บรรยากาศในโถงหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออกแทนที่แม่ทัพฉินเทียนหงจะยินดีที่มีผู้เสนอตัวมาเป็บุตรเขยถึงเรือน แต่เมื่อเห็นว่าเป็ ซ่งห้าวหราน ผู้ที่ก้าวลงจากรถม้า ใบหน้าท่านแม่ทัพกลับบิดเบี้ยวด้วยความชิงชังสุดขีดชายหนุ่มผู้นี้แม้รูปงามสง่างาม เกิดมาพร้อมชาติตระกูลสูงส่ง บิดาเป็ถึงอัครเสนาบดีแห่งราชสำนัก หากแต่ชื่อเสียงกลับเหม็นโฉ่ไปทั่วนคร วัยล่วงเลยยี่สิบแปดปี แต่ชีวิตทั้งชีวิตกลับจมปลักอยู่กับโรงสุราและย่านโคมแดง ยามกลางวันมัวเมาสุรา ยามค่ำคืนเสเพลหาความสำราญจากสตรีไม่เลือกหน้า เขาเป็เพียง กุ้ยในคราบผ้าไหม หากไร้อำนาจของบิดาหนุนหลัง ตัวเขาย่อมไม่ต่างอะไรไปจากคนไร้ค่า แม่ทัพฉินเทียนหงข่มโทสะในอก กัดกรามแน่น ก่อนจะเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพ
“คุณชายซ่งห้าวหรานเชิญท่านกลับไปเถิด...บุตรสาวของข้า นางมีบุรุษที่คู่ควรแล้ว”
ทว่าคำปฏิเสธนั้น กลับไม่ทำให้ชายหนุ่มสิ้นหวัง ตรงกันข้ามใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้ม ก่อนหัวเราะเสียงดังสะท้อนห้อง “ฮ่าฮ่า! แม่ทัพ อย่ามาโกหกข้าเลย! บุรุษผู้ใดในนครนี้เล่า ที่ยังกล้าแต่งกับบุตรสาวของท่าน?”
สายตาของซ่งห้าวหรานกวาดไปอย่างหยาบโลน แฝงความหื่นกระหายที่ยากจะปกปิด ริมฝีปากเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงต่ำหยาบช้า “ความร้อนแรงของนาง...ที่เคยร่วมหลับนอนกับบ่าวรับใช้ถึงห้าคน จนตั้งครรภ์ขึ้นมา ข้าชอบนัก ข้าอยากลิ้มรสสิ่งนั้นด้วยตัวเอง...และอยากนางไว้ข้างกาย”
คำพูดนั้นเหมือนหอกแหลมแทงเข้าอกแม่ทัพฉินเทียนหง เสียงหัวเราะเยาะที่ตามมาทำให้สายเืเดือดพล่านแทบปะทุออกมา ซ่งห้าวหรานหันหลังหมุนตัวอย่างถือดี มือสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สนเกียรติผู้ใด ทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“หากท่านหาใครไม่ได้จริง ๆ โปรดนึกถึงข้า...ข้าจะรอรับฟังข่าวดีอยู่ที่เรือน”
เมื่อร่างเขาคล้อยออกไป ความเงียบงันหนักหน่วงก็ปกคลุมทั่วทั้งโถงรับแขก มีเพียงเสียงหอบหายใจแรง ๆ ของแม่ทัพฉินเทียนหงที่ดังก้องราวเสียงพายุโหมในอก ความอับอายและโทสะผสมปนเปกันจนแทบคลุ้มคลั่ง...
