เล่มที่ 4 บทที่ 111
หลังจากพักผ่อนเป็เวลาหนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นย่อมต้องไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษเพื่อรับโทษตามประสงค์ของฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อเฉินเทียนหยูเข้าไปในห้องโถงบรรพบุรุษ ใบหน้าของเขาถึงกับเต็มไปด้วยความขมขื่น “น้องหญิง ข้าไม่ชอบที่นี่เลย ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่”
ที่แห่งนี้ทั้งมืดและเงียบเชียบ มิหนำซ้ำยังมีการจุดเครื่องหอมตลอดทั้งวัน หากดมกลิ่นเป็เวลานานย่อมรู้สึกอึดอัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“นี่คือห้องโถงบรรพบุรุษของตระกูลเฉิน ท่านพี่เป็ทายาทของตระกูลเฉิน จะไม่เข้าไปแม้กระทั่งในห้องโถงบรรพบุรุษได้อย่างไร?” บรรพบุรุษกำลังมองจากเบื้องบน เฉินเทียนหยูหมุนตัวหันหลังด้วยความขุ่นเคืองหมายจะเดินกลับซึ่งทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกจนปัญญาเป็อย่างมาก นางดึงเขาและส่งธูปหอมที่ปี้เอ๋อร์ได้จุดไว้ ก่อนจะส่งให้เฉินเทียนหยู “ไม่ต้องอยู่ที่นี่นานเกินไป แต่ท่านพี่ไหว้หนึ่งก้านธูปก่อนแล้วค่อยไป ดีหรือไม่?
ทันทีที่ได้ยินว่าไหว้ก่อนจากนั้นก็สามารถไปได้แล้ว เฉินเทียนหยูจึงไม่ขุ่นเคืองอีกต่อไป ครั้นเห็นมู่หรงฉิงจับธูป ชายหนุ่มย่อมทำตามมู่หรงฉิงด้วยการคำนับสองสามหน หลังจากใส่ธูปหอมลงในกระถางธูป เขาก็ไม่้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปแม้จะเป็ครู่เดียวก็ตาม จากนั้นจับมือของมู่หรงฉิงด้วย้าออกมาจากห้องโถงบรรพบุรุษซึ่งเป็สถานที่จัดวางป้ายิญญา ทันทีที่ย่างเท้าออกมา ก่อนจะออกจากลานเรือนก็เห็นจ้าวจื่อซินเดินเข้ามาพร้อมกับชิงยวี่
“ไปกันเถอะ” ไม่มีคำพูดที่มากไปกว่านั้น จ้าวจื่อซินก้าวเท้ามาที่นี่และมุ่งตรงไปยังห้องเก็บฟืนซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังห้องโถงบรรพบุรุษ มู่หรงฉิงเห็นว่าคราวนี้อุโมงค์ลับถูกเปิดในห้องเก็บฟืน นางถึงกับพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นางหวั่นกลัวจริงๆ โดยหวั่นกลัวว่า จ้าวจื่อซินจะขุดอุโมงค์ลับในห้องโถงบรรพบุรุษอย่างไม่รู้จักคิด เช่นนั้นนับว่าเป็การไม่ให้เกียรติอย่างมาก
เฉินเทียนหยูไม่คาดคิดเลยว่าที่นี่ก็มีอุโมงค์ทางลอดอยู่ด้วย ดังนั้นเขาจึงเดินตามจ้าวจื่อซิน ลงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากหลายคนเดินเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดิน จ้าวจื่อซินได้กดกลไกบนผนังทำให้ทางเข้าปิดทันที
หลังก้าวเข้าสู่อุโมงค์ใต้ดิน ทุกคนยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับแสงสลัวได้สักระยะหนึ่ง กระทั่งผ่านไปกว่าครึ่งเค่อ ทุกคนถึงได้เห็นชัดเจนว่าตนเองยืนอยู่ที่ใด ปรากฏว่าเนื่องจากอุโมงค์ใต้ดินได้ถูกออกแบบโดยคนคนเดียวกัน สภาพภายในอุโมงค์จึงไม่แตกต่างจากอุโมงค์ใต้ดินอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็ความกว้างที่มีความใกล้เคียงกัน หรืออาศัยแสงสว่างจากหินแร่เรืองแสงเหมือนกัน
