ระหว่างทางกลับบ้าน เจิ้งหยวนลอบเข้าไปหยิบเต้าหู้ก้อนหนึ่งออกมาจากมิติ วันนี้เธอตั้งใจจะทำปลาไหลตุ๋นเต้าหู้ให้ทุกคนได้ลองชิมกัน
หลังจากเข้าบ้านมา เฉินชุ่ยอวิ๋นพลันเหลือบไปเห็นชามกระเบื้องใส่เต้าหู้ในมือเจิ้งหยวนอย่างพอดิบพอดี โชคดีที่เจิ้งหยวนมีไหวพริบ เธอเอ่ยโดยไม่รอให้มารดาถามแต่อย่างใด “นี่อาสามให้มาน่ะค่ะ” ยุคสมัยนี้ต้องมีคูปองเต้าหู้ถึงจะซื้อเต้าหู้ได้ บ้านอาสามมีไม่เคยขาดมือ แต่จุดประสงค์หลักที่เจิ้งหยวนโยงไปถึงอาสามคราวนี้ก็เพื่อปิดบังที่มาของเต้าหู้เท่านั้น
เฉินชุ่ยอวิ๋นหรี่ตาลง แล้วเอ่ยถามด้วยความเคลือบแคลง “จริงเหรอ?”
เจิ้งหยวนทำหน้าจริงแท้แน่นอน “จริงอยู่แล้ว เต้าหู้บ้านอาสามมีเยอะจนกินไม่หมด เลยให้ฉันมาก้อนหนึ่ง”
ครั้นเฉินชุ่ยอวิ๋นมองบุตรสาวอย่างแน่ชัดแล้วจึงค่อยคลี่ยิ้มแช่มชื่น สีหน้าที่ห่อเหี่ยวตลอดก่อนหน้านี้พลันดูดีขึ้นมาทันตาเห็น ถึงกระนั้น ก็ยังไม่วายแค่นเสียงเอ่ยว่า “ดีที่อย่างน้อยเขาก็ยังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง!”
เฉินชุ่ยอวิ๋นหันหลังกลับเข้าห้องไป เมื่อเห็นหลังของผู้เป็แม่พ้นสายตาไปแล้ว เจิ้งหยวนจึงยกมือขึ้นลูบจมูกเบาๆ พลางผ่อนลมหายใจยาวเหยียด เพียงแค่คุณแม่เธอดีใจก็มากพอแล้ว
ผ่าน่ที่รีบเก็บเกี่ยวและหว่านเมล็ดไปแล้ว ตอนนี้งานในท้องนาจึงว่างลงไปโดยปริยาย เหล่าชาวบ้านเลยสบายกายกันชั่วคราว ฝั่งโรงเรียนก็เปิดภาคการศึกษาแล้ว เจิ้งเจวียนกับเจิ้งเทียนเลี่ยงออกไปเรียนหนังสือกันั้แ่เช้า กลุ่มเย็บปักก็เริ่มกลับมาทำงานใหม่อีกครั้ง เฝิงิเยว่เลยเข้าตำบลด้วย ส่วนเจิ้งเทียนิตามเจิ้งเฉวียนกังผู้เป็พ่อไปยังสำนักงานกอง วันนี้ต้องจัดสรรปันส่วนฟืนกัน ซึ่งก็คือพวกฟางข้าวของข้าวสาลีที่แห้งสนิทแล้วติดไฟง่ายนั่นแหละ ที่บ้านจึงเหลือเพียงเจิ้งหยวน เฉินชุ่ยอวิ๋น และเด็กเล็กอีกสองคนเพียงเท่านั้น
เจิ้งหยวนไปทำอาหารที่ห้องครัว ส่วนเฉินชุ่ยอวิ๋นซักผ้าอยู่ตรงลานบ้าน
ย่างเข้าสู่เที่ยงวัน อยู่ๆ ที่บ้านก็มีแขกมาเยือนกะทันหัน
“ชุ่ยอวิ๋น ชุ่ยอวิ๋นอยู่บ้านไหม?”
“อยู่ๆ อ้าว พี่สะใภ้หลี่ไม่ใช่เหรอนั่น หยวนหยวน หยวนหยวน? รีบออกมาเร็ว แม่สามีแกมาหา!”
