คำพูดของหนิงเสวี่ยทำลายจินตนาการของซูจิ้งทันที
สิ่งที่สหายหนิงเสวี่ยพูดจะผิดได้อย่างไร แม้ซูจิ้งจะสอบเข้าหัวชิงเหมือนกัน เรียนสาขาเดียวกับหนิงเสวี่ย และยังชื่นชอบการคุยเื่ชาวบ้านเป็พิเศษ ราวกับรู้ข่าวซุบซิบมากมาย แต่เมื่อถึงเวลาสนทนาเื่ที่เป็จริง เธอยังคงไม่มีความมั่นใจขณะอยู่ต่อหน้าหนิงเสวี่ย
หนิงเสวี่ยมีพื้นฐานความรู้จากครอบครัวที่แข็งแรง เหล่าอาจารย์ในสาขาก็โปรดปรานเธอมาก
นักศึกษาใหม่สาขาสถาปัตยกรรมรุ่นนี้เพิ่งซื้ออุปกรณ์วาดภาพตามประสงค์ของอาจารย์ก่อนออกเดินทางไปฝึกทหาร วาดสิ่งก่อสร้าง? ฝันไปเถอะ ฝึกวาดลายเส้นด้วยดินสอต่างหาก! รวมถึงซูจิ้งผู้สถาปนาตนว่ารักการวาดภาพ ลายเส้นของเธอก็ไม่ได้รับการยอมรับจากอาจารย์
ทว่าหนิงเสวี่ยเคยวาดผลงานสถาปัตยกรรมที่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้มาแล้ว
ในรายวิชา ‘สถาปัตยกรรมเบื้องต้น’ นี้ นักศึกษาใหม่สาขาสถาปัตยกรรมต้องเรียนการวาดลายเส้นดินสอและลายเส้นหมึก ตลอดจนฝึกฝนเขียนแบบตัวอักษร สิ่งเหล่านี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จอะไรแม้แต่น้อย อีกทั้งต้องใช้เวลานอกห้องเรียนมหาศาลในการฝึกฝน ในการฝึกทหารนานสองสัปดาห์ อย่าคิดเลยว่าชายหนุ่มมากมายจะกระหายััชีวิตชายชาตรีที่แท้จริง มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่พกอุปกรณ์วาดภาพไปด้วยน่ะสิ
ถ้าไม่ฝึกฝนอย่างสุดกำลัง จะไล่ตามการพัฒนาของนักศึกษาหนิงเสวี่ยได้อย่างไร?
ใครมีพื้นฐานวาดภาพก็ดีไป ส่วนคนที่ไม่มีล้วนร้อนรนกระวนกระวายน่ะสิ
เซี่ยเสี่ยวหลานมีพื้นฐานครึ่งๆ กลางๆ ตอนเธอกับกงหยางร่วมมือกันวาดแบบร่างตกแต่งภายใน กงหยางสอนความรู้บางส่วนให้แก่เธอ ตอนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานยุ่งกับการสอบเกาเข่า จึงไม่มีเวลาฝึกฝนต่อ ทว่าเธอยังคงรู้ทักษะพื้นฐานอยู่บ้าง
ด้านการฝึกวาดลายเส้นนี้ เธอแย่กว่าซูจิ้งเล็กน้อย แต่อย่างน้อยในห้องพักเดียวกันเธอก็นำหน้าลฺหวี่เยี่ยนและโจวลี่ิ่
แต่มันไม่มีประโยชน์ใดเลยน่ะสิ แค่วาดลายเส้นได้นิดหน่อย ข่าวลือพวกนั้นก็ไม่อาจสลายไปในเวลาอันสั้นได้ โดยหลักเหตุผล เนื่องจากในหมู่นักศึกษาด้วยกัน มีคนพูดถึงข่าวลือที่ไม่น่าเชื่ออย่างเธออาศัยเส้นสายเข้าหัวชิงก็ยังปล่อยผ่านได้ ทว่าอาจารย์เชื่อได้อย่างไร? และเธอไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่าไม่มีอาจารย์รู้คะแนนรวมเกาเข่าของเธอ
เธอมีเส้นสายบ้าบออะไรเล่า ครอบครัวของโจวเฉิงมีเส้นสายก็จริง ทว่าเส้นสายนี้อย่าว่าแต่เธอไม่มีสิทธิ์ใช้เลย กระทั่งลูกหลานในตระกูลโจวเองก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์นี้!
