คำพูดนี้หลิวฉีซื่อไม่อาจรับได้ ชีวิตนี้นางชื่นชอบที่จะได้อวดความดีงามของตนเองแก่ผู้คน นับแต่นางเกิดในจวนที่เป็อันดับต้นๆ อย่างจวนตระกูลหวง ตอนนี้กลับถูกหลิวจูเอ๋อร์ทำขายขี้หน้า จะไม่ให้เดือดดาลได้อย่างไร ยิ่งรู้สึกอยากตบนางให้ตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“คุณชายน้อย ต้องขออภัยด้วยที่ต้องให้มาเห็นสิ่งที่น่าอับอายเช่นนี้ ข้าว่า หลานสาวข้าทำกับข้าวเสร็จแล้ว ได้ยินว่าคืนนี้ได้ทำไก่ฟ้าที่ท่านล่ามาด้วย หรือไม่ขอเชิญกลับห้องโถงก่อน ข้าจะบอกให้ลูกสาวยกกับข้าวไปให้ เมื่อครู่ท่านเพิ่งจะชมว่านางทำอาหารฝีมือถูกปากท่านไม่ใช่หรือ?”
ซูจื่อเยี่ยไม่ได้มองไปที่หลิวเต้าเซียง แต่มองไปที่หลิวเสี่ยวหลันที่อยู่ข้างหลังเขา ซึ่งแววตาเผยอารมณ์แปลกประหลาดบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านนอก แล้วจึงเอ่ยด้วยท่าทีเ็า “ก็ดี น้ำแกงปลาทำออกมาใช้ได้ คิดว่ากับข้าวอย่างอื่นก็น่าจะเป็เช่นนั้น หากทำให้ข้าพอใจไม่ได้ จะต้องจับมาเฆี่ยนด้วยแส้ชุบน้ำเกลือ ให้เ้าเืเนื้อกระเด็น”
หลิวเสี่ยวหลันที่เดิมทีอิจฉาริษยา เมื่อได้ยินคำพูดต่อท้ายพลันตัวสั่นระริก แอบรู้สึกโชคดีที่กับข้าววันนี้นางไม่ได้เป็คนทำ
ความเยือกเย็นในดวงตาของซูจื่อเยี่ยมองไม่เห็นก้นบึ้ง พูดจบก็ถอยกลับไปห้องโถง เดาว่าคงไปนั่งรอเพื่อทานต่อ
“หลันเอ๋อร์ ยกกับข้าวไปเร็ว”
หลิวฉีซื่อที่เห็นภาพนี้ ได้แต่ยิ้มจนไม่เห็นดวงตา
หลังจากสั่งหลิวเสี่ยวหลันให้ยกกับข้าวไป ก็กำชับนางให้ทำตัวให้เป็การเป็งาน อย่าได้ทำอะไรหกเลอะเทอะบนกระโปรง จากนั้นจึงวางใจให้นางยกอาหารไปยังห้องโถง
เมื่อเห็นนางเข้าไปในห้องโถงและเสียงละเอียดอ่อนดังขึ้น หลิวฉีซื่อพอใจยิ่งนัก นี่สิบุตรสาวที่เชื่อฟังของนาง และเด็กสาวเช่นนี้แล ที่จะได้ใจชายอย่างง่ายดาย
หลังจากวางใจ ถึงได้มีเวลาว่างมาจัดการหลิวจูเอ๋อร์ที่ไม่เชื่อฟัง
“ท่านย่า!”
ในห้องครัวที่เงียบสงบ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงออดอ้อนของหลิวจูเอ๋อร์ดังขึ้น ไม่รู้เพราะเหตุใด คราวนี้หลิวฉีซื่อรู้สึกว่ามันเสียดแก้วหูชอบกล นี่กำลังคิดอยากแย่งความเอ็นดูจากลูกสาวนางหรือ?
เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงระแวดระวัง ยามปกตินางเอาแต่จับตาดูสองพี่น้องหลิวเต้าเซียงกับหลิวชิวเซียง ลืมไปเลยว่าหลิวจูเอ๋อร์เองก็เป็บุปผาที่กำลังจะบานสะพรั่ง บวกกับหลิวจูเอ๋อร์นั้นโตกว่าหลิวเสี่ยวหลันหลายปี และหน้าตาสะสวย หากเกิดเข้าตาคุณชายน้อย นั่นเป็การทำให้บุตรสาวตนเองพลาดโอกาสไม่ใช่หรือ?
