“เป็ไปได้อย่างไร? เวลาเพียงสองปี นึกไม่ถึงว่ามู่ขวงจากตระกูลมู่จะสามารถฝึกฝนวรยุทธ์จนถึงระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ดได้ ทั้งยังสูงกว่าซั่งกวานเชียนจื้อหนึ่งขั้นอีกด้วย!”
“ครั้งก่อนที่มู่ขวงทำการทดสอบปราณกระดูก เวลานั้นวรยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับทงม่ายขั้นเก้าเท่านั้น เวลาผ่านมาเพียงสองปี นึกไม่ถึงว่าเขาจะบรรลุวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ดเสียแล้ว พร์ของมู่ขวงผู้นี้เป็เพียงปราณกระดูกขั้นเจ็ดจริงหรือ?”
ทันใดนั้นพลันเกิดความโกลาหลขึ้นในกลุ่มฝูงชนอย่างกะทันหัน มีหลายคนจำได้ว่าเมื่อสองปีก่อนเด็กหนุ่มผู้นี้ปฏิเสธการเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์ และตัดสินใจที่จะติดตามมู่เฟิงแทน
ตอนนี้เวลาผ่านมาสองปี มีข่าวลือว่าอัจฉริยะเ้าของพร์ระดับกระดูกิญญาได้เสียชีวิตลงแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าน้องรักของเขาจะฝึกฝนวรยุทธ์จนสามารถบรรลุระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ดได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าเื่นี้ย่อมสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนได้อย่างมาก
“เด็กดี เ้าฝึกฝนวรยุทธ์จนมีระดับสูงเช่นนี้ได้ั้แ่เมื่อไรกัน!”
บิดาของมู่ขวงจ้องมองบุตรชายที่กำลังแผ่พลังสะกดข่มใส่เด็กหนุ่มตระกูลซั่งกวานบนแท่นเวทีด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ผู้นำตระกูลซั่งกวาน เหมือนว่าการที่ท่านส่งอัจฉริยะในตระกูลเข้าไปศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์จะเป็การผลาญทรัพยากรของตระกูลโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยนะ”
เมื่อเห็นฉากนี้ มู่เฉินก็หัวเราะออกมาดังลั่น ทั้งยังพูดจาถากถางอีกฝ่าย
สีหน้าของซั่งกวานสยงพลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียด จากนั้นเขาก็กล่าวออกมาเสียงเย็นว่า “วรยุทธ์ระดับจื่อฝู่เป็เพียงจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนเท่านั้น ใครจะหัวเราะเป็คนสุดท้ายเื่นั้นก็ยังไม่แน่นักหรอก”
“กล่าวได้ดี เช่นนั้นก็รอดูต่อไปแล้วกัน”
มู่เฉินแสยะยิ้ม
“เ้าไม่จำเป็ต้องกลัวไป ข้าไม่ตีเ้าหรอก เพราะอีกเดี๋ยวจะมีคนจัดการเ้าเอง”
มู่ขวงเหยียดยิ้ม เขากวาดตาสำรวจมองซั่งกวานเชียนจื้อ จากนั้นเด็กหนุ่มก็หันหลังกลับ ก่อนจะเดินไปทดสอบปราณกระดูกและเดินลงจากแท่นเวที
“ช่างน่าชังนัก เ้าบ้านั่น…เขาฝึกฝนมาอย่างไรกัน!”
