ซ่งซื่อไม่ได้เอ่ยถึงซ่งฝูจินอีก ดวงตาของนางหลุบลงทั้งยังดูไร้ชีวิตชีวาเล็กน้อย แต่นางก็เรียกหญิงรับใช้ให้ยกถาดกระเป๋าปิ๊กแป๊กใหม่เอี่ยมเข้ามา
ฮูหยินและนายหญิงตระกูลมีอำนาจไม่นิยมใช้กระเป๋าปิ๊กแป๊กนัก ทว่าเหล่าคุณหนูสมัยนี้ชอบ
เยี่ยนเจาเจารู้ว่านางเพลียแล้ว จึงสุ่มเลือกมาสองใบก่อนขอตัวออกมา
่ทางกลับสวนมวลบุปผาหอม เฝ่ยชุ่ยก็ยิ้มถามเจาเจาว่าเหตุใดวันนี้ถึงนึกอยากมาแสดงความกตัญญูกับนายหญิงสาม ระหว่างที่เจาเจาตอบแบบขอไปทีเพื่อหลอกเฝ่ยชุ่ย คาดไม่ถึงว่าผู้ติดตามท่านแม่อย่างซ่งจื่อจะมารออยู่ตรงประตูเล็กระหว่างสวนมวลบุปผาหอมกับบ้านสามแล้ว
“คุณหนู องค์หญิงเชิญเ้าค่ะ”
เมื่อเห็นซ่งจื่อมารับไปเรือนนภาคราม เยี่ยนเจาเจาก็รู้สึกหวาดหวั่น แต่ในใจกำลังคิดเพียงเื่ของซ่งฝูจิน เลยไม่อาจเดาได้ทันทีว่าท่านแม่ให้คนมาเรียกนางไปหาเวลานี้ทำไม
เยี่ยนเจาเจาจึงไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด สักพักก็ตามซ่งจื่อมาถึงเรือนนภาคราม
บรรยากาศในเรือนนภาครามเต็มไปด้วยความกดดันทรงพลัง ซ่งจื่อเดินนำเจาเจาเข้าไปในเรือน เมื่อส่งนางถึงห้องนอนขององค์หญิงก็รีบถอยออกไป
เยี่ยนเจาเจาเพิ่งสังเกตเห็นว่าท่านแม่กำลังอ่านตำราพิชัยาอยู่บนเตียงหลัวฮั่น ยามนี้ท่านพ่อไม่อยู่ ส่วนซ้ายขวาก็ไม่มีกระทั่งสาวใช้หรือบ่าวชราสักคน
แม้นท่านแม่ไม่ค่อยชอบให้มีคนปรนนิบัติข้างกาย แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่้าใครเลย ยิ่งนึกได้ว่า่เวลาที่ซ่งจื่อมาเชิญเมื่อครู่ดูเหมาะจนเกินไป ในใจเยี่ยนเจาเจาก็ยิ่งกระตุกกว่าเดิม
หรือว่าที่ตนไปบ้านสามวันนี้ จะโดนท่านแม่มองความผิดปกติออกแล้ว?
องค์หญิงได้ยินเสียงเยี่ยนเจาเจาเข้าห้องมาจึงเหลือบเนตรขึ้นมองด้วยแววตายากจะอธิบาย เยี่ยนเจาเจายังไม่ทันทำความเข้าใจว่าั์ตาท่านแม่คิดสิ่งใดอยู่ ก็ได้ยินองค์หญิงถามขึ้นอย่างกะทันหันว่า “ล่อคนโลภด้วยกำไรหรือ?”
ในหัวเจาเจาพลันหมุนติ้ว ก่อนจะคิดออกว่านี่คือประโยคหนึ่งใน “พิชัยยุทธ” จาก “ตำราพิชัยาซุนจื่อ[1]” ท่านแม่นึกคึกจะทดสอบว่านางอ่านหนังสือหรือไม่งั้นหรือ?
นางเผลอยืดหลังตรง หลังครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ท่องออกมาคล่องปร๋อ “ใช้ผลประโยชน์ล่อคนโลภ ฉวยโอกาสโจมตียามวุ่นวาย ศัตรูพรั่งพร้อมควรระแวดระวัง หากแข็งแกร่งหลีกเลี่ยงจุดแข็ง โมโหง่ายยิ่งก่อกวน ระวังทุกฝีก้าวให้หลอกล่อ เตรียมร่างกายมาดีพร่าผลาญกำลัง หากสามัคคีจงยั่วยุให้แตกแยก โจมตียามไม่ทันระวัง ใช้กลยุทธ์เหนือความคาดหมายของศัตรู”
อดีตนางสักแต่ท่องโดยไม่คิดไตร่ตรองจนรู้สึกทุกข์ทรมานสุดๆ ยามท่องจำ ทว่าหลังจากกลายเป็เด็กกำพร้าที่โดนบังคับให้ยืนด้วยลำแข้งตนเอง ทั้งยังต้องคิดหาทางช่วยเหลือเหลียงอินจนสมองแทบะเิ เมื่อนั้นถึงได้เข้าใจความน่าทึ่งของวลีเหล่านี้ในตำราพิชัยาซุนจื่อ
นางพูดจบก็เห็นรอยยิ้มในดวงตาของท่านแม่
องค์หญิงกวักมือเรียกเยี่ยนเจาเจาให้มานั่งข้างตนเอง ก่อนจะกุมมือของนางไว้ในฝ่ามือแล้วถามอย่างอ่อนโยนว่า “ลูกข้าเข้าใจความหมายในคำเหล่านี้หรือไม่?”