“ไม่ต้องเรียกข้า เ้ายังมีย่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือ?”
หลิวฉีซื่อเหมารวมว่าหลิวซุนซื่อไม่ได้สั่งสอนหลิวจูเอ๋อร์ให้ดี จึงด่า “ดูสภาพเ้าสิว่าเป็อย่างไร ส่งสายตาให้ใคร วันๆ เอาแต่ทำตัวร่าน ยังไม่รีบไปเรียกแม่ของเ้ามาอีก วันๆ เอาแต่กินกับนอน เหมือนหมูอย่างไรอย่างนั้น หมูยังขายได้ราคา พวกเ้าดีแต่กิน ไสหัวออกไป ยังไม่ไปอีก?”
นางไม่ได้ปฏิบัติกับหลิวจูเอ๋อร์เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อบุตรสาว เพียงแต่รู้สึกว่าหลิวจูเอ๋อร์เหมือนกับหลิวซุนซื่อ แผ่กลิ่นน้ำมันหมูที่แสนเอียนออกมาทั่วร่าง
“ย่า แม่ข้า...” ดวงตาของหลิวจูเอ๋อร์สั่นไหว ขณะพูดก็คิดอยากจะเบี่ยงเบนหัวข้อไปยังเื่ที่จางกุ้ยฮัวทำร้ายแม่ของนาง
หลิวเต้าเซียงเบะปาก ดวงตามีน้ำตาซึม ขณะที่มองกลับไปที่หลิวฉีซื่อ ก็ชิงตัดหน้าพูดก่อนหลิวจูเอ๋อร์ด้วยท่าทีน่าสงสาร “ย่า ตอนบ่ายป้ารองตำหนิย่า จึงถูกแม่ข้าสั่งสอนไป ตอนนี้ยังนอนอยู่ที่เตียง บอกว่าลุกไม่ขึ้น ปวดเมื่อยเนื้อตัว ตอนนั้นแม่ข้าโมโหเหลือเกิน”
“โกหก หลิวเต้าเซียงเ้าไม่ได้ตายดีแน่ แม่ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” หลิวจูเอ๋อร์โมโหจนหน้าดำหน้าแดง
หลิวฉีซื่อใกับเสียงที่สูงปรี๊ดกะทันหันของนาง และกังวลว่าจะดึงดูดความสนใจจากซูจื่อเยี่ยอีกหน จึงทั้งโกรธและโมโหในใจ เอื้อมมือออกไปตบหลังของหลิวจูเอ๋อร์เต็มแรง หลิวจูเอ๋อร์ไม่ทันตั้งรับกับน้ำหนักมือเช่นนี้ จึงเซจนเกือบล้มลงกับพื้น
“โอ๊ย ท่านย่า เหตุใดจึงตีข้า ข้าพูดสิ่งใดผิดหรือ?”
