เพียงไม่กี่ก้าว หลิงเซียวก็เดินไปอยู่ไม่ไกลจากพวกซิงสืออี
หากว่าตอนนี้เขามีพัดสักเล่มอยู่ในมือ แล้วสะบัดออก คาดว่าคงงดงามราวกับคุณชายรูปโฉมสง่าเป็แน่ เสียดายที่ไม่มี มีเพียงจิตใจที่พร้อมสังหารคนปิดปาก
“ถือว่าพวกเ้าดวงดีนัก!” หลิงเซียวมองพวกเขาแล้วเอ่ยหน้ายิ้มแย้ม
คำพูดนี้มีที่มา เวลาเขาฆ่าคนมักเลือกใช้วิธีที่ต่างกันไป คนที่ถูกเขาฆ่าบางคราก็หัวขาด ขาขาดไปบ้าง หรือบางคราก็สมองผ่าออกสองซีก เหมือนคราวก่อนที่ทุ่งกว้าง แต่ว่านั่นเป็เพราะไม่ค่อยได้ลงมือเลยรุนแรงไปหน่อย
ทว่าสำหรับเขา ไม่มีรุนแรงที่สุด มีเพียงรุนแรงยิ่งกว่า!
ภาพนองเืที่แท้จริงเขายังไม่เคยทำมาก่อน แต่ครั้งนี้เขาเห็นใจโหยวเสี่ยวโม่จริงๆ ดังนั้นจึงตั้งใจจะไม่ทำให้เืสาดมากจนเกินไป ฝืนยอมเหลือศพเต็มตัวไว้ให้พวกเขาก็ได้
“พวกข้าดวงดีจริง แต่เ้ากลับดวงซวยถนัด เพราะเ้ากำลังจะตาย”
ซิงสืออีสะบัดดาบใหม่ทีหนึ่ง สายตาโเี้จ้องเขา แต่ในใจกลับรู้สึกถึงความไม่ชอบกลบางอย่าง
ความรู้สึกนี้เขาไม่เคยมีมาก่อน เพียงแค่เผชิญหน้ากับคนที่มีพลังชั้นดวงดาวสองดาว กลับมีความรู้สึกประหม่าแบบนี้ ซิงสืออีรู้สึกว่าตัวเองคงดีใจเกินเหตุไปหน่อย ดังนั้นจึงก่อเกิดความรู้สึกแบบนี้ ขอเพียงฆ่าหลินเซียวก็คงจบเื่
“ซิงสืออี ยังยืนอยู่ทำไม ลงมือเร็ว!”
ตอนนี้เอง คนชุดดำด้านหลังจู่ๆ ก็เอ่ยเสียงต่ำออกมา น้ำเสียงมีความใจร้อน
ซิงสืออีขมวดคิ้ว พลังปราณทั่วร่างเริ่มเคลื่อนตัว ทันใดนั้น ร่างเขาก็หายไป ไม่ถึงวินาที ร่างเขาก็ปรากฏต่อหน้าหลิงเซียว ดาบใหญ่ในมือยังมีเืเปื้อนอยู่ พลังนั้นทำให้คนรู้สึกใจสั่นผวา เงื้อมดาบขึ้นฟาดลงมายังหัวหลิงเซียว
พลังของเขาคือดวงดาวเจ็ดดาว เหนือกว่า ‘หลินเซียว’ ถึงห้าดาว ระยะห่างขั้นนี้ เขาเชื่อว่า ‘หลินเซียว’ ไม่มีทางตั้งรับได้แน่ ดังนั้นเขาหวังเอาชีวิต ‘หลินเซียว’ แน่
เมื่อดาบใหญ่ฟันโดนตัว ‘หลินเซียว’ ใบหน้าดีใจพึ่งเผยออกมาได้เสี้ยวเดียว ‘หลินเซียว’ ก็หายตัวไป เงาแยกหรอกหรือ?