เจิ้งหยวนที่กำลังจะเติมเชื้อเพลิงใส่ใต้หม้อ มือพลันชะงักค้าง คุณแม่ของเฝิงเจี้ยนเหวินมาหรือ? เธอมาทำอะไรกัน? ถอนหมั้นหรือ? หรือมาขอคำชี้แจงจากสกุลเจิ้งเกี่ยวกับข่าวลือก่อนหน้านี้? ไม่ถึงหนึ่งวินาทีก็มีความคิดห้าหกอย่างผุดขึ้นในหัวเจิ้งหยวน เธอยัดฟืนเข้าใต้หม้อและลุกพรวดเดินไปยังหน้าประตูครัวทันที
กลางลานบ้าน เฉินชุ่ยอวิ๋นเช็ดมือกับกางเกงครั้งสองครั้งแล้วพูดว่า “เข้าไปนั่งในบ้านกันเถอะค่ะ หยวนหยวน ไปรินชาร้อนมาสิ”
เฉินชุ่ยอวิ๋นดูประหม่า เจิ้งหยวนรู้ดีว่าทำไมแม่ของเธอถึงประหม่าเพียงนี้ เธอจึงรีบนำชาร้อนไปส่งให้ที่ห้องโถง อันที่จริง ก็อยากฟังว่าพวกเขาพูดอะไรกันด้วย
ในตัวบ้านร่มเย็นกว่าลานบ้านข้างนอกค่อนข้างมาก เจิ้งหยวนยกถ้วยชาเข้ามา จึงได้ยินหลี่จินจือถามพอดีว่า “ชุ่ยอวิ๋นเอ๋ย เธอบอกฉันมาตามตรงดีกว่า ข่าวลือพวกนั้นในหมู่บ้านพวกนั้นตกลงเป็ความจริงหรือเปล่า?”
เธอจับมือของเฉินชุ่ยอวิ๋นไว้แน่น คิ้วขมวดเข้าหากันเป็ปม ปลายหางตาพลันกวาดไปเห็นเจิ้งหยวนเดินเข้ามาพอดี เลยเบนสายตามาที่เจิ้งหยวนแทน
เจิ้งหยวนวางถ้วยชาลงบนโต๊ะข้างกายหลี่จินจือ แล้วจึงค่อยลอบสังเกตหลี่จินจือ เจิ้งหยวนเกือบลืมใบหน้าแม่สามีผู้ที่ไม่มีวาสนาต่อกันในชาติก่อนไปแล้วว่าเป็อย่างไร เมื่อก่อนพวกเขาสองครอบครัวไปมาหาสู่ ทั้งยังคอยส่งของขวัญอวยพร่ฉลองตรุษจีนทุกปี ตัวเธอเองยังเคยได้รับอั่งเปาจากหลี่จินจือหลายครั้ง แต่หลังจากเจิ้งหยวนหนีออกจากบ้าน คล้ายวาสนาสิ้นสุดลง เพราะเธอไม่เคยพบกับอีกฝ่ายอีกเลย
หลี่จินจือสวมเสื้อยืดสีเรียบที่ซักจนซีดจาง ทว่าสะอาดสะอ้านเป็ระเบียบเรียบร้อย ไม่มีรอยปะชุนบนเสื้อผ้า มองแวบเดียวก็รู้ว่าชีวิตความเป็อยู่ไม่เลว เธอมีดวงตาสองชั้นหลบใน สันจมูกมีโหนกนูนเล็กน้อย ผิวพรรณค่อนข้างคล้ำ ซึ่งถือเป็เื่ปกติ เพราะเพิ่งผ่าน่เก็บเกี่ยวหน้าร้อนมา ตราบใดที่ไม่ใช่คนตากแดดแล้วไม่ดำก็ล้วนแต่คล้ำขึ้นกันทั้งนั้น คนเราเมื่อหน้าหมองจะดูแก่ลง ซ้ำร้ายเธอยังมีผมขาวแซม มองด้วยตาเปล่าเช่นนี้ เธอดูอายุมากกว่าเฉินชุ่ยอวิ๋นสักยี่สิบกว่าปี มีลักษณะเหมือนแม่สามีในชนบททั่วไป
แต่ทว่าพอลองคิดดูดีๆ แล้ว เฝิงเจี้ยนเหวินก็ยี่สิบห้าปีแล้ว ก่อนหน้าเขายังมีพี่ชายอีกสามคน ดังนั้น หลี่จินจือย่อมอายุไม่น้อยอยู่แล้ว
หากเจิ้งหยวนไม่รู้จักเธอ คงเรียกเธอยามอยู่ข้างนอกว่าคุณยายอย่างสุภาพแน่นอน แต่เมื่อรู้ว่าเธอเป็คุณแม่แท้ๆ ของสามีในอนาคต จึงเรียกเธอว่า “คุณป้าคะ”
ดวงตาสองข้างของหลี่จินจือจดจ้องบนใบหน้าเจิ้งหยวน เมื่อก่อนเธอเคยชมชอบรูปโฉมของเด็กสาวคนนี้มากขนาดไหน แต่กลับกลายเป็ว่าปัจจุบันก็ไม่ชอบมากเท่านั้น รูปร่างหน้าตาเหมือนคนเ้าชู้หลายใจไม่มีผิดเลย! ตอนนี้เธอค่อนข้างกังวลพอสมควร หากแต่งงานกันจริงๆ แล้วต่อไปลูกชายกลับเข้ากองทัพ เหลือภรรยางดงามปานหยกบุปผาเช่นนี้อยู่ในบ้าน เธอจะไม่สวมหมวกเขียวให้เขาใช่ไหม? นี่ยังไม่ทันแต่งงานชื่อเสียงเรียงนามก็ฉาวโฉ่แบบนี้แล้ว ว่ากันว่าแมลงวันย่อมไม่ตอมไข่ที่ไร้ช่อ [1] หากเธอซื่อตรงจริงๆ ญาติผู้พี่คนนั้นจะเหยียบย่ำเธอข้างนอกหรือ? พวกเธอเป็ครอบครัวเดียวกันนะ!