“ท่านพี่! ท่านอย่าได้ยกบุตรสาวของเราให้กับบุรุษผู้นี้เป็อันขาด แค่นี้ลูกของเราก็ทุกข์ทนมากเกินพอแล้ว”
เสียงของฮูหยินใหญ่ ซูเสียน สั่นเครือด้วยความกังวล นางเอื้อนเอ่ยทั้งน้ำตา ไม่อาจทนเห็นชะตากรรมอันโหดร้ายของบุตรสาวแม่ทัพฉินเทียนหงหลับตาลง ถอนหายใจยาวอย่างคนสิ้นหนทาง “ข้าก็ไม่อยากให้เื่ถึงเพียงนั้น…” เสียงของเขาหนักอึ้ง แฝงด้วยความเ็ปที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้หมด
หากไม่อาจหาบุรุษที่คู่ควรกับบุตรสาวได้จริง ๆ เพื่อรักษาหน้าตาของตระกูลเอาไว้ การแต่งงาน…ไม่ว่ากับใครก็ตาม ย่อมเป็สิ่งจำเป็ที่สุด เพราะท้องของนาง…นับวันก็ยิ่งใหญ่ขึ้น จนมิอาจปิดบังได้
ไม่นานนัก ซ่งห้าวหราน ก็กลับถึงจวนอัครเสนาบดี ซ่งกวงเหริน ผู้เป็บิดาได้ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“ท่านพ่อ ดูท่าทางแม่ทัพฉินเทียนหง จะไม่เต็มใจยกน้องชิงหร่านให้ข้าเลย” ซ่งห้าวหรานเอ่ยด้วยสีหน้าหงุดหงิด
อัครเสนาบดีไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “เ้าวางใจเถิด…ฉินเทียนหงคนนี้รักศักดิ์ศรียิ่งกว่าสิ่งใด ไม่นานนักมันจะต้องมาขอร้องเราเอง”
ดวงตาคมกริบของบิดาจับจ้องบุตรชาย ก่อนจะกล่าววาจาที่บาดลึกถึงใจ “เดิมทีเ้าไม่คู่ควรกับนางแม้แต่ปลายเล็บ หากไม่ใช่เพราะโชคชะตาเล่นตลกเสียก่อน นางไม่มีทางจะลดตัวมาเกี่ยวข้องกับเ้าได้หรอก”
ซ่งห้าวหรานเม้มปากเงียบ ใบหน้าแม้จะหล่อเหลา แต่ก็ฉายแววความไร้แก่นสารที่ยากจะปกปิดซ่งกวงเหรินหัวเราะในลำคอแ่เบา ดวงตาเต็มไปด้วยการคำนวณ “ถึงแม้นางจะเป็สตรีมีตำหนิไปแล้วก็ตาม แต่รูปโฉมของนางก็มิได้เลวร้าย ทั้งพร์ด้านปราณก็โดดเด่น หากได้ นางย่อมสามารถให้กำเนิดทายาทผู้มากพร์แก่เ้าได้อย่างไม่ยากเย็น”
แม้ว่าซ่งกวงเหรินจะกุมอำนาจบารมีล้นฟ้า แต่เขาก็รู้ดีว่าด้วยนิสัยเสเพลของบุตรชาย ต่อให้ตระกูลใหญ่ในราชสำนักสักตระกูลเดียวก็คงไม่เต็มใจยกลูกสาวให้ ถึงแม้อายุจะย่างเข้า 28 ปีแล้ว ซ่งห้าวหรานกลับยังไร้คู่ครองแต่คราวนี้...ฟ้าดินกลับเป็ใจ
ซ่งกวงเหรินวางสายลับแฝงตัวไว้ทั่วทุกเรือนขุนนาง เมื่อได้ข่าวว่าฉินชิงหร่านพลาดพลั้งเพราะ โอสถมารราคะ และถูกบ่าวรับใช้รวมทั้งคนเลี้ยงม้าล่วงเกินจนตั้งครรภ์ เขาก็ฉวยโอกาสทันที โดยเป็ผู้ลอบแพร่ข่าวเสื่อมเสียนี้ออกไปเองเพราะเขารู้ดีว่าข่าวลือนี้จะทำลายเกียรติของสตรีผู้สูงศักดิ์ จนไม่มีบุรุษใดกล้าเอื้อมมือแตะต้อง เว้นเสียแต่บุตรชายผู้ไร้ความสามารถของตน…ที่จะได้โอกาสก้าวเข้ามาในที่สุด
เวลาล่วงเลยไปอีกเดือน หน้าท้องของฉินชิงหร่านนูนเด่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทุกย่างก้าวของนางเสมือนการตอกย้ำตราบาปที่ปิดบังไม่มิด ยิ่งท้องนางใหญ่ขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งบีบคั้นให้แม่ทัพฉินเทียนหงจมอยู่ในความอับอายจนแทบหายใจไม่ออก