มู่หรงฉิงเห็นสีผิวซีดเซียวของชิงยวี่ซึ่งดูแปลกๆ เล็กน้อยภายใต้แสงสว่างจากหินแร่เรืองแสง นางจึงจับมือของเฉินเทียนหยูโดยสัญชาตญาณ “เหตุใดชิงยวี่ถึงมาด้วยล่ะ? เขาาเ็สาหัสก็ควรจะพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายถึงจะถูก”
“เขาได้รับาเ็เพราะเ้า และเ้าเย็บแผลให้เขาอย่างประหลาด ถ้าเ้าไม่ดูแลเขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วยาม และถ้าเกิดเขาตายขึ้นมา เ้าจะชดใช้ข้าด้วยคนตายหนึ่งคนหรือ?” ชิงยวี่ยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ ทว่าคำพูดที่เ็าของจ้าวจื่อซินก็ทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกผิดและไม่เอื้อนเอ่ยถามอีกต่อไป
ชิงยวี่เดินอย่างเงียบๆ เขารู้สึกพูดไม่ออกกับสิ่งที่เ้านายพูด เ้านาย... เห็นๆ อยู่ว่า ท่าน้าใช้ข้าเพื่อเข้าใกล้ฮูหยินน้อยใช่หรือไม่? ถึงกับต้องหาข้ออ้างที่ปราศจากความปรานีเลยหรือ?
ชิงยวี่รู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ่นี้เ้านายของเขาผิดปกติและเอาแน่เอานอนไม่ได้ มิหนำซ้ำเขายังรู้สึกอย่างคลุมเครือว่า การเปลี่ยนแปลงของเ้านายมีส่วนเกี่ยวข้องกับฮูหยินน้อย แต่อย่างไรก็ดี เขาได้ปฏิเสธอย่างหนักแน่นกับความคิดที่ว่า เ้านายของเขาจะมีใจให้ฮูหยินน้อย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ความคิดที่ว่าก็ช่างไร้สาระเกินไปอยู่หลายส่วน
อีกประการด้วยสถานะของเ้านาย ้าผู้หญิงแบบไหน มีแบบไหนบ้างที่ไม่มี? ไม่ว่าจะอ้วนคล้ายหยางกุ้ยเฟย หรือผอมคล้ายเ้าเฟยเยี่ยนก็ตาม เมื่อก่อนหญิงสาวหลายนางมักจะอาสาเข้ามาในอ้อมอกของเ้านายไม่ใช่หรือ? แต่ไม่เคยเห็นว่าเ้านายจะมีใจต่อผู้หญิงคนใด สาเหตุที่เ้านายไม่ปกติจะต้องเป็เพราะเขาถูกฮูหยินน้อยวางกับดักอะไรเป็แน่ เ้านายอาจไม่ยินยอมแต่เพราะไม่สามารถผิดสัญญาได้ ดังนั้น เ้าตัวจึงแปลกประหลาดผิดปกติกระมัง?
ด้วยการรับรองเช่นนั้นในใจ ชิงยวี่ก็ไม่ได้เก็บมันมาคิดอีกต่อไปแล้ว
ทางออกของอุโมงค์ลับตั้งอยู่ในห้องด้านข้างของเรือนหลังหนึ่ง นอกจากเตียง โต๊ะ เก้าอี้ที่จัดวางอยู่ในห้อง ก็ไม่มีเครื่องเรือนอื่นๆ จากห้องด้านข้างถึงห้องโถงใหญ่ จะต้องเดินผ่านหลายห้อง และส่วนใหญ่ก็ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนที่เรียบง่าย
คิดว่าจ้าวจื่อซินคงมีเรือนในเมืองหลวงจำนวนมากเกินไป อีกประการบ้านเหล่านี้น่าจะมีไว้สำหรับขุดอุโมงค์ลับ และโดยปกติก็ไม่มีคนอยู่อาศัย ดังนั้นจ้าวจื่อซินจึงคร้านกับการต้องใช้ความพยายามในการตกแต่งเรือนกระมัง
“ด้วยอุปนิสัยของเ้าแล้ว แม้เ้าจะต้องคุกเข่าอยู่ในห้องโถงบรรพบุรุษเป็เวลาสิบวัน หรือเป็เวลาครึ่งเดือนก็ตาม เ้าย่อมไม่ลอบออกมา ทว่าคราวนี้เ้าเป็คนยอมรับการลงโทษด้วยตัวเอง แต่เหตุใดเ้าถึงไม่คุกเข่าที่ห้องโถงบรรพบุรุษ แต่กลับลอบวิ่งออกจากจวนเฉินแทนล่ะ?”
