คนที่กล่าวกับเขาล้วนเป็คนที่มีฐานะสูงส่งและมีหน้ามีตา ยังไม่เคยมีเด็กหญิงตัวน้อยกล้ากล่าวเช่นนี้มาก่อน หลี่หรูอี้ผู้นี้ใจกล้าจริงๆ แต่ก็น่าสนใจยิ่งนัก เขาแอบหัวเราะอยู่ในใจ “เป็เ้าที่ถามข้าเมื่อครู่นี้ว่าจะกินหรือไม่ ข้าพาคนมาด้วยกลุ่มหนึ่ง ข้าย่อมไม่อาจกินเพียงผู้เดียวแล้วให้พวกเขาดูข้ากิน”
หลี่หรูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนแคะ “นายท่านกินข้าว บ่าวไพร่ยืนดู นี่มิใช่เื่ปกติหรอกหรือ ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ท่านกินข้าวพร้อมพวกเขาทุกมื้อ”
เจียงชิงอวิ๋นอธิบาย “มิใช่เช่นนั้น เพียงแต่คนที่มาวันนี้ล้วนเป็คนสนิทของข้า คงต้องรบกวนหมอเทวดาน้อยและครอบครัวเตรียมอาหารให้พวกเราแล้ว ข้าขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้นบ่าวไพร่จวนเจียงที่อยู่ที่นี่ต่างรู้สึกซาบซึ้งในใจ โดยเฉพาะองครักษ์หลายคน พวกเขาคาดไม่ถึงฐานะของพวกตนในใจเจียงชิงอวิ๋นจะสำคัญถึงเพียงนี้ หากอยู่ที่จวนเยี่ยนอ๋องนี่เป็เื่ที่เป็ไปไม่ได้เลย
จ้าวซื่อยิ้มบางๆ “เพียงอาหารมื้อเดียวเท่านั้น นายท่านเจียงไม่จำเป็ต้องขอบคุณ”
หลี่หรูอี้ปรายตามองไปที่เจียงชิงอวิ๋นอีกครั้งหนึ่ง พลางคิดในใจว่า ในที่สุดก็พูดขอบคุณแล้ว คิดว่าเขาจะพูดขอบคุณไม่เป็เสียอีก
ลุงฝูได้รับสัญญาณจากสายตาของเจียงชิงอวิ๋นก็รีบหยิบตั๋วเงินใบละยี่สิบตำลึงออกมาใบหนึ่งแล้วยื่นให้ “นี่เป็น้ำใจเล็กน้อยของนายท่าน หมอเทวดาน้อย โปรดรับไว้ด้วยเถิด”
ครอบครัวหลี่อยู่ที่นี่กันครบทุกคน แต่ลุงฝูมองออกว่า สำหรับครอบครัวหลี่แล้วฐานะของหลี่หรูอี้ค่อนข้างสูง อีกทั้งหลี่หรูอี้เป็คนช่วยรักษาลุงโจว ตั๋วเงินนี้ย่อมมอบให้กับนาง
หลี่หรูอี้ไม่ได้รับตั๋วเงิน ไม่แม้แต่จะปรายตามองตั๋วเงินแม้เพียงชั่วครู่ แต่กลับกล่าวอย่างไม่เร่งร้อนว่า “ข้ารักษาโรคให้ผู้อื่นโดยไม่เก็บเงินค่ารักษา แต่หากผู้ป่วย้าขอบคุณข้าจากใจจริงก็จะมอบของที่จำเป็ให้…”
เจียงชิงอวิ๋นจึงเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าเ้า้าอะไร”
หลี่หรูอี้กล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ท่านเป็จวี่เหริน เชื่อว่าในจวนคงมีหนังสือเก็บไว้มากมายกระมัง ตู้หนังสือของบ้านข้าว่างเปล่ายิ่งนัก” นางเลือกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “หากข้ารักษาอาการให้ผู้ป่วยจนหายดีแล้ว ท่านก็มอบหนังสือจำนวนหนึ่งให้ข้าเป็อย่างไร”
ต่อให้บ้านหลี่นำทรัพย์สินทั้งหมดไปซื้อหนังสือ ก็คงมีไม่มากเท่าหนังสือที่เก็บไว้ในจวนเจียงแน่นอน
แม้ผู้กล่าวไม่ได้ตั้งใจแต่ผู้ฟังกลับรู้สึกไปแล้ว พริบตานั้นเจียงชิงอวิ๋นพานนึกไปถึงหนังสือและตำราหลายพันเล่มที่ถูกเก็บไว้ที่ห้องใต้ดิน เปรียบดั่งคนที่ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันมานาน ดวงตาของเขาก็พลันเกิดประกายหดหู่ ความรู้สึกโศกเศร้าอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ
หนังสือที่จวนเจียงมีในตอนนี้ นอกจากที่ซื้อหามาเองแล้วก็เป็หนังสือที่จวนเยี่ยนอ๋องมอบให้ทั้งหมด รวมแล้วหลายร้อยเล่ม
หนังสือเป็ของล้ำค่า แต่ไม่อาจเทียบกับชีวิตคนได้
หากหลี่หรูอี้รักษาอาการป่วยของลุงโจวได้จริงๆ เจียงชิงอวิ๋นคิดว่าหากจะมอบหนังสือทั้งหมดของตนให้นางก็ย่อมได้ จึงรีบกล่าวไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เ้าชอบหนังสือ เช่นนั้นข้าจะมอบให้เ้า”
ลุงฝูประเมินหลี่หรูอี้สูงขึ้นมาก เมื่อเห็นเจียงชิงอวิ๋นพยักหน้าก็รีบเก็บตั๋วเงินกลับมาแล้วพูดยิ้มๆ “โบราณว่า ในหนังสือมีคลังสมบัติอยู่ หมอเทวดาน้อยฉลาดเฉลียวจริงๆ”
“พวกเรากำลังเรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษา หนังสือเหล่านี้น้องสาวขอมาเพื่อพวกเราทั้งนั้น”
“น้องสาวคิดแทนพวกเรามาตลอด”
“น้องสาวคนดี พี่ชายขอบใจเ้าจริงๆ”
“นับว่าได้พึ่งวาสนาของน้องสาวแล้ว พวกเราจะได้มีหนังสือมากมายอ่านเพียงนี้”
เด็กชายทั้งสี่ของบ้านหลี่รู้สึกยินดียิ่ง รีบพากันเข้ามาห้อมล้อมหลี่หรูอี้แล้วกล่าวขอบใจ
สองสามีหลี่ซานรู้สึกดีใจยิ่งนัก โดยเฉพาะจ้าวซื่อที่ทราบถึงคุณค่าของหนังสือเป็อย่างดี ในบ้านของจวี่เหรินที่มีฐานะไม่ธรรมดาเฉกเช่นเจียงชิงอวิ๋นจะต้องมีหนังสือที่หาซื้อไม่ได้ในตัวอำเภอหรือเมืองเยี่ยนแน่นอน
เมื่อหลี่หรูอี้ได้รับคำสัญญาจากเจียงชิงอวิ๋นแล้ว ก็รีบสั่งให้คนยกอาหารเย็นมาให้คนจวนเจียง
ห้องครัวของบ้านหลี่ทำซาลาเปาลูกใหญ่ออกมาร้อยกว่าลูก มีทั้งไส้เนื้อและไส้ผัก ยังมีถั่วงอกเป็อาหารจานเย็น และมีโจ๊กแป้งข้าวโพดหม้อใหญ่ด้วย
ไม่ทันไรก็มีคนมาร่วมกินข้าวเพิ่มอีกสิบคนแล้ว หลี่หรูอี้ให้หลี่สือทำแป้งย่างต้นหอมอีกสามสิบแผ่น ส่วนตนก็ทำถั่วลิสงทอดและต้นหอมผัดเห็ดหูหนู
เจียงชิงอวิ๋น ลุงฝู ลุงโจว หลี่ซาน และเด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่นั่งโต๊ะเดียวกัน เริ่มกินข้าวก่อนผู้อื่น
วันนี้ต้องทนทุกข์มาครึ่งวันแล้ว เจียงชิงอวิ๋นรู้สึกเหนื่อยล้ามานาน ท้องก็หิวมากด้วย ซาลาเปาไส้ผักที่มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นของผู้ใหญ่มีไส้ผักดองรสเปรี้ยวและเต้าหู้นุ่มๆ หอมๆ ช่างยั่วน้ำลายยิ่งนัก พริบตาเดียวก็กินไปแล้วถึงสามลูก ถั่วงอกคลุกเย็นที่ผสมน้ำมันงาลงไปด้วยทั้งหอมและให้รสเย็นสดชื่น เขากินไปหลายสิบคำเลยทีเดียว กระทั่งโจ๊กแป้งข้าวโพดที่ใส่เกลือเพียงเล็กน้อยก็ยังรู้สึกอร่อย เขากินไปชามใหญ่
เขากินจนพุงกางโดยไม่ทันรู้ตัว
บ่าวไพร่ของบ้านหลี่ยกแป้งย่างต้นหอม ถั่วลิสงทอด และต้นหอมผัดเห็ดหูหนูขึ้นโต๊ะ เมื่อเจียงชิงอวิ๋นเห็นว่าทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อยจึงเริ่มกินอีกครั้ง
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ลุงฝูล้วนเห็นอยู่ในสายตา คนบ้านหลี่มารยาทดี อาหารที่ทำก็หอมกรุ่น อาหารที่เ้านายของเขากินที่บ้านหลี่ยังมากกว่าอาหารที่เขากินที่จวนเจียงหนึ่งวันเสียอีก