หลี่จินจือได้แต่กังขาอยู่ในใจ ความจริงเธอค่อนข้างเอนเอียงไปทางคำพูดของเจิ้งสยามากกว่า
“เจิ้งหยวนเอ๋ย เธอบอกความจริงป้ามาเถอะ เธอไม่อยากแต่งงานกับเฝิงเจี้ยนเหวินของพวกเราเลยหาคนรักใหม่ในเมืองเหรอ?”
“คุณป้าคะ” เจิ้งหยวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทันใดนั้นจิติญญาของราชินีภาพยนตร์ก็ประทับร่างทันที เธอกัดริมฝีปากล่าง แสร้งตีสีหน้ากล้ำกลืนฝืนทน “พวกเขาลือกันส่งเดชทั้งนั้น ฉันไม่ได้ทำเลย และไม่เคยไม่อยากแต่งกับพี่เจี้ยนเหวินด้วย จริงๆ นะคะ พี่เจี้ยนเหวินยอดเยี่ยมเสียขนาดนั้น ทำไมฉันต้องทิ้งคนดีๆ ไปหาใครที่ไหนก็ไม่รู้ในเมืองอีกล่ะ? คุณป้า ฉันไม่ได้โง่งมนะคะ ถึงตอนเด็กจะยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็อะไร พี่เจี้ยนเหวินก็ไม่ชอบมาเล่นกับฉัน ฉันถึงได้หมางเมินเขา
แต่พอโตขึ้นฉันก็รู้ความแล้ว สี่ล้อรถ มีดหนึ่งเล่ม ธงสีแดงแห่งการปฏิวัติปลิวสะบัดทั้งสองด้าน [2] พี่เจี้ยนเหวินเป็ถึงทหาร หมู่บ้านแถบนี้ไฉนเลยจะมีผู้ชายดีกว่าพี่เจี้ยนเหวินกัน เขาไม่เพียงหน้าตาหมดจดเท่านั้น ยังเป็ทหาร เถรตรงซื่อสัตย์ ประพฤติตนเหมาะสม คนในเมืองนอกจากมีสำมะโนครัว มีอะไรดีกว่าพี่เจี้ยนเหวินบ้าง? อีกอย่างต่อให้มีสำมะโนครัวในเมืองแล้วอย่างไรเล่า เงินเดือนก็ไม่ใช่ว่าจะสูงกว่าพี่เจี้ยนเหวินนี่…” เจิ้งหยวนชมเฝิงเจี้ยนเหวินเป็คุ้งเป็แคว
หลี่จินจือยิ่งฟัง คิ้วยิ่งคลายออกมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเธอลูกชายย่อมดีที่สุดในใต้หล้า เจิ้งหยวนพูดโดนใจเธอเข้าเต็มเปา ใช่ไหมเล่า ลูกชายเธอเป็คนดีมาก หากเป็ดังเช่นข่าวลือจริง เจิ้งหยวนคงสมองกลับถึงทิ้งบุรุษแสนดีอย่างลูกชายเธอไปคบชู้ข้างนอก
“พี่เจี้ยนเหวินดีขนาดนี้ ใครไม่อยากแต่งด้วยบ้าง ญาติผู้พี่ฉัน เจิ้งสยา เธอก็อยากแต่ง ถึงอยากทำลายชื่อเสียงของฉัน เพราะเธอจะได้แต่งเข้าไปแทนค่ะ…”
“คิดว่าตัวเองคู่ควรหรือยังไง!” หลี่จินจือตบโต๊ะดังปังทันทีที่สิ้นเสียงเจิ้งหยวน พร้อมตวาดเสียงดังลั่นด้วยความโกรธ
ครั้นเจิ้งหยวนสร้างอารมณ์ร่วมได้ประมาณหนึ่งแล้ว ดวงตาคู่โตพลันแดงเรื่อ น้ำตาค่อยๆ หยดอาบแก้มนวลลงมา ดูแล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง “คุณป้าคงเชื่อคำพูดของญาติผู้พี่ฉันแล้ว ฉันรู้ดีว่าพี่เจี้ยนเหวินเก่งมาก พวกเธอเลยอิจฉาฉัน!”