เฉินเทียนหยูอยากรู้อยากเห็นและมีความกระตือรือร้นกับการสำรวจภายในเรือนเป็อย่างมาก เขาแทะกินผลไม้พลางวิ่งไปทั่ว ปี้เอ๋อร์เห็นว่าบนโต๊ะไม่มีน้ำ นางจึงไปที่ครัวเพื่อต้มน้ำและชงชา เนื่องจากชิงยวี่ได้รับาเ็บนแผ่นหลัง มิหนำซ้ำเขายังต้องเดินเป็เวลานานทำให้ร่างกายของเขาไร้เรี่ยวแรง ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องนอน เขาก็ล้มตัวพักผ่อน เวลานี้จึงเหลือเพียงสองคน จ้าวจื่อซินถึงได้สอบถามความสงสัยในใจของเขา
ขณะมู่หรงฉิงออกจากเรือนหยางเซิง นางได้ถามเขาว่ามีอุโมงค์ลับในห้องโถงบรรพบุรุษที่สามารถออกจากจวนเฉินหรือไม่? แม้เขาไม่รู้ว่านางกำลังจะเล่นกลอะไร แต่ด้วยท่าทีจริงจังของนาง เขาจึงไม่ได้โกหก
กระทั่งออกจากจวนเฉิน จ้าวจื่อซินรู้สึกว่าตนจะต้องรู้ความคิดของนาง ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ และคาดเดาไม่ได้ว่านาง้าทำอะไร เขาต้องรู้สึกอึดอัดเป็อย่างมาก
เมื่อเห็นจ้าวจื่อซินถามด้วยความจริงจัง มู่หรงฉิงจึงคิดพิจารณาอยู่ชั่วครู่หนึ่งและพูดว่า “ข้า้าลองสักตั้ง ลองดูว่าจะสามารถช่วยเฉินเทียนหยูได้หรือไม่ ข้าทำได้เพียงดูผลในคราวนี้”
พูดดังนั้น มู่หรงฉิงก็อธิบายเื่ที่เฉินเทียนหยูสามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น และบอกจ้าวจื่อซินว่า ตัวการร้ายที่ทำให้เฉินเทียนหยูเป็เช่นนั้น แท้จริงแล้วคือผลไม้ชนิดนั้น
หลังจากฟังมู่หรงฉิงพูด จ้าวจื่อซินไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาเป็เวลานาน จวบจนกระทั่งปี้เอ๋อร์กลับเข้ามาพร้อมกับน้ำชาที่ชงสดใหม่ เขาถึงได้กล่าวว่า “ถ้าเ้า้าอะไร เ้าแค่พูดออกมาเป็พอ ถ้าข้าทำได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบดาบและเดินออกไป
คำพูดของจ้าวจื่อซินเป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งยวด นาง้าความช่วยเหลือจากจ้าวจื่อซินจริงๆ ไม่เพียงแต่เื่ของเฉินเทียนหยูเท่านั้น แต่หลักๆ นาง้าความช่วยเหลือในการตอบโต้ครั้งต่อไปซึ่งไม่อาจขาดความร่วมมือจากจ้าวจื่อซินได้
“น้องหญิง ข้าง่วงแล้ว”
เฉินเทียนหยูเดินไปรอบๆ เรือนหนึ่งรอบ หลังจากพบว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ เขาย่อมหมดความสนใจในที่สุด จากนั้นขยี้ดวงตาพลางเดินกลับเข้ามาในเรือนพร้อมพูดพึมพำและมุ่ยปาก “น้องหญิง พวกเราเข้านอนกันเถอะ”
“ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย ทำไมท่านพี่ถึงอยากนอนแล้วล่ะ?” เช้านี้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเหนื่อยล้ามากนัก?