หลี่หรูอี้รีบกินอาหารแล้วไปที่ห้องบด คอยกำชับให้อู่ต้านำแอปเปิลยี่สิบชั่งไปโม่ให้กลายเป็น้ำแอปเปิล จากนั้นก็นำน้ำมันงาและน้ำแอปเปิลมาผสมกันในสัดส่วนที่กำหนด สุดท้ายก็นำไปบรรจุในไหแล้วปิดผนึก
คนจวนเจียงเพิ่งกินข้าวเย็นเรียบร้อย ก็เห็นหลี่หรูอี้ใช้สองมือประคองไหใบเล็กเข้ามาแล้ว “ยาสมุนไพรอยู่ในไห กินทุกวัน่เช้ากลางวัน เย็นหลังอาหาร ครั้งละหนึ่งถ้วยเล็ก”
เจียงชิงอวิ๋นเอ่ยถามว่า “ถ้วยขนาดเท่าใด”
หลี่หรูอี้ส่งไหไปให้ลุงฝูแล้วใช้มือทั้งสองกะเป็ขนาดของถ้วย “ครั้งแรกข้าต้มให้ในปริมาณที่พอกินห้าวัน หากผู้ป่วยกินหมดแล้วยังระบายนิ่วในถุงน้ำดีออกมาไม่ได้ก็มาหาข้าใหม่”
ทุกคนกล่าวอย่างพร้อมเพรียง “ขอบคุณหมอเทวดาน้อย”
“อย่าเพิ่งรีบกลับ ข้าจะเขียนตำราอาหารให้ผู้ป่วยเสียก่อน” หลี่หรูอี้มองไปทางเจียงชิงอวิ๋น แสงตะเกียงสีเหลืองสลัวสาดส่องลงบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา บริเวณคิ้วมีความโศกเศร้าซุกซ่อนอยู่จางๆ ชายหนุ่มผู้นี้คงมีเื่ให้เศร้าใจกระมัง “ท่าน้าให้ข้าจับชีพจรหรือไม่ ้าให้ข้าเขียนตำราอาหารให้ท่านหรือไม่ โบราณว่า ยาเป็พิษอยู่สามส่วน บำรุงด้วยอาหารจึงจะเป็ยาชั้นเลิศ”
เมื่อครู่ก่อนกินอาหาร นางหลิวได้คุยกับจ้าวซื่อไปบ้างแล้ว นางมีความประทับใจต่อครอบครัวหลี่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะหลี่หรูอี้ที่เป็ผู้มีพระคุณของพวกนางสามีภรรยา อีกทั้งที่หลี่หรูอี้กล่าวก็เพราะเป็ห่วงสุขภาพของเจียงชิงอวิ๋น ด้วยเหตุนี้นางจึงกล่าวโน้มน้าวไปว่า “นายท่าน ท่านลองให้หมอเทวดาน้อยตรวจดูเถิด”
เจียงชิงอวิ๋นเห็นสายตาเ้าเล่ห์ของหลี่หรูอี้จึงมองให้ละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง พบว่าดวงตากลมโตของนางมีเพียงประกายฉลาดเฉลียว หรือว่าตนตาพร่าไปเอง เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นก็รบกวนเ้าแล้ว”
หลี่หรูอี้เชิญให้เจียงชิงอวิ๋นนั่งลงแล้วจับชีพจรให้เขา การจับชีพจรในคราวนี้ไม่ได้เจาะจงไปที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็สำคัญ แต่นางนึกไม่ถึงเลยว่า ร่างกายของเขาจะอ่อนแอเพียงนี้ จิตใจก็จมอยู่กับความโศกเศร้า อายุเท่าเขาต้องผ่านเื่ราวอะไรมากันแน่ จึงทำให้ร่างกายย่ำแย่เพียงนี้ นางไม่อยากเห็นบุรุษรูปงามต้องมาตายั้แ่อายุยังน้อยเช่นนี้จริงๆ
นางขมวดคิ้วมุ่น กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน “ปมในใจของท่านหนักหนาเกินไป ทำให้ส่งผลถึงอวัยวะภายใน ความอยากอาหารจึงลดลง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “พวกเขาก็พูดเช่นนี้” ตอนที่อยู่ในจวนเยี่ยนอ๋อง ฉินไท่เฟยเคยเชิญหมอเลื่องชื่อในละแวกนั้นมาตรวจรักษาให้เขาแล้ว
เมื่อได้ยินดังนั้นคนจวนเจียงก็มีท่าทีเคร่งเครียดขึ้นมาโดยพลัน
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้