เยี่ยนเจาเจารู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ท่านแม่จึงถามสิ่งเหล่านี้กับนาง? หรือว่าท่านแม่จะมองความผิดปกติของนางออกแล้ว?
มิน่าเพราะเหตุนี้ถึงได้เรียกนางมา และยังให้หญิงรับใช้ที่ปรนนิบัติหลบออกไปจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ ในลานเรือนอีก คงเพื่อจะไต่สวนนางกระมัง?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหงื่อเย็นบนหลังก็หลั่งออกมา
“ความหมายของท่านแม่...” เยี่ยนเจาเจาสังเกตท่านแม่ตนเองอย่างกล้าๆ กลัวๆ เป็ครั้งแรก
“ไม่ต้องคิดอย่างอื่น แค่พูดความเห็นเ้าออกมา”
องค์หญิงฉงหยางไม่มีท่าทีขุ่นเคือง ทั้งยังแก้ผมเปียสองข้างที่เยี่ยนเจาเจาถักออกจากเรือนวันนี้ แล้วผูกให้นางใหม่อีกครั้งด้วยตนเอง
ทว่าในใจเยี่ยนเจาเจากลับไม่สงบเหมือนใบหน้า หากนางแสร้งตอบพลาดต่อหน้าคนธรรมดาและโง่เขลาเช่นเยี่ยนฟางหวาก็คงไม่มีใครมองออก แต่ขณะนี้คนตรงหน้าคือท่านแม่ของนาง หากโกหกก็เกรงว่าจะโดนจับได้ในทันที
เยี่ยนเจาเจาระงับความหวั่นวิตกของตน ก่อนจะอธิบายเนื้อความในตำราพิชัยาที่ท่านแม่ถามคร่าวๆ โดยเผยออกมาเพียงสองส่วน
แม้จะไม่ละเอียด แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้องค์หญิงฉงหยางตกตะลึงแล้ว
เมื่อก่อนเจาเจาเอาแต่ท่องจำอย่างเดียวทั้งยังไม่เคยเรียนลงลึก พอเห็นนางมีความคิดอ่านเช่นนี้ก็รู้สึกว่าน่าแปลกนัก
นับั้แ่องค์หญิงกลับมาจากค่ายเหลียงเป่ย พระองค์ก็ััได้ว่าบุตรีแตกต่างจากวันวาน
แม้ในยามออดอ้อน เด็กสาวผู้นี้จะดูออเซาะมากกว่าเดิม แต่ยามที่ต้องทำสิ่งต่างๆ กลับสุขุมรอบคอบขึ้นหลายเท่าราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคนหรือเติบโตขึ้นในชั่วข้ามคืน
ทว่านี่คือเืเนื้อเชื้อไขที่พระองค์คลอดออกมาเอง องค์หญิงทรงมองออกว่าลูกของตนไม่ได้ถูกผู้ใดสับเปลี่ยนตัวไป
หลังใคร่ครวญสักพักจึงคิดออกเพียงอย่างเดียวว่าคงเป็เพราะบุตรีโดนรังแกระหว่างที่ตนไม่อยู่ และถูกตนบังคับให้เติบโตเองทั้งที่ยังไม่เคยสอน
กอปรกับเหล่าบุตรีของตระกูลเหลียงเก่าล้วนฉลาดเกินเด็ก เจาเจาอาจถึงวัยเรียนรู้เลยฉลาดพรวดพราดขึ้นมาพอดี องค์หญิงจึงไม่ได้สงสัยเหตุผลอื่น
เพียงแต่ยามนี้เมื่อเห็นว่านางมีความคิดอ่านเป็ของตนเองก็ทำให้รู้สึกเสียใจและเ็ปเท่านั้น
โดยเฉพาะเื่ราวเ่าั้ที่เกิดขึ้นในวัง กระทั่งหนานิเหอยังรู้ไม่มาก ทว่าไม่รู้นางไปทราบเกี่ยวกับการมีอยู่ของบุตรีตระกูลซ่งจากที่ใดถึงได้ไปหาซ่งซื่อที่บ้านสาม
อันที่จริงไม่ว่าเยี่ยนเจาเจาจะงัดเหตุผลอะไรออกมา ด้วยฐานะของนางก็ไม่จำเป็ต้องไปพบซ่งซื่อด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ำ แต่นางกระตือรือร้นที่จะไปเช่นนี้ ย่อมมีจุดประสงค์บางอย่างแน่
อีกทั้งหลังจากที่องค์หญิงตรัสถามเฝ่ยชุ่ย ปี้สี่ และคนอื่นๆ แล้ว จึงพบว่านิสัยของเด็กสาวเปลี่ยนไปหลังฟื้นจากตกน้ำคราก่อน แม้จะเล็กน้อยจนคนนอกไม่สังเกต แต่มารดาแท้ๆ อย่างพระองค์ รวมถึงบิดา และหญิงรับใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายเจาเจามาตลอดก็ย่อมมองออกเป็ธรรมดา
เมื่อนึกถึงเื่ตกน้ำ พระทัยองค์หญิงพลันบีบรัดขึ้นมา แม้ครานั้นจะช่วยกลับมาได้ แต่หากไม่ได้รับการช่วยเหลือเล่า ดวงใจของนางไม่เสียชีวิตไปโดยใช่เหตุหรือ?