“เอ่อ... เธออย่าร้องไห้เลย ฉันไม่เชื่อคำของคนอื่น ฉันแค่... แค่... เฮ้อ…” ยิ่งเธอร้องไห้ หลี่จินจือก็ยิ่งลนลานมากเท่านั้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนนิสัยดื้อรั้นหัวแข็งอย่างเจิ้งหยวนถูกแม่สามีในอนาคตถามจนร้องไห้น้ำตานองหน้าในสองสามประโยค! อันที่จริงเธอเชื่อคำพูดของเจิ้งหยวนแล้ว คิดไปก็ใช่ ลูกชายเธอยอดเยี่ยมขนาดนั้น เด็กสาวคนไหนจะไม่อยากแต่งด้วย!
เจิ้งหยวนสูดน้ำมูก เมื่อทุกอย่างเป็ไปตามแผนเสร็จสรรพก็ถึงเวลาหาทางลงให้หลี่จินจือ “ฉันรู้ว่าคุณป้าเชื่อฉัน แค่มาถามเพื่อยืนยันจะได้เบาใจเท่านั้น ฉันทราบว่าคุณป้าหวังดีกับพี่เจี้ยนเหวินค่ะ”
แน่นอนว่าหลี่จินจือยินยอมเดินลงบันไดที่เจิ้งหยวนยื่นให้โดยไม่รู้ตัว เธอถอนหายใจ “ข่าวลือว่าร้ายมากมายพูดกันให้ว่อนทั่วหมู่บ้าน ฉันไม่รู้ว่าควรเชื่อใครดี ในเมื่อเธอบอกไม่มีเื่แบบนั้น ป้าก็เชื่อเธอ… แต่มีบางอย่างที่ป้าไม่รู้ว่าควรพูดหรือเปล่า” เธอชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาคู่นั้นมองเจิ้งหยวนอย่างลังเล
เจิ้งหยวนจึงรีบเอ่ย “คุณป้าเชิญกล่าวมาได้เลย ฉันฟังอยู่ค่ะ”
“ปลายปีเธอต้องแต่งเข้าบ้านพวกเราแล้ว ก็สงบใจ อยู่สบายๆ ในบ้านเป็ยังไง?”
ความหมายคือให้เธออยู่บ้านเฉยๆ หยุดสร้างข่าวลือไม่พึงประสงค์อีกใช่ไหม? เจิ้งหยวนไม่อาจเก็บความอับอายที่ฉายชัดบนใบหน้าได้อย่างมิดชิด ทว่ายังไม่ทันพูดอะไร เฉินชุ่ยอวิ๋นก็รีบรับปากอย่างร้อนรน “ค่ะ พี่วางใจเถอะ ฉันจะให้เธออยู่บ้านนิ่งๆ สงบเสงี่ยมเอง!”
เชิงอรรถ
[1] แมลงวันย่อมไม่ตอมไข่ที่ไร้ช่อ หมายถึง หากไม่มีข้อบกพร่อง จะไม่มีช่องโหว่ให้คนฉกฉวยเล่นงาน
[2] สี่ล้อรถ มีดหนึ่งเล่ม ธงสีแดงแห่งการปฏิวัติปลิวสะบัดทั้งสองด้าน หมายถึง อาชีพที่ผู้หญิงชอบเลือกมาแต่งงานด้วยในยุคปฏิวัติ “สี่ล้อรถ” หมายถึง คนขับรถ “มีดหนึ่งเล่ม” หมายถึ งพ่อครัว “ธงสีแดงแห่งการปฏิวัติปลิวสะบัดทั้งสองด้าน” หมายถึง ทหารที่ทำการปฏิวัติ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้