ซั่งกวานเชียนจื้อกัดฟันกรอดขณะมองตามหลังมู่ขวง
“เด็กหนุ่มผู้นี้ช่างฝึกฝนวรยุทธ์ได้เร็วนัก เวลาเพียงสองปี นึกไม่ถึงว่าคนที่ฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ในจวนอย่างเขาจะสามารถพัฒนาวรยุทธ์มาถึงระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ดได้”
ผู้าุโร่างท้วมกล่าวชื่นชมด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกประทับใจในตัวมู่ขวงเพิ่มขึ้นถึงสองส่วน
เดิมทีเขาก็มีความประทับใจในคุณธรรมและความภักดีของเด็กหนุ่มเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อสองปีก่อนด้วยคุณธรรมในใจของเขา มู่ขวงจึงเป็คนแรกที่ตัดสินใจที่จะสละสิทธิ์ในการเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์
“ไป๋จื่อเยว่”
บัณฑิตหนุ่มยังคงทำหน้าที่ขานเรียกชื่อคนต่อไป
จากนั้นเด็กหนุ่มหน้าตาดีในชุดคลุมสีขาว และมีผมยาวประบ่าก็เดินไปยังหน้าเสาหินเพื่อทำการทดสอบ ดวงตาของเขาคมกริบราวกับคมกระบี่ เมื่อเขาก้าวเท้าออกมา เด็กหนุ่มก็สามารถดึงดูดความสนใจจากฝูงชนด้านล่างได้เป็อย่างดี
เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยเห็นหน้าเด็กหนุ่มตระกูลมู่ผู้นี้มาก่อน
ไป๋จื่อเยว่หยดเืลงไปบนเสาหิน จากนั้นรอยขีดบนเสาหินก็เริ่มเปล่งแสงออกมา
หนึ่งขีด สองขีด สามขีด...
ภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน รอยขีดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจ็ดขีด แปดขีด เก้าขีด สิบขีด!
เพียงไม่นานรอยขีดบนเสาหินก็ส่องสว่างออกมาครบทั้งสิบขีด ทว่ามันยังคงไม่จบลงเพียงเท่านั้น เสาหินพลันเปล่งแสงสีครามออกมาจนส่องสว่างพร่างพราวตา
“นี่ นี่มัน!”
จ้าวเหิง ผู้าุโร่างท้วม และสตรีในชุดกระโปรงสีน้ำเงินต่างก็ลุกพรวดขึ้นในทันที พวกเขาจ้องมองไปยังเสาหินที่กำลังส่องแสงเปล่งประกาย สายตาแสดงออถึงความใระคนตื่นเต้น
“ร่างกายิญญา เป็ร่างกายิญญา!”
อู๋อี้กล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้น เนื้อตัวของเขากำลังสั่นเทา
ผู้ที่มีร่างกายิญญาจะมีพร์ทางกายภาพที่น่าสะพรึงกลัว นอกจากนี้พร์ของปราณกระดูกยังอยู่ในระดับกระดูกิญญา และยังเป็บุคคลที่มีพลังเหนือธรรมชาติโดยกำเนิด
คาดไม่ถึงว่าการเปิดรับศิษย์ในครั้งนี้จะทำให้พวกเขาได้พบกับเด็กหนุ่มผู้มีร่างกายิญญา!
“ร่างกายิญญา!”
ไม่ว่าจะเป็ตระกูลซั่งกวาน ตระกูลอวิ๋น จวนเป่ยอ๋อง รวมถึงตระกูลมู่ หรือบรรดาตระกูลเล็กใหญ่ทั้งหลาย ทุกคนล้วนตื่นตะลึงกับเื่นี้ พวกเขาพากันจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีขาวเป็ตาเดียว
“นึกไม่ถึงว่าเ้าหนุ่มผู้นี้จะมีร่างกายิญญา ฮ่าๆ ๆ ๆ ดี ดียิ่งนัก”
มู่เฉินหัวเราะเสียงดัง ก่อนหน้านี้เื่วรยุทธ์ของมู่ขวงก็ทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อยแล้ว แต่คาดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มอีกคนที่มู่เฟิงพากลับมาที่จวนจะเป็อัจฉริยะผู้มีร่างกายิญญา
“ตรวจสอบ ตรวจสอบเื่นี้ให้ชัดเจน เด็กหนุ่มผู้นี้เป็ใครกันแน่? ตระกูลมู่มีอัจฉริยะเช่นนี้ได้อย่างไร?”