“ข้ากลัวว่าหนูจะมาขโมยผลไม้ของข้า เมื่อคืนข้าถึงตื่นขึ้นมากลางดึกและเฝ้ามองมันทั้งคืน ก่อนรุ่งสาง ข้าเพิ่งหลับแค่สักพักหนึ่ง” ระหว่างพูด เฉินเทียนหยูหาวนอนและดึงมู่หรงฉิงไปนอน
ฟังคำพูดของเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงถึงกับหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เขาก็ช่างคิดได้ หลังจากคิดไตร่ตรองอีกหน นางก็ถึงกับสะดุ้งเหงื่อออกทั้งตัว โชคดีที่เมื่อคืนเฉินเทียนหยูไม่ได้คลุ้มคลั่ง ถ้าเกิดเขาตื่นขึ้นมากลางดึกและ้าจะฆ่านาง นางจะรอดชีวิตได้เสียที่ใด?
เฉินเทียนหยูลากมู่หรงฉิงไปที่เตียงพลางถอดรองเท้าคุกเข่าลงบนเตียง ลากมู่หรงฉิง โดยไม่ปล่อยมือ “น้องหญิงเคยบอกแล้วว่าจะนอนเป็เพื่อนข้า”
“ได้ ฉิงเอ๋อร์จะนอนเป็เพื่อนท่านพี่” เข้านอนอย่างไม่เต็มใจโดยนอนอยู่บนเตียงกับเฉินเทียนหยู จวบจนกระทั่งคนด้านข้างหายใจราบเรียบ มู่หรงฉิงจึงลุกขึ้นนั่งและสวมรองเท้า ลุกออกจากเตียง
หยิบหญ้าชิงโยวในถุงสัมภาระออกมาก็เห็นใบไม้แห้งเหี่ยว ในกรณีแบบนี้ต้องนำไปตากให้แห้งเสียที่ไหนกัน? นางวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็พิษของหญ้าชิงโยวด้วยกลัวว่าจะทำร้ายชีวิตของผู้คนโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นนางจึงใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ ครั้นมาถึงด้านนอกจวนเฉิน นาง้าตากหญ้าแห้ง ทว่ายามได้เห็นว่า หญ้าชิงโยวแห้งแล้ว นางจึงไม่้านำมันไปตากแดด เพียงแต่หลังจากนึกถึงคำพูดของเป้ยหนิงที่บอกว่าจำเป็ต้องตากหญ้าให้โดนแดดเสียก่อน นางจึงไม่ลังเลอีกต่อไป นางนำกระด้งที่เตรียมไว้ล่วงหน้าไปที่ลานสนามหญ้า ดึงใบหญ้าชิงโยวออกมาทีละใบและวางลงในกระด้ง
มู่หรงฉิงมองดูใบหญ้าที่มีพิษซึ่งวางอยู่เต็มกระด้ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองดูดวงอาทิตย์ที่สาดแสงร้อนแผดเผา หากตากแดดจ้าเช่นนี้คิดว่าใช้เวลาแค่หนึ่งวันก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้ใบหญ้าปลิวไปตามสายลมและถูกคนกินโดยไม่ได้ตั้งใจ นางจึงหยิบเอาตาข่ายที่จ้าวจื่อซินวางไว้ในลานสนามมาคลุมบนกระด้ง ไม่เพียงแต่สามารถตากแดดได้ในเวลาเดียวกัน ยังไม่ต้องกลัวว่าใบหญ้าจะปลิวว่อนออกไปด้วย
หลังจากตากใบหญ้าเสร็จเรียบร้อย มู่หรงฉิงจึงกลับเข้าไปในเรือนและมองดูหญ้าพิษที่สามารถช่วยชีวิตของเฉินเทียนหยูอย่างเงียบๆ
จ้าวจื่อซินออกไปและกลับมาอีกหน เวลานั้นเฉินเทียนหยูก็ตื่นขึ้นมาเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นจ้าวจื่อซินถือกล่องอาหารสองกล่องเข้ามาในห้อง เขาถึงกับลุกขึ้นทันควันอย่างมีความสุข จากนั้นถูฝ่ามือบริเวณหน้าท้องที่กำลังร้องโครกๆ พร้อมพูดด้วยรอยยิ้มโง่ๆ ว่า “เมื่อครู่ข้าฝันถึงจ้าวจื่อซิน โดยฝันว่าจ้าวจื่อซินซื้อของกินกลับมา ไม่คาดคิดเลยว่าทันทีที่ข้าลืมตาขึ้น ข้าก็ได้เห็นว่าเขาไปซื้อของกินมาจริงๆ ด้วย”