อย่างเช่นโจวอี๋ จากคำบอกเล่าของโจวเฉิง การศึกษาของเธอธรรมดามาก
หากตระกูลโจวคิดจัดแจงส่งคนเข้าเรียนหัวชิง ก่อนอื่นก็ควรส่งโจวอี๋เข้ามาสิ!
ท่าทีพิกลของอาจารย์หวังและอาจารย์หลินนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ไม่เข้าใจมาโดยตลอด
และเธอก็ไม่รู้ว่าข่าวลือว่าเธอ้าเปลี่ยนสาขามันเริ่มแพร่กระจายออกไปจากตรงไหน
ต่อให้เป็เช่นนั้นจริง แม้เธอ้าเปลี่ยนสาขา ทำไมอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ขั้นสูงถึงคิดกับเธอในแง่ลบ วิชาพวกนี้เป็วิชาพื้นฐาน ย้ายไปสาขาอื่นก็ต้องเรียนอยู่ดีไม่ใช่หรือ!
บนเส้นทางจากมหาวิทยาลัยถึงมณฑลจี้เป่ยจางเจียโข่ว [1] ทุกคนต้องอยู่บนรถคันเดียวกันหลายชั่วโมง สภาพแวดล้อมที่ปิดทำให้นักศึกษาห้อง 2 เริ่มสนิทสนมกันมากกว่าเดิม และใช่ ทุกคนเรียนด้วยกันมาสองสัปดาห์แล้ว นักศึกษาชายยังคงไม่คุยกับนักศึกษาหญิง พวกเขาไม่ได้เขินอาย แต่เป็เพราะโรคกลัวผู้หญิงสินะ!
หนิงเสวี่ยนั่งบนรถของมหาวิทยาลัย เซี่ยเสี่ยวหลานพบว่าดอกไม้บนยอดเขาสูงดอกนี้ อันที่จริงไม่ได้เ็าอย่างที่คิด
ไม่ว่าคนอื่นจะถามอะไร ขอเพียงหนิงเสวี่ยรู้ เธอก็จะอธิบายอย่างละเอียดทั้งนั้น
เดิมทีซูจิ้งคือแฟนคลับของหนิงเสวี่ย ดังนั้นในตอนนี้เธอจึงอยากทิ้งเพื่อนร่วมห้องนอนที่สนิทกันที่สุดหลังเข้ามหาวิทยาลัยอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานและเปลี่ยนไปนั่งข้างหนิงเสวี่ยเสียเหลือเกิน
ทั้งลฺหวี่เยี่ยนและโจวลี่ิ่ต่างก็เคยสนทนากับหนิงเสวี่ยเช่นกัน เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังลังเลว่าจะตามกระแสนี้ดีหรือไม่ คุยกับบุคคลยอดนิยมของมวลชนสักสองประโยค ปรากฏว่าพอหันศีรษะไป สายตาของเธอได้ประสานกับหนิงเสวี่ย... เซี่ยเสี่ยวหลานััได้ถึงความรังเกียจจากแววตาของหนิงเสวี่ย
จะบอกว่ารังเกียจก็ไม่เชิง
อารมณ์นั้นปรากฏเพียงประเดี๋ยวเดียว ทำให้เธอวิเคราห์นัยยะที่แฝงไว้ข้างในให้ถูกต้องได้ยากเหลือเกิน แต่สายตาแบบนั้นกลับมีความคุ้นเคยที่ยากจะอธิบายบางอย่างอยู่ เหมือนสีหน้าที่อาจารย์ประจำสาขาเมื่อชาติก่อนแสดงออกมาขณะได้ยินว่าเธอละทิ้งความชำนาญที่ร่ำเรียนมาไปทำงานขายแทน
เอ๋?