เขาพยายามแล้วพยายามสรรหาคู่ครองที่คู่ควรที่สุดเพื่อกอบกู้เกียรติของตระกูล แต่ไม่ว่าตระกูลใดก็ล้วนถอยห่าง ไม่มีผู้ใดปรารถนาจะยื่นมือมาเกี่ยวดองกับสตรีที่แบกอัปยศเช่นนี้ สุดท้าย เมื่อเลือกระหว่าง ศักดิ์ศรีของตระกูล กับ สายเื เขาจำต้องเลือกอย่างแรก เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่ยังคงปกป้องตระกูลฉินไม่ให้ถูกกลืนหายไปในกระแสของคำครหา
วันนั้น แม่ทัพฉินเทียนหงก้าวเข้าสู่จวนอัครเสนาบดีซ่งกวงเหริน เรือนโอ่อ่าหรูหราที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของอำนาจและเล่ห์เหลี่ยม ซ่งกวงเหรินรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าประดับรอยยิ้มที่แฝงความเหนือกว่า
“ท่านแม่ทัพ ในที่สุดท่านก็มา ข้ายินดียิ่งนัก” เสียงหัวเราะทุ้มดังก้องไปทั่วห้องโถง ก้าวย่างของเขามั่นคง ราวกับผู้ที่รู้อยู่แล้วว่าคู่สนทนาจะต้องมาก้มหัวต่อหน้า “วางใจเถอะพิธีวิวาห์ของบุตรทั้งสองตระกูล เราจะจัดให้สมเกียรติ สมฐานะจนผู้คนทั้งนครต้องอิจฉา” ฉินเทียนหงยืนนิ่ง แววตาเข้มขรึมราวหินผา ทว่าภายในกลับสั่นสะท้าน รอยยิ้มที่ฝืนแต้มบนใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง “เื่นี้…ข้าคงต้องขอรบกวนท่านแล้ว”
ทันทีที่ฉินชิงหร่านล่วงรู้ว่าตนถูกกำหนดให้แต่งงานกับ ซ่งห้าวหราน ร่างบางถึงกับทรุดฮวบลงทันตา น้ำตาไหลพรากไม่หยุด เสียงกรีดร้องที่ดังออกมาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ข้าไม่แต่ง! ไม่ว่ากรณีใด ข้าก็ไม่แต่ง! ท่านพ่อก็รู้ดีว่าซ่งห้าวหรานเป็คนเช่นไร ท่านคิดจะผลักข้าไปใช้ชีวิตคู่กับคนผู้นี้ จริง ๆ หรือ ให้ข้าต้องทนทุกข์ไปตลอดชีวิตงั้นหรือ!”
เสียงสะอื้นสั่นสะท้านสะท้อนทั่วห้องโถง บรรยากาศอึดอัดหนักอึ้ง แม่ทัพฉินเทียนหงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้ากลับแข็งกร้าวทันที ราวกับหินผาที่ถูกสกัดจนคมทั้งชีวิตเขาไม่เคยชักสีหน้าเช่นนี้ใส่บุตรสาวมาก่อน
“ต่อให้ข้าจับเ้าหักแขนหักขา เ้าก็ต้องแต่ง!” น้ำเสียงของเขาดุดันเหมือนคำพิพากษา “แค่นี้ข้าก็อับอายแทบแหลกสลายอยู่แล้ว!”
ฉินชิงหร่านยังคงเชิดหน้าทั้งน้ำตา ดวงตาเต็มไปด้วยการขัดขืน “ข้าไม่ยอม! ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เป็เพราะ นางแพศยานั่น ต่างหากที่ทำให้ชีวิตข้าต้องเป็เช่นนี้!”
เพี๊ยะ! เสียงฝ่ามือกระแทกแก้มดังลั่น ร่างบางเซถลา ใบหน้าแดงเป็รอยชัด ดวงตาเบิกกว้างสั่นระริก
“ท่านพ่อ…ท่านตบข้า” เสียงแตกพร่าเอื้อนเอ่ย ทั้งั์ตาที่แดงก่ำสั่นสะท้าน เพราะั้แ่เกิดมา บิดาผู้เป็เกราะกำบังไม่เคยแม้แต่จะยกเสียงใส่ วันนี้กลับลงมือตีด้วยมือตนเอง ฉินเทียนหงยืนนิ่ง ร่างสูงสง่าแต่แววตาเย็นเฉียบ ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยอย่างช้า ๆ ทว่าเฉียบคมกว่าฝ่ามือเมื่อครู่ “เ้าหยุดโทษผู้อื่นได้แล้ว หากเ้าไม่คิดใช้โอสถมารราคะกับผู้อื่น เ้าก็จะไม่ต้องรับผลกรรมด้วยตนเองเช่นนี้”