ซิงสืออีสีหน้าเปลี่ยนทันใด ยังไม่ทันที่เขาจะเปลี่ยนท่วงท่า ก็มีฝ่ามือหนึ่งวางตรงหน้าอกเขา ฝ่ามือปล่อยเปลวไฟสว่างวาบพริบตาก็หายไป ซิงสืออีตาเบิกโพลง ท่าทางเหมือนถูกสะกดเอาไว้และไม่รู้สึกตัวอีกเลย
เมื่อร่างหลิงเซียวปรากฏออกมา ชักมือที่อยู่บนหน้าอกเขากลับมา ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขาทีหนึ่ง ร่างซิงสืออีก็ล้มตึงหงายไปด้านหลัง
คนอื่นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซิงสืออีพ่ายแพ้แล้ว
คนที่พลังต่ำนั้นย่อมดูไม่ออก แต่คนชุดดำทั้งห้ารู้แล้วว่า ซิงสืออีตายแล้ว
พลังของเขาเริ่มแรกนั้นแข็งแกร่งก็จริง แต่ไม่รู้ว่า ‘หลินเซียว’ ทำอะไร พริบตาเดียวพลังซิงสืออีก็อ่อนลง ท้ายสุดพลังชีวิตก็ดับไป
หัวหน้าคนชุดดำ ภายใต้ผ้าคลุมดำนั้นใบหน้าตกตะลึงจนไม่อาจตะลึงมากไปกว่านี้ได้อีก
‘หลินเซียว’ พลังของเขาต่างกับที่ได้รับข้อมูลมาอย่างสิ้นเชิง ในข้อมูลนั้นบอกไว้เพียงว่า ‘หลินเซียว’ มีพลังชั้นดวงดาวสองดาว แต่ทำไมเขาถึงฆ่าคนที่มีพลังดวงดาวเจ็ดดาวได้ในชั่วพริบตา? ชัดเจนว่า ‘หลินเซียว’ ไม่ได้มีพลังแค่ชั้นดวงดาวสองดาวแน่ ทุกคนถูกหลอกแล้ว
คนชุดดำนึกย้อนไปถึงคำพูดที่หลิงเซียวพูดเมื่อครู่ ความลับที่ถูกล่วงรู้? หรือจะเป็เื่พลังที่แท้จริงของเขา?
แต่ก็ไม่น่าใช่ ‘หลินเซียว’ ก่อนหน้านี้ไม่ได้แสดงฝีมือ พวกเขาก็ไม่รู้ถึงพลังที่แท้จริงของเขาอยู่แล้ว หรือบางที ที่เขามาอยู่ที่นี่เป็เพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง แล้วกลัวพวกเขาจะบอกออกไป จึงต้องฆ่าปิดปาก?
คนชุดดำยังไงก็คาดเดาความคิดของหลิงเซียวไม่ออก
แน่นอนว่า เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาคิดมาทั้งหมดไม่ถูกสักอย่าง มีเพียงคำว่าฆ่าปิดปากที่ถูกแค่สามคำ
แต่ที่เขาคิดไม่ตกคือ แดน์วิมานมีขีดเส้นพลัง จากพลังที่เขาฆ่าซิงสืออี ไม่น่าต่ำกว่าชั้นดวงดาว พลังเช่นนี้ ทำไมถึงเข้าแดน์วิมานมาได้?
เพราะคิดไม่ออก ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่หนีก่อน เพราะพลังของเขาก็เท่ากับซิงสืออี ล้วนเป็พลังชั้นดวงดาวเจ็ดดาว ขนาดซิงสืออียังตายได้ เขาก็คงไม่ต่างกัน
“ไป!” คนชุดดำเปล่งเสียงอย่างไว จากนั้นถอยหนีอย่างรวดเร็ว
คนชุดดำอีกสี่คนก็คิดเหมือนเขา ในเมื่อสู้ ‘หลินเซียว’ ไม่ไหว ถ้าอย่างนั้นต้องถอยหนีก่อน วันหลังค่อยหาโอกาสรับมือกับ ‘หลินเซียว’
ส่วนศิษย์พรรคซิงหลัว พวกเขาเห็นซิงสืออีถูกฆ่า ต่างยืนตะลึงงันอยู่กับที่ จนได้ยินเสียงคนชุดดำบอกให้หนี พวกเขาถึงได้สติ รีบหนีกันอลหม่านไปคนละทิศ
หลิงเซียวเห็นพวกเขาหนีอย่างสุดฝีเท้า ก็ไม่ได้ตามไปทันที แต่กลับยืนกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างเ้าเล่ห์อยู่ที่เดิม หากเขาไม่ได้เตรียมแผนไว้ก่อน แล้วจะเผยตัวตนต่อหน้าผู้คนได้ยังไงกัน? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง!
ไม่ถึงสิบนาที คนชุดดำและศิษย์พรรคซิงหลัวที่ไร้เดียงสาก็วิ่งวนกลับมาที่เดิม เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายนั้นก็หลุดสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด วิ่งหนีอยู่ครึ่งค่อนวัน วนกลับมาอยู่ที่เดิมเสียนี่?