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว้าวุ่นเล็กน้อย
ทุกคนเป็นักศึกษาวัยประมาณ 20 ปีกันทั้งนั้น ไม่มีใครมีจิตใจลึกล้ำจริงๆ อย่างน้อยด้วยประสบการณ์ของเซี่ยเสี่ยวหลานก็ง่ายมากที่จะตัดสินเพื่อนนักศึกษาเหล่านี้
หนิงเสวี่ยอธิบายแก่คนอื่นอย่างอดทน ทว่าน้ำเสียงไม่เป็มิตรสักนิด มีนิสัยของเธอเป็สาเหตุหนึ่ง และมีความระอาอย่าง ‘ทำไมคนธรรมดาอย่างพวกเธอต้องถามแม้แต่ความรู้ง่ายๆ แบบนี้’ เนื่องจากมีความรู้ที่ครอบครัวถ่ายทอดให้ หากจะพูดถึงความรู้เฉพาะทางด้านสถาปัตยกรรม หนิงเสวี่ยคืออันดับหนึ่งของนักศึกษาใหม่รุ่น 84 ต่อให้เป็รุ่นพี่ชั้นปีสูงก็อาจไม่ได้เหนือกว่าหนิงเสวี่ยด้วยซ้ำ ยอดฝีมือโดดเดี่ยวเยือกเย็นดุจหิมะ เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าใจความระอาของเธอ
แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เข้าใจความรังเกียจที่มอบให้เธอจากสหายหนิงเสวี่ยน่ะสิ
ทั้งสองคุยกันรวมไม่เกิน 5 ประโยคด้วยซ้ำ อีกอย่างยังจำกัดอยู่เพียงประโยค ‘รบกวนส่งการบ้านหน่อย’ ‘ขอบคุณ’ ‘ช่วยหลบหน่อย’ อะไรพวกนี้
เซี่ยเสี่ยวหลานจะใช้การมีปฏิสัมพันธ์ที่สื่อสารกับสหายหนิงเสวี่ยไม่เกิน 5 ประโยคมาตัดสิน... เอาเถอะ เกณฑ์การตัดสินนี้มันไร้สาระเหลือเกิน เธอไม่ได้ตัดสินหนิงเสวี่ยด้วยสิ่งนี้ ทว่าเธออ้างอิงจากความหยิ่งยโสของหนิงเสวี่ย
ความคิดของหนิงเสวี่ยไม่ได้อยู่ที่การแข่งขันกับนักศึกษาใหม่รุ่น 84 โดยสิ้นเชิง
เป้าหมายที่เธอตั้งไว้น่าจะเป็เหล่ารุ่นพี่ชั้นปีสูงของสาขาสถาปัตยกรรมทั้งหมด หรือแม้แต่โลกภายนอกที่แยกจากสาขาสถาปัตยกรรมหัวชิง?
ทำไมเซี่ยเสี่ยวหลานถึงเข้าใจความรู้สึกน่ะหรือ เพราะก่อนหน้านี้ที่เธออยู่ในอันชิ่งเซี่ยนอีจงก็มีความคิดแบบเดียวกัน!
หลังทำข้อสอบที่ได้จากโรงเรียนมัธยมปลายในเมืองเสร็จแล้ว ก็ส่งต่อให้นักเรียนอันชิ่งเซี่ยนอีจงทำได้โดยไม่คิดอะไร เธอเอื้อเฟื้อเสียสละ เพราะว่าเธอมั่นใจในตัวเอง อย่างไรเสียไม่ว่าจะทำข้อสอบหนึ่งชุดนั้นหรือไม่ นักเรียนอันชิ่งเซี่ยนอีจงก็ไม่กลายเป็คู่แข่งของเธออยู่ดี
หนิงเสวี่ยก็เป็แบบนี้ในตอนนี้ บุตรีคนโปรดของ์ มันถูกต้องที่ความสนใจของเธอจะไม่ตกถึงตัวเซี่ยเสี่ยวหลาน
เมื่อสนใจคนคนหนึ่ง ถึงจะเกิดอารมณ์หลากหลายขึ้น หนิงเสวี่ยเป็ตัวแทนนักศึกษาใหม่ เป็ดวงดาวแห่งอนาคตอันใกล้ ทำไมต้องแยแส ‘คนน่าสมเพช’ ที่มีข่าวลือติดตัวอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานผู้นี้ด้วย
ความรังเกียจของหนิงเสวี่ยช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
ก็เหมือนท่าทีที่พิลึกพิลั่นของอาจารย์หวังกับอาจารย์หลิน มันไม่สมเหตุสมผลเลยเช่นกัน!