บรรดาตระกูลใหญ่รีบออกคำสั่งให้ตรวจสอบเื่นี้ในทันที
เวลานี้สีหน้าของซั่งกวานสยงดูน่าเกลียดเป็อย่างยิ่ง
ลำพังเื่วรยุทธ์ของมู่ขวงก็ทำให้เขาไม่สบอารมณ์มากแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีอัจฉริยะผู้มีร่างกายิญญาปรากฏตัวขึ้นในตระกูลมู่อีก
ความสำเร็จในอนาคตของผู้ที่มีร่างกายิญญานั้นเป็สิ่งที่ไร้ขีดจำกัด!
“ปะ ไป๋จื่อเยว่ มีคุณสมบัติ”
กระทั่งบัณฑิตผู้ทำหน้าที่ยังประกาศผลด้วยความตื่นตะลึง เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังไป๋จื่อเยว่อีกครั้ง
สำนักศึกษามีสัตว์ประหลาดเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว
“ร่างกายิญญา ตระกูลมู่ไปหาเด็กผู้นี้มาจากที่ใดกัน”
หนานหาวจ้องมองไปยังไป๋จื่อเยว่ ในขณะที่ดวงตาของเขาทอประกายเย็นะเื
“กระหม่อมจะรีบไปตรวจสอบเื่นี้พ่ะย่ะค่ะ”
ต้วนเชียนโหมวกล่าว
หลังทดสอบแล้ว ไป๋จื่อเยว่ก็ก้าวลงจากแท่นเวทีด้วยท่าทีเฉยเมย เขารู้เื่พร์ของเขามานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไรกับมัน
เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองคนกลับมายืนประกบข้างเด็กหนุ่มผมขาว ทันใดนั้นสายตาของผู้คนเกือบทั้งหมดต่างก็มุ่งความสนใจไปยังเด็กหนุ่มผมขาวในทันที
เด็กหนุ่มนักสลักลายเส้นอัจฉริยะผู้นี้จะมีพร์ระดับใดกันนะ?
แต่ไม่ว่าเขาจะมีพร์ระดับใด ทางสำนักศึกษาราชวงศ์ก็ยินดีรับเด็กหนุ่มอัจฉริยะอย่างเขาเป็กรณีพิเศษอยู่แล้ว
ภายใต้การจับตามองของทุกคน เด็กหนุ่มผมขาวผู้สวมใส่หน้ากากสีเงินก็เดินไปยังเสาหิน จากนั้นเขาก็หยดเืของตัวเองลงไปบนนั้น
หนึ่งขีด สองขีด สามขีด...
รอยขีดบนเสาหินเริ่มเปล่งแสงออกมาในทันที ขณะนี้หัวใจของทุกคนกำลังสั่นระรัว พวกเขาต่างจ้องมองไปยังรอยขีดบนเสาหินอย่างใจจดใจจ่อ
เพียงไม่นานรอยขีดทั้งสิบบนเสาหินก็พลันเปล่งแสงออกมาทั้งหมด นอกจากนี้แสงที่เปล่งออกมายังเป็สีแดงโลหิต!
รอยขีดสิบขีด พร์กระดูกิญญา!
นอกจากจะเป็อัจฉริยะด้านการสลักลายแล้ว เขายังเป็อัจฉริยะด้านการฝึกวรยุทธ์อีกด้วย!
ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็พลันเปลี่ยนไป กระทั่งสายตาของผู้าุโจากสำนักศึกษาที่อยู่บนแท่นเวทียังส่องประกายวาวโรจน์ออกมา
นอกจากจะเป็อัจฉริยะด้านการสลักลายแล้ว ยังเป็อัจฉริยะด้านการฝึกวรยุทธ์ที่มีพร์ระดับกระดูกิญญาอีกด้วย! พร์สุดพิเศษทั้งสองด้านได้หลอมรวมอยู่ในคนคนเดียว!
คนผู้นี้ต้องเป็บุตรของ์อย่างแน่นอน!