หลังจากที่คิดใคร่ครวญไปหลายต่อหลายอย่าง องค์หญิงก็อดประหม่าเล็กน้อยไม่ได้ แต่พอเห็นบุตรสาวยังมองมาที่ตนด้วยสีหน้าหวาดหวั่น พระองค์จึงถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว “ลูกเอ๋ย ข้าเป็แม่เ้า เหตุใดถึงกลัวข้าเล่า”
เยี่ยนเจาเจาไม่ค่อยกล้าหายใจนัก แต่เมื่อนางกะพริบตา น้ำตาพลันไหลออกมาด้วยเหตุผลบางอย่าง นางจึงโผเข้ากอดท่านแม่พลางร่ำไห้ออกมา “ท่านแม่ ท่านไม่รู้...คราก่อนที่ข้าตกน้ำแล้วป่วยไข้ ข้าฝันเต็มไปหมดเลย ฝันเห็นคนทำร้ายครอบครัวของพวกเรา...”
นางเพิ่งปริปากเล่าไปได้เล็กน้อย สีพระพักตร์ดุดันขององค์หญิงก็เผยความอ่อนโยนออกมา พระองค์ยื่นหัตถ์ไปลูบหลังปลอบโยนเยี่ยนเจาเจาอย่างแ่เบาด้วยความชำนาญ และฟังเสียงร้องทุกข์ของนางอยู่เงียบๆ
สุดท้ายเยี่ยนเจาเจาก็ไม่ได้เล่าเื่ที่ตนกลับมาเกิดใหม่ เพราะคงจะเชื่อได้ง่ายกว่าหากบอกว่าเกิดจากความฝัน แม้จะพูดพร่ำอยู่พักหนึ่งก็ยังไม่กล้าบอกท่านแม่ทั้งหมด
แต่ก่อนเยี่ยนเจาเจาก็เคยร้องไห้ข้างกายองค์หญิงมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่เคยกล้าแสดงอารมณ์ของตนเองอย่างเต็มที่เลยสักครั้ง วันนี้หลังจากร้องไห้เจียนจะขาดใจก็ได้โล่งอกเสียที
องค์หญิงเองก็รู้สึกโล่งพระทัยเช่นกัน เป็เื่ปกติที่เด็กๆ จะกลัวฝันร้าย หากแค่กลัวฝันร้ายก็ไม่มีปัญหาอะไร
ทว่าเนื้อหาในฝันคงไม่น่าอภิรมย์เป็อย่างมากจนนางหวาดกลัวจริงๆ ไม่แปลกเลยที่นิสัยนุ่มนวลก่อนหน้าจะเปลี่ยนเป็เช่นวันนี้ เมื่อพบบางอย่างเกิดขึ้นในวังเข้าหน่อย เป็ต้องรีบกลับเรือนมาตรวจสอบไม่หยุด
เห็นนิสัยปัจจุบันของบุตรสาว องค์หญิงกลับแน่วแน่ความคิดหนึ่งในใจ
เชิงอรรถ
[1] ตำราพิชัยาซุนจื่อ หมายถึง ตำรายุทธศาสตร์การทหารของจีนที่เขียนขึ้นเมื่อราวหกร้อยปีก่อนคริสตกาล โดยผู้เขียนคือนักยุทธศาสตร์คนสำคัญในยุครณรัฐนามว่าซุนจื่อ ซึ่งเนื้อหาในตำราพิชัยาฉบับนี้มีจำนวน 13 บท แต่ละบทเน้นเกี่ยวกับแต่ละแง่มุมของการทำา