"พ่อคะ นิดขอโทษนะ" อนงค์กานต์เอื้อมมือไปแตะแขนกานต์เบา ๆ ขณะที่พาเดินออกจากบ้านหลังนั้นมาไกลพอควรแล้ว
"ขอโทษทำไมลูก ลูกได้แกล้งเชอรี่ตามที่เขากล่าวหารึเปล่า"
อนงค์กานต์รีบส่ายหน้าปฏิเสธ "ถึงนิดจะไม่ได้ทำ แต่ก็เป็เพราะนิดที่ทำให้พ่อแตกหักกับบ้านนั้น นิดขอโทษนะคะ"
กานต์เอื้อมมือไปลูบศีรษะของบุตรสาวก่อนเอ่ยปากอย่างอ่อนโยน "นิดไม่จำเป็ต้องขอโทษหรอกลูก ไม่ใช่ความผิดของนิดเลย เป็ความผิดของพ่อเองต่างหาก ที่พ่อไม่ยอมรับความจริงั้แ่แรก ยังคงเพียรพยายามที่จะเข้าหา เข้าพบ เพื่อหวังว่าวันหนึ่ง คุณปู่ของลูกจะยอมรับว่าพ่อเป็ลูกคนหนึ่งของท่าน" กานต์กลืนก้อนสะอื้นที่คอลงไปอย่างลำบาก ั้แ่จำความได้และรับรู้สถานการณ์ของตัวเอง เขาก็เพียรพยายามมาโดยตลอด ทำตัวดี ตั้งใจเรียน เอาใจใส่ช่วยเหลือคนในบ้านทุกอย่าง เพื่อหวังเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น หวังให้พ่อยอมรับ เรียกเขาว่าลูกสักครั้ง แต่ในที่สุดความพยายามของเขาก็ไม่เกิดผล
"และเป็พ่อเองที่เป็ฝ่ายดึงทั้งแม่และนิดมาเผชิญกับเื่เหล่านี้มาหลายต่อหลายปี ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าเราทั้งสองคนไม่ชอบเลยแม้แต่น้อย พี่ขอโทษนง และพ่อขอโทษนิดด้วยนะลูก"
"พี่พูดอะไรแบบนั้นจ๊ะ เราครอบครัวเดียวกัน เื่ของพี่ก็เป็เื่ของนงด้วย ต่อให้หนักกว่านี้นงก็เต็มใจ"
"นิดก็เต็มใจเหมือนกัน" อนงค์กานต์รีบพูดสนับสนุน
"จริงหรือ ก่อนเข้าไปในบ้านนั้นแม่เห็นนิดทำหน้าซีด ตัวเย็นอยู่เลยนะ" อนงค์เอ่ยกระเซ้าลูกสาว เพื่อหวังเปลี่ยนบรรยากาศและเปลี่ยนจิตใจที่หดหู่ของสามีให้ดีขึ้น ซึ่งก็ได้ผลทันตา กานต์ได้ฟังก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้เมื่อนึกถึงสภาพของบุตรสาวก่อนหน้านี้
"เต็มใจก็ส่วนเต็มใจ ไม่ชอบก็ส่วนไม่ชอบสิแม่ มันแยกกันได้" อนงค์กานต์อุบอิบแก้ตัว
"เอาล่ะ ต่อไปพ่อจะไม่ยอมให้เกิดเื่ฝืนใจแบบนี้ขึ้นกับเราทั้งสองคนอีกเป็เด็ดขาด" กานต์สัญญาอย่างแม่นมั่น เกิดเื่แบบนี้ก็ดีไปอย่าง อย่างน้อยก็ยังเห็นปลายทางว่าจะเป็อย่างไรต่อไป
"จากนี้ พ่อจะดูแลครอบครัวเล็ก ๆ ของเราอย่างไม่พะวงหน้าหลัง พ่อจะไม่เห็นใครหรือเื่ไหนสำคัญไปกว่าแม่และนิด" สองแม่ลูกถึงกับน้ำตาซึมเมื่อได้ยินประโยคนี้
"พ่อจะทำให้ครอบครัวของเราแวดล้อมไปด้วยความรักและความเข้าใจ และมีความสุขมากขึ้นทุกวัน"
"ต้องเป็ครอบครัวที่มีเงินด้วย!" อนงค์กานต์ทะลุออกมากลางปล้อง ทำเอากานต์และอนงค์หัวเราะออกมาเสียงดัง
"ต้องเป็ครอบครัวที่มีเงินเยอะ ๆ ด้วย พ่อให้สัญญา แต่ตอนนี้เราไปหาอะไรกินกันก่อน แล้วมาช่วยกันคิดว่านามสกุลใหม่ของเราจะใช้อะไรดี เปิดทำการวันแรกพ่อจะไปเปลี่ยนที่อำเภอทันที" จากนั้นทั้งสามคนก็พูดคุยและถกกันอย่างออกรสตลอดทางที่ไปกินข้าวและขับรถกลับบ้าน หัวข้อก็ไม่พ้นเื่นามสกุลใหม่ของพวกเขา ซึ่งพูดคุยกันอยู่หลายวันถึงได้ข้อยุติ
วันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2529 มีเื่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตของอนงค์กานต์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชาติที่แล้ว นั่นคือ เธอเปลี่ยนมาใช้นามสกุลใหม่ ั้แ่วันนี้ไปเธอมีชื่อและนามสกุลใหม่ว่า อนงค์กานต์ รักนิเวศน์
ทั้งครอบครัวได้พูดคุยเื่นามสกุลใหม่นี้อยู่หลายวัน กานต์อยากให้มีคำว่าบ้านอยู่ในนามสกุล คิดกันอยู่หลายตลบ กานต์ที่คุ้นเคยกับคำไทยมากกว่าสองแม่ลูกเพราะตนเองสอนภาษาไทยอยู่แล้ว ก็นั่งพลิกพจนานุกรมดูจนสะดุดใจกับคำว่า นิเวศน์ ที่แปลว่าบ้าน จึงเขียนคำนี้มาให้ทั้งสองแม่ลูกดู ซึ่งทั้งสองชอบมาก
แต่จะมีแค่นิเวศน์ ก็ดูจะห้วนไป อนงค์กานต์จึงเสนอให้ใส่คำว่ารักไปข้างหน้า แปลแบบเข้าใจกันเองง่ายๆ ว่า เป็บ้านที่ประกอบไปด้วยความรัก สองสามีภรรยาต่างเห็นชอบ รักนิเวศน์ จึงเป็นามสกุลใหม่ของพวกเขานับั้แ่นั้นมา