คนชุดดำนั้นเงยหัวขึ้น เห็นหลิงเซียวที่ยืนไม่ห่างจากพวกเขานัก กำลังยิ้มร่ามองพวกเขาอยู่
อีกฝ่ายรู้ว่าแต่แรกแล้วว่าพวกเขาต้องกลับมา จึงรออยู่ที่เดิมไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว
ลักษณะนี้เป็เขตอาคมแน่นอน มีเพียงเขตอาคมที่ส่งผลลัพธ์ขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่า ‘หลินเซียว’ ร่ายเขตอาคม ณ ที่แห่งนี้ไว้แต่แรกแล้ว แต่เขาทำได้เช่นไรกัน?
ความฉงนสงสัยมากมายหลั่งไหลมา ทันใดคนชุดดำก็นึกบางอย่างได้ เบิกตากว้าง เอ่ยอย่างร้อนรน “อย่างนี้นี่เอง เ้าไม่ใช่หลินเซียวตัวจริง!” นี่สินะคือความลับจริงๆ ที่เขาพูดถึง
หลิงเซียวยักไหล่อย่างขอไปที หัวเราะแล้วเอ่ย “ถูกมองทะลุปรุโปร่งจนได้ คงไม่มีทางอื่น ตอนนี้แกล้งทำเป็ไม่เห็นพวกเ้าไม่ได้เสียแล้ว”
คนหนึ่งแม้เป็ยอดคนขนาดไหน ก็ไม่มีทางใช้เวลาแค่สามสิบปีฝึกฝนจากมนุษย์ธรรมทั่วไปจนกลายเป็จอมยุทธ์ที่เก่งกาจไร้เทียมทานเช่นนี้ได้แน่ ผนวกกับข้อมูลที่ได้รับมาไม่ตรง เพียงพอที่จะรู้ได้ว่าเขาไม่ใช่หลินเซียวตัวจริง
คิดถึงจุดนี้ คนชุดดำก็ตัวสั่นเทิ้ม
สามารถเลี่ยงการจำกัดพลังของแดน์วิมานเข้ามาได้ หากไม่ใช่เพราะมีหนทางพิเศษสักอย่าง ก็คงเพราะมีพลังเหนือชั้นกว่าเ้าของแดน์วิมาน
“พวกเ้าดวงไม่ดีจริงๆ ในเมื่อล่วงรู้ความลับของข้าแล้ว ถ้างั้นวันนี้ พวกเ้าก็ต้องรายงานมันตรงนี้!” หลิงเซียวเอ่ยน้ำเสียงเยือกเย็น วินาทีถัดมาก็หัวเราะขึ้น “แต่พวกเ้าวางใจได้ ข้าไม่เอาเื่ที่พรรคซิงหลัวกับเผ่าปีศาจสมคบคิดกันไปบอกใครแน่ ดังนั้น...พวกเ้าจงตายอย่างวางใจซะเถอะ!”
แม้หลิงเซียวจะพินิจถึงโหยวเสี่ยวโม่ ดังนั้นจึงเก็บศพเต็มตัวไว้ให้พวกเขา แต่พอเห็นสภาพศพบนพื้นแล้ว ก็รู้สึกกินอะไรไม่ลงทีเดียว แต่โหยวเสี่ยวโม่คงไม่มีอะไรให้อาเจียนออกมาแล้ว
โหยวเสี่ยวโม่อึดอัดใจจนรีบหันหน้าหนี ไม่หันไปมองหลิงเซียวที่ยืนยิ้มร่าอยู่ท่ามกลางศพพวกนั้น
เขาพบว่า ที่หลิงเซียวพูดมาจะเป็จริง สักวันเขาคงจะชินกับการเห็นคนตายจริงๆ
หากว่าหลิงเซียวยังคงฆ่าคนต่อหน้าเขาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ละก็นะ
“ศิษย์น้องเล็ก เป็อย่างไร ชินรึยัง?” หลิงเซียวเดินมาทางนี้ พาเขาลงจากเถาวัลย์ ใช้แขนเสื้อช่วยเขาเช็ดปากอย่างไม่รังเกียจ
เขาไม่อยากชินกับเื่แบบนี้จริงๆ บ้าเอ๊ย รสนิยมรุนแรงเกินไปแล้ว?
โหยวเสี่ยวโม่ยังคงหน้าบึ้งตึง จากนั้นชำเลืองมองเขาอย่างกระสับกระส่าย ที่จริงเขาชอบอะไรที่มันสดใส จริงๆ นะ!