“เ้ายังตอแหลอีก แม่เ้าด่าว่าอย่างไร?” หลิวฉีซื่อเหลือบมองนางอย่างดุเดือด
“ว่าอะไรน่ะหรือ ก็บอกว่านางเป็นางหมูแพศยาไม่มีพ่อ บอกให้นางปลูกผักแล้วจะตายหรือ ท่านย่า ท่านก็รู้ พวกเราใช้ชีวิตกันอยู่ในตำบลอย่างยากลำบาก ก็เพราะสงสารท่านพ่อกับพี่ชายน้องชายทั้งสองคน” หลิวจูเอ๋อร์เป็คนมีไหวพริบ คำพูดนี้กลับกลายเป็ว่าเพราะรักและเห็นใจหลิวเหรินกุ้ย หลิวจื้อไฉ และหลิวจื้อเป่าทั้งสามคน
เมื่อเห็นหลิวฉีซื่อท่าทีหวั่นไหว หลิวเต้าเซียงก็ไม่พอใจ เบะปากแล้วเอ่ย “ฮึ อย่าคิดว่าไม่รู้ พวกเ้าแอบกินของดี ใช้ของดีลับหลังย่า ยังมีอีก ทุกครั้งที่เอาปลาแห้ง เนื้อแห้งกลับไปจากบ้านนอก พวกเ้าก็เอาไปขายให้กับโรงเตี๊ยม ขายได้เงินมาไม่เคยเห็นเอามากตัญญูตอบแทนให้กับท่านย่าของเรา ข้ายังได้ยินมาว่า ลุงรองเป็เหรัญญิกในโรงเตี๊ยม ได้ของดีติดไม้ติดมือกลับบ้านไม่น้อย พวกเ้ากินดีอยู่ดี ล้วนเพราะว่าได้รับมาจากโรงเตี๊ยม หากไม่ใช่เพราะได้รับมา ลุงรองก็แอบลักกลับมาจากโรงเตี๊ยมเอง”
หลิวเต้าเซียงรอกลนี้อยู่ ยังคิดอยู่เลยว่าจะใช้ไม้นี้อย่างไรดี ปรากฏว่าหลิวจูเอ๋อร์กลับหยิบยื่นโอกาสมาให้ตนเองได้พูดออกมา
นอกจากนี้ยังต้องขอบคุณที่หลิวซุนซื่อที่ไม่ได้อยู่ในห้องครัว มิเช่นนั้น หลิวจูเอ๋อร์คงไม่มีโอกาสพูดเช่นนี้แน่
“เ้า เ้าพูดไปเรื่อย” เมื่อพูดจี้ใจหลิวจูเอ๋อร์ นางจึงหลบตา ไม่กล้ามองหลิวฉีซื่อตรงๆ และยิ่งหวาดกลัว ไม่รู้ว่าหลิวเต้าเซียงรู้เื่ได้อย่างไร
“ข้าไม่ได้พูดไปเรื่อย ท่านย่า หากมีเวลาว่างก็ลองเข้าไปดูที่ตำบล แค่ลองสอบถามดูก็จะรู้ว่าที่ข้าพูดมานั้นไม่ได้โกหก”
หลิวเต้าเซียงลากหลิวฉีซื่อเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว หากหลิวฉีซื่อจะไม่เกลียดหลิวซุนซื่อก็คงแปลก คงกำลังรู้สึกว่านางแพศยาคนนี้กำลังทำอะไรบางอย่าง มิน่าบุตรชายคนรองของตนนับวันก็ยิ่งไม่เชื่อฟัง
นางเพียงแค่คิดเื่นี้ไม่ตก หลิวเต้าเซียงกล่าวต่อ “บ่ายวันนี้เ้ากำลังหว่านล้อมอาเล็กที่บันไดให้ติดกับ พูดจาอ้อมค้อมเอ่ยถามว่าเหตุใดบ้านเราจึงปลูกผักน้อยลง อาเล็กบอกว่าปลูกผักน้อยลงเพื่อที่จะได้เลี้ยงเป็ดไก่เพิ่มขึ้น ถ้าเช่นนั้นเ้าหันเหความคิดไปยังเป็ดไก่เ่าั้ไม่ใช่หรือ? ปรากฏว่ายังบอกว่าแม่ข้าขี้คร้าน ไม่เคารพผู้ใหญ่ ทั้งยังพูดคำหยาบคาย เื่นี้อาเล็กเป็พยานได้ ต่อมาพอปู่กลับมาเห็นเข้าพอดี เ้าไม่ยอมรับความผิดไม่พอ ยังใส่ร้ายให้อาเล็ก ทำให้อาเล็กต้องถูกลงโทษไปด้วย”