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าเมื่อหนึ่งข้อกังขากระจ่างแล้ว อีกหนึ่งข้อกังขาอาจถูกเฉลยอย่างง่ายดายเช่นกัน เพราะอย่างไรหนิงเสวี่ยก็เป็ที่โปรดปรานของเหล่าอาจารย์ ถ้าเกิดว่าท่าทีแปลกประหลาดของพวกเขามาจากสาเหตุเดียวกันเล่า?
เมื่อถึงถนนข่งเจียจวงรถก็เริ่มโยนเพราะถนนเป็หลุมเป็บ่อ
พอไม่เปิดหน้าต่างก็ร้อนอบอ้าว พอเปิดหน้าต่างฝุ่นที่ลอยคลุ้งก็ซัดเข้าหน้าเต็มไปหมด ไม่ว่าใครจะงดงามปานเทพธิดาเพียงใด ใบหน้าเปรอะดินเปื้อนฝุ่นย่อมดูหม่นหมองกันทั้งนั้น รถมหาวิทยาลัยหยุดอยู่บริเวณหน้าค่ายฝึกทหาร มีคนสวมเครื่องแบบออกมานำทางพวกเธอเข้าไป ไม่ใช่แค่สาขาสถาปัตยกรรม นักศึกษาใหม่รุ่น 84 ทุกคนล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว
อันดับแรกคือการรวมตัวเพื่อแจ้งกฎระเบียบของที่นี่ ยกตัวอย่างเช่นไม่อนุญาตให้สวมเครื่องประดับ ไม่อนุญาตให้ปล่อยผมกระเซอะกระเซิง ไม่อนุญาตให้นักศึกษาหญิงแต่งหน้า ไม่อนุญาตให้นักศึกษาชายใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม การฝึกทหารคือการพัฒนาอุดมการณ์ทางการเมืองของนักศึกษา ส่งเสริมความกระตือรือร้นในการรักชาติ ยกระดับแิปกป้องแผ่นดินแม่ เสริมสร้างแิด้านวินัยองค์กรของนักศึกษาตลอดจนเป้าหมายอื่นๆ ไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มด่ำชีวิตและความสุขสบาย จะบรรลุ้ป้าหมายของการฝึกทหารได้ก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้การดำรงชีวิตที่บากบั่นและเรียบง่ายเท่านั้น!
“ใครมีของต้องห้าม โปรดนำออกมาให้หมด อย่าให้พวกเราตรวจค้นเจอ บุหรี่ สุรา ขนมของว่าง ต้องส่งมอบทั้งหมดเช่นกัน! ของพวกนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้ามา ผมบอกพวกคุณเลยนะว่าอย่านึกว่าจะโชคดีไม่ถูกพบ... ต่อไป ขอเชิญหัวหน้าครูฝึกของพวกคุณชี้แจงข้อควรระวังในการฝึกทหารครั้งนี้แก่ทุกคน!”
มีคนเดินนำมา ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังเกรียวกราว
ท่ามกลางกระแสเสียงปรบมือ เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นหัวหน้าครูฝึกผู้เป็เ้าของขายาว
อืม ดีมาก คนคนนั้นที่ไม่ตอบจดหมายเธอ แฟนหนุ่มผู้เดิมทีประจำอยู่กองทัพในปักกิ่ง จู่ๆ ก็โผล่มายังมณฑลจี้เป่ยและเป็หัวหน้าครูฝึกทหารของพวกเธอ?
ซูจิ้งร้องว้าว “หัวหน้าครูฝึกคนนี้ทั้งหนุ่มทั้งหล่อจริงๆ !”
กองทหารเกียรติยศของจัตุรัสเทียนอันเหมินยังหล่อเหลาสู้เขาไม่ได้เลยสักคน!
เชิงอรรถ
[1]张家口 จางเจียโข่ว คือ เมืองจางเจียโข่วในมณฑลเหอเป่ย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้