เพราะโหยวเสี่ยวโม่รู้สึกว่าศพเต็มพื้นน่าสยองเกินไป ไม่ยอมลงมา หลิงเซียวจึงต้องจัดการปลดถุงเก็บของของคนชุดดำกับศิษย์พรรคซิงหลัวมาให้เองกับมือ
แต่มีถุงเก็บของสองอันที่เขาทำขาดโดยไม่ตั้งใจตอนฆ่าพวกเขา ของในนั้นหล่นออกมา เปื้อนเืเสียส่วนใหญ่ ดีที่ไม่ใช่ของอะไรที่ใช้ได้ หลิงเซียวก็ไม่ได้เก็บขึ้นมา ท้ายที่สุดเขาเก็บถุงเก็บของมาได้ทั้งหมดสิบห้าถุง ห้าอันเป็ของคนชุดดำ
พูดถึงเื่บังเอิญ ที่พรรคซิงหลัวกับคนชุดดำมาปรากฏตัวที่นี่ก็เพราะหญ้าเจ็ดดาว แต่จุดประสงค์หลักของพวกเขาคือ แมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นที่อยู่ละแวกใกล้กับหญ้าเจ็ดดาวต่างหาก
คนที่เคยอ่านตำรามาล้วนรู้ดี ที่ใดมีหญ้าเจ็ดดาวย่อมต้องมีแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่น แต่ที่ที่มีแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นไม่ได้แปลว่าจะมีหญ้าเจ็ดดาว
แต่ตอนที่พวกเขาหาหญ้าเจ็ดดาวเจอนั้น แมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นสองตัวนั้นก็คลุกคลีอยู่บนกองหญ้าเจ็ดดาว กำลังกินอาหารอย่างสำราญใจ รอจนพวกมันกินอิ่มก็พุงโย้จนกลิ้งได้ทีเดียว
แต่ว่า แมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นที่อยู่ในดงหญ้าเจ็ดดาว ไม่ได้มีเพียงคู่นั้นของเขา ยังมีอีกมากมายละแวกนั้น เพียงแต่ไม่ได้ปรากฏตัวออกมา โหยวเสี่ยวโม่ทำสัญญาใจกับพวกมันแล้ว เดินไปจึงรู้ว่าเป็คู่ไหน
เมื่อเก็บแมลงทั้งคู่เข้าห้วงมิติแล้ว โหยวเสี่ยวโม่ก็เริ่มขุดหญ้าเจ็ดดาว
สัตว์ปีศาจที่คุ้มกันหญ้าเจ็ดดาวก็คือแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่น แต่เขาเองก็มีอยู่คู่หนึ่ง ดังนั้นแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นที่เหลือจึงไม่โจมตีเขา
สัตว์สายพันธุ์เดียวกันนั้นอ่อนไหวต่อกัน อีกทั้งสัตว์ปีศาจขั้นหกก็เปิดปราณปัญญาแล้วด้วย
หญ้าเจ็ดดาวที่ถูกปลูกไว้ที่นี่ทั้งหมดมีอายุหลายปีแล้ว ส่วนใหญ่ใกล้สุกเต็มที่แล้ว คนทั่วไปนั้นคงเก็บที่มันพร้อมใช้งานได้ แต่โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาขุดเพียงสิบต้นที่สุกงอม แล้วเก็บเมล็ดร้อยกว่าเม็ดที่ตกอยู่ เขาดวงดีใช้ได้ เพราะเมล็ดพวกนี้พึ่งหล่นลงมาไม่นาน ดังนั้นมีไม่น้อยที่เป็เมล็ดดี
แต่เขาไม่ได้เอามากมาย เพราะแมลงเจ็ดดาวของเขาก็ต้องกินหญ้าเจ็ดดาว
อีกหน่อยหากหญ้าเจ็ดดาวถูกแมลงพวกนี้กินจนหมด เมล็ดที่หล่นอยู่ก็จะงอกเงยขึ้นมาแทนที่หญ้าเจ็ดดาวที่ถูกกินไป
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว ดังนั้นจึงเก็บมาแค่ร้อยกว่าเม็ด
“ศิษย์พี่หลิง ท่านว่าทำไมพรรคซิงหลัวกับเผ่าปีศาจถึงต้องมาจับแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่นด้วยล่ะ?” โหยวเสี่ยวโม่ถามอย่างฉงน
หลิงเซียวพิงอยู่ตรงเถาวัลย์ เอ่ยอย่างเชื่องช้า “ปกติแล้วคนที่จะจับแมลงเจ็ดดาวซ่อนกลิ่น ก็คงเพื่อการแปลงร่างสามหนก่อนกลายเป็แมลงปีกทอง นี่ถึงจะเป็มูลค่าที่แท้จริงของมัน”
โหยวเสี่ยวโม่คิดอยู่ชั่วครู่ “แต่การแปลงร่างสามหนของมันต้องใช้หญ้าเจ็ดดาวจำนวนมาก ทั้งยังไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้ พวกเขาไม่กลัวว่าจะล้มเหลวรึไง?”