ในเรือนไม่ได้มีการจุดไฟเป็เวลานาน ย่อมไม่มีวัตถุดิบสำหรับทำอาหารไปโดยปริยาย รวมถึงได้รับรู้ว่าใน่เวลาสองวันที่ผ่านมา มู่หรงฉิงไม่มีใจที่จะทำอาหาร ดังนั้นจ้าวจื่อซินจึงไปที่ร้านอาหารเพื่อซื้ออาหารสำเร็จรูปด้วยสามัญสำนึก
“วันนี้ข้าไปที่ร้านอาหารจู้ฝู ได้เห็นเหรัญญิกดูแลร้านคนนั้นมีทีท่าสุภาพกับอนุหนิงของเ้าเป็อย่างมาก ไหนเ้าบอกว่ามันเป็ทรัพย์สินของเ้าไม่ใช่หรือ?” เมื่อรู้ว่านางชอบกินอาหารของร้านอาหารจู้ฝู จ้าวจื่อซินจึงไม่ได้ใช้ผู้อื่น เขาไปซื้อด้วยตัวเอง แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นอนุหนิงคนนั้น มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังได้รับการต้อนรับจากเหรัญญิกของร้านด้วยท่าทีประจบอย่างไม่รู้สึกละอาย
“อืม ก็มีคนบางคนดำเนินกิจการอยู่และคิดว่าเป็กิจการของตัวเอง อีกข้อข้าก็ไม่มีเวลาไปที่นั่นในเวลานี้” ปี้เอ๋อร์วางอาหารลงบนโต๊ะ ทางด้านมู่หรงฉิงก็ดึงเฉินเทียนหยูไปล้างหน้าและล้างมือ “ชิงยวี่อยู่ที่ไหนหรือ? เขากินอาหารรสเผ็ดพวกนี้ไม่ได้”
“ของเขา ข้าส่งไปที่ห้องแล้ว” หลังจากหยิบน้ำแกงหนึ่งชาม ชายหนุ่มก็วางมันไว้ตรงหน้ามู่หรงฉิง และพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เป็ธรรมชาติ “ถ้าเช่นนั้น เ้าก็ปล่อยให้ทรัพย์สินของตนเองถูกคนเข้ามาแทรกแซงโดยมีจิตมุ่งหมายที่ไม่ดีกระนั้นหรือ?”
จ้าวจื่อซินตักน้ำแกงเป็ดหน่อไม้เปรี้ยวให้มู่หรงฉิง ทว่ามู่หรงฉิงกลับตักให้เฉินเทียนหยูหนึ่งชาม ในตอนท้ายพอเห็นว่ามีชามเปล่าวางอยู่ตรงหน้าตนเองประกอบกับเห็นว่าตรงหน้าของจ้าวจื่อซินมีชามเปล่า นางก็ไม่ได้คิดอะไร นอกจากตักน้ำแกงใส่ลงชามและส่งให้จ้าวจื่อซิน “รอให้ผ่าน่เวลานี้ไปก่อน แล้วค่อยจัดการกับกิจการ”
สินสอดทองหมั้นของนางประกอบด้วยร้านอาหารสองแห่ง ร้านขายผ้าสามแห่ง นาข้าวสองแห่ง รวมถึงเรือกสวนอีกหลายที่ อนุหนิงมองว่ากิจการเ่าั้เป็ทรัพย์สินของตัวเองมาเป็เวลาช้านานแล้ว โดยธรรมชาตินางย่อมไม่ทำให้กิจการเสียหายแม้แต่เล็กน้อย รวมทั้งยังพยายามคิดทุกวิถีทางเพื่อทำให้ร้านอาหารและร้านค้าเ่าั้ได้กำไรให้มากที่สุด ด้วยสาเหตุดังกล่าว มู่หรงฉิงจึงไม่จำเป็ต้องไปสนใจสิ่งเ่าั้ สำหรับสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ คือการรอพี่ชายใหญ่กลับมาอย่างปลอดภัย และจัดการกับทุกอย่างที่อยู่ในมือก่อนที่จะไปคิดถึงกิจการเ่าั้