ถูกต้องแล้ว หากเขาไม่ใช่บุตรของ์ เขาจะมีพร์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้อย่างไร
สีหน้าของซั่งกวานสยงพลันมืดครึ้มลงจนไม่น่ามอง พร์กระดูกิญญาและร่างกายิญญาของศิษย์ตระกูลมู่นั้นสามารถฝังกลบบรรดาศิษย์อัจฉริยะทั้งหลายในตระกูลของเขาได้จนมิด
ขณะนี้เขากำลังเดือดดาลด้วยโทสะ ความโกรธมันจุกอกจนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
“เชียนโหมว หากไม่สามารถดึงคนผู้นี้เข้ามาเป็พวกได้ เขาจะต้องถูกสังหารเท่านั้น คนเช่นนี้หากข้าไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรจากเขาได้ เขาก็ไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่”
หนานหาวหยัดกายลุกขึ้นก่อนจะกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าหลังจากผ่านไปสองปีตระกูลมู่จะยังสามารถสร้างอัจฉริยะที่มีพร์กระดูกิญญาออกมาได้อีกคน!”
อวิ๋นไห่พึมพำกับตัวเอง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
พร์กระดูกิญญาแล้วอย่างไร ร่างกายิญญาแล้วอย่างไร จวนเป่ยอ๋องย่อมไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาได้ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลมู่มีโอกาสเหลืออยู่แน่นอน
อัจฉริยะที่ไม่สามารถผงาดขึ้นมาได้ สุดท้ายก็จะกลายเป็แค่เื่เล่าในอดีต
อัจฉริยะนั้นเป็ตัวแทนของอนาคต มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
เด็กหนุ่มผมขาวถอนมือออกจากเสาหิน จากนั้นภายใต้การจับจ้องของทุกคนเขาก็เดินเข้าไปหาซั่งกวานเชียนจื้อ
ทุกคนที่ได้เห็นฉากนี้ต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าเด็กหนุ่ม้าจะทำอะไร
ซั่งกวานเชียนจื้อมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาหาเขาด้วยความประหลาดใจ
ดูเหมือนว่าระหว่างเขาและเด็กหนุ่มผู้มีพร์โดดเด่นจากตระกูลมู่ผู้นี้จะไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกันมาก่อน
“เ้าคิดจะทำอะไร?"
ซั่งกวานเชียนจื้อะโถามอีกฝ่าย
“ซั่งกวานเชียนจื้อ ข้ามาแล้ว เ้ามาสู้กับข้าสิ”
เด็กหนุ่มเอามือไพล่หลังขณะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เส้นผมสีขาวราวหิมะกำลังพลิ้วไหวไปตามแรงลม
“ตลกแล้ว เ้าพูดเื่อะไรของเ้า เหตุใดข้าต้องสู้กับเ้าด้วย”
ซั่งกวานเชียนจื้อยิ้มเยาะ
“นี่มันเื่อะไรกัน? หรือว่าระหว่างพวกเขาจะมีความขัดแย้งกันมาก่อน?”
ทุกคนที่เห็นฉากนี้ต่างก็พากันประหลาดใจ
“ทำไมเล่า ไม่ได้พบกันเพียงสองปี เ้าก็ไม่รู้จักข้าแล้วรึ?”
เด็กหนุ่มแสยะยิ้มออกมาอย่างเ็า ภายใต้สายตาของผู้คน มู่เฟิงก็ค่อยๆ ถอดหน้ากากของตัวเองออก
ใบหน้าอันหล่อเหลาคมคายและดูเด็ดเดี่ยวเผยออกมา ไม่มีร่องรอยของความเป็เด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย บริเวณหางคิ้วของเขายังคงมีรอยแผลเป็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย ซั่งกวานเชียนจื้อก็ตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก!
ท่ามกลางกลุ่มคนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็ตระกูลอวิ๋น ตระกูลซั่งกวาน จวนเป่ยอ๋องหรือคนจากตระกูลมู่ ทุกคนล้วนตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น พวกเขาจ้องมองอีกฝ่ายจนตาแทบถลน เมื่อเห็นใบหน้านี้ ภาพความทรงจำเมื่อสองปีก่อนก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำของพวกเขาทันที
“ขะ เขา เขาคือมู่เฟิง!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้