“ใครจะไปรู้ว่าพวกเขามีเป้าหมายอะไร!” หลิงเซียวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เลือกเสร็จรึยัง พวกเราต้องไปแล้ว กลิ่นคาวเืที่นี่ ไม่ช้าคงล่อพวกสัตว์ปีศาจและกลุ่มนักฝึกตนมาแน่”
“เสร็จแล้ว” โหยวเสี่ยวโม่พยักหน้า จัดการเก็บเมล็ดไม่กี่เม็ดสุดท้ายเข้าห้วงมิติ
หลิงเซียวเดินไปอุ้มเขาขึ้นมา โหยวเสี่ยวโม่ว่าง่าย เขาถูกอุ้มจนชินแล้ว เป็นักหลอมโอสถ จุดนี้แย่ที่สุด หากข้างกายไม่มีสัตว์ปีศาจ จะออกไปไหนทีก็ลำบาก
ทั้งสองจากไปไม่นาน อย่างที่หลิงเซียวพูด มีสัตว์ปีศาจฝูงหนึ่งตามกลิ่นคาวเืมา ทั้งขั้นต่ำและขั้นกลาง พวกที่ยังไม่ได้เปิดปราณปัญญาก็เริ่มแทะกินศพบนพื้น จนเมื่อพวกนักฝึกตนมาถึง ร่างพวกนั้นก็ถูกกัดแทะจนแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็ใคร รู้เพียงว่าเป็คนของพรรคซิงหลัว
จากเวลาที่นัดเ้าลูกบอลใหญ่นั้นพึ่งผ่านไปแค่ครึ่งเดียว แต่หลิงเซียวก็อุ้มโหยวเสี่ยวโม่ไปยังจุดนัดหมายเรียบร้อย จากนั้นหาจุดพรางตัวที่ดีซ่อนตัว
ขณะที่คนอื่นนั้นแย่งชิงหญ้าเซียนและสัตว์ปีศาจกัน โหยวเสี่ยวโม่กลับแย่งชิงถุงเก็บของของผู้อื่น กำลังซ่อนตัวนับของกับหลิงเซียว
เนื่องจากถุงเก็บของของพรรคซิงหลัวกับสำนักชิงเฉิงมีสัญลักษณ์อยู่ ดังนั้นโหยวเสี่ยวโม่จึงจัดแจงเอาของออกมาก่อน จากนั้นค่อยโยนมันทิ้งไป เพราะอย่างไรเขายังมีห้วงมิติไว้เก็บของได้
ส่วนถุงเก็บของห้าอันของคนชุดดำ จากที่หลิงเซียววิเคราะห์แล้วว่าไม่มีสัญลักษณ์หรือความพิเศษตรงไหน ใช้ได้ตามสบาย แต่…
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ค่อยชอบ ถุงเก็บของเป็ของปีศาจกินคนแบบนั้น เขาไม่สนใจแม้แต่นิด
พรรคซิงหลัวมีศิษย์สิบสองคน แต่มีถุงเก็บของเพียงสิบใบ อีกสองใบถูกหลิงเซียวทำขาดไป ดีที่เป็ของนักฝึกตน แต่ของในถุงเก็บของของคนชุดดำกลับทำให้เขาประหลาดใจ ไม่มีของที่ใช้ประโยชน์ได้ อีกทั้งน้อยจนน่าสงสาร
หลิงเซียวได้ยินเขาบ่น จึงเอ่ยอย่างไม่อาจปฏิเสธ “เผ่าปีศาจและนักฝึกตนนั้นมีวิถีการฝึกฝนต่างกัน กล้ามเนื้อของพวกเขาแข็งแกร่งกว่ามาก ดังนั้นตอนที่ฝึกฝนต้องเน้นฝึกโดยตรงที่กล้ามเนื้อ”
โหยวเสี่ยวโม่ขานรับ “อ้อ” จู่ๆ ก็เห็นของสิ่งหนึ่งในบรรดากองสิ่งของสกปรก เอ่ยถามออกมา “นี่คืออะไร?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้