จ้าวจื่อซินเหลือบมองมู่หรงฉิงอย่างประหลาดใจเนื่องจากนางมีท่าทีสุขุมั้แ่อายุยังน้อย หากเปลี่ยนเป็คนอื่น เกรงว่าอาจจะออกอาการกระวนกระวายใจด้วยเื่เล็กน้อยเ่าั้ไปนานแล้ว
หลังจากรับประทานอาหารด้วยความสุข มู่หรงฉิงเดินไปที่ลานกว้างหน้าเรือนและพลิกใบไม้ ในตอนแรกนางไม่ได้สนใจ แต่เมื่อนางพลิกใบหญ้า ชั่วขณะหนึ่งนางถึงกับตกตะลึง นางเห็นใบหญ้าซึ่งแต่เดิมเคยแห้งเหี่ยวทว่าหลังจากโดนแสงอาทิตย์ กลับมีเส้นชีพจรชัดเจนมากมายปรากฏขึ้นตรงกลางใบหญ้าซึ่งคล้ายคลึงกับชีพจรบนข้อมือของคน หากเทียบกับลวดลายเส้นชีพจรสีแดงสดยามที่หญ้าชิงโยวยังมีชีวิต เวลานี้บนใบไม้แห้งกลับปรากฏเส้นคล้ายชีพจรเป็สีดำอมฟ้า ลวดลายคล้ายเส้นชีพจรนั้นดูเหมือนว่าจะมีของเหลวอยู่ภายในซึ่งส่องแสงประหลาดภายใต้แสงแดด
พูดได้หรือไม่ว่า สาเหตุที่จะต้องนำหญ้าชิงโยวมาตากแดด เนื่องจากสาเหตุข้างต้น? เมื่อนึกได้ว่างูหลามั์หลอมละลายไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก นางตั้งสมมติฐานว่า นั่นเป็เพราะว่าใบหญ้ายังไม่ได้ัักับแสงแดด และเส้นบนใบนั้นก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นพวกมันจึงมีผลทำให้กระดูกหลอมละลาย หลังจากใบไม้โดนแสงแดดแล้ว เส้นชีพจรถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลง และผลกระทบอันน่าสะพรึงกลัวของการหลอมละลายกระดูกพลอยหายไปด้วย ส่วนสิ่งที่เหลืออยู่เป็เพียงผลลัพธ์ของการช่วยชีวิต
ความคิดนั้นทำให้มู่หรงฉิงหวั่นกลัวอยู่พักหนึ่ง ตอนแรกนางเห็นว่าใบไม้แห้งแล้วจึงคิดที่จะให้เฉินเทียนหยูได้ลองกินหนึ่งชิ้นก่อน แต่โชคดีที่นางไม่ได้ให้เฉินเทียนหยูกิน ไม่เช่นนั้นย่อมไม่มีเฉินเทียนหยูในโลกนี้แล้ว
เรียกจ้าวจื่อซินเพื่อหากระด้งอีกสองสามใบโดยแยกใบไม้ในกระด้ง เพื่อให้แน่ใจว่า ใบไม้แต่ละใบนั้นโดนแดดอย่างทั่วถึง เฉินเทียนหยูและทั้งสามยืนอยู่ใต้ต้นไม้ คอยเฝ้าดูมู่หรงฉิงเหงื่อออกเต็มหน้าผาก และพลิกสิ่งที่ไม่รู้จักกลับไปกลับมาอย่างต่อเนื่อง
มู่หรงฉิงเตือนพวกเขาซ้ำๆ หลายหนว่าอย่าเข้าใกล้ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลต่อชีวิต แม้จ้าวจื่อซินจะสงสัยความจริงเท็จในคำกล่าวนั้น ทว่าเขาก็ไม่ได้ทำให้มู่หรงฉิงผิดหวัง เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้อย่างซื่อสัตย์ และมองดูนางมีเหงื่อซึมคล้ายหยาดฝน จ้าวจื่อซินไม่ได้เข้าไปก่อกวน แต่เฉินเทียนหยูไม่สนใจ เขาวิ่งปรี่เข้าไป มู่หรงฉิงกลัวว่า ใบหญ้าชิงโยวที่ยังไม่แห้งจะเป็อันตรายต่อเฉินเทียนหยู ดังนั้นนางจึงชี้นิ้วมือไปที่นกซึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้กำลังพักผ่อนและเพลิดเพลินกับความเย็นสบาย พลางพูดกับเฉินเทียนหยูว่า “ถ้าท่านพี่ไม่เชื่อ ท่านพี่ก็จับนกมาลองดูได้”