หลิวเต้าเซียงไม่ยอมปล่อยให้ครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยได้อยู่อย่างสงบสุข ตอนนั้นพวกเขาข่มขี่ครอบครัวหลิวซานกุ้ยเช่นไร จากนี้ไป นางก็จะเอาคืนเช่นเดียวกัน
“เ้า หลิวเต้าเซียง เ้าพูดโกหก เ้าเอาตาข้างไหนมาเห็น นางตัวดีหน้าไม่อาย วันนี้ข้าจะฉีกปากเน่าๆ ของเ้า” หลิวจูเอ๋อร์โต้เถียงไม่ไหว จึงกล่าววาจาออกมาอย่างไม่น่าฟัง
“เ้ากำลังละอายใจชัดๆ ฮึ น้องรองข้าไม่เห็นก็จริง แต่ข้าดูอยู่ข้างๆ และเห็นทุกอย่างชัดเจน” หลิวชิวเซียงรีบออกตัวทันใด เสริมคำพูดของหลิวเต้าเซียงอีกแรง
แน่นอนว่า การมีเพื่อนร่วมทีมดั่งเทพ เสมือนดั่งเสือติดปีก
หลิวต้าเซียงไม่เชื่อว่าหลิวฉีซื่อจะไม่เก็บไว้ในใจ ทางม้าลายไม่ได้สร้างในวันเดียว นางยุแยงตะแคงรั่วอยู่บ่อยหน หลิวฉีซื่อเกิดความไม่พอใจหลิวซุนซื่อที่เกียจคร้านมานาน ตอนนี้พอได้ยินว่าหลิวเหรินกุ้ยคิดออกนอกลู่นอกทาง หาเงินมาได้ไม่ยกให้แม่ แต่กลับยกให้หลิวซุนซื่อที่เป็คนนอก ในใจยิ่งเกิดความรับไม่ได้ จะไม่โกรธเคืองได้อย่างไร
หนนี้หลิวฉีซื่อเดือดดาลของจริง เมื่อเห็นหลิวเต้าเซียงกำลังก้มลงเก็บที่คีบบนพื้น ก็เอื้อมมือออกไปทันใด ปัดหลิวเต้าเซียงไปอีกทาง คว้าที่คีบบนพื้นขึ้นมาแล้วฟาดลงไปที่หลิวจูเอ๋อร์ พร้อมกับด่า “มารดาเถอะ นางแพศยาตัวดี เงินที่ข้าอุตส่าห์สู้พยายามกัดฟันได้มา ประหยัดกินประหยัดใช้ ดันมาเลี้ยงพวกสุนัขจิ้งจอกตาขาวอย่างพวกเ้า มีแต่หมูตัวเมีย คลอดลูกไม่ได้ จะเอามาทำมะเขืออะไร”
“ท่านย่า!” ในขณะที่หลบนาง หลิวจูเอ๋อร์ก็วิ่งไปทางห้องปีกตะวันออก ร้องะโหาแม่ขณะวิ่งไปด้วย “ท่านแม่ รีบลุกขึ้นเร็ว เกิดเื่แล้ว”
ซี้ด!
คำพูดเหล่านี้ราวกับสาดน้ำเย็นใส่กระทะน้ำมันที่กำลังเดือด ไฟในใจของหลิวฉีซื่อนั่นจู่โจมขั้วสมอง แผดเผาจนดวงตาของนางแดงก่ำ ส่งเสียงซู่ซ่า ที่คีบในมือขว้างไปทางหลิวจูเอ๋อร์
เคร้ง!
ที่คีบกระแทกกับประตูห้องปีกตะวันออก หลิวจูเอ๋อร์คล่องแคล่ว หลบออกอย่างรวดเร็ว เห็นท่าทางโกรธเกรี้ยวของหลิวฉีซื่อ นางสะดุ้งใจนรีบปิดประตูโดยไม่แม้แต่จะคิด
หลิวจูเอ๋อร์หลบไปได้ย่อมไม่กล้าออกมาจากห้องนั้นอีก หลิวเต้าเซียงยื่นมือออกมาลูบคางน้อยๆ ภาพนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน ทิศทางลมหมุนเปลี่ยนอย่างแท้จริง
จากนั้นก็ตบฝุ่นบนก้นเล็กๆ ของตนเองอย่างพึงพอใจ เรียกแม่ของตนให้เข้ามากินน้ำแกงปลาในห้องครัว
เมื่อโลกสงบ น้ำแกงปลาก็อร่อย
จางกุ้ยฮัวพาสองพี่น้องกินข้าวด้วยกันในห้องครัว
ในที่สุดหลิวต้าฟู่ก็เรียกหลิวซานกุ้ยมากินข้าวเป็เพื่อนที่ห้องโถง ส่วนหลิวฉีซื่อกับหลิวเสี่ยวหลันไม่ต้องเอ่ยถึง ต้องกินข้าวอยู่ในห้องโถงอยู่แล้ว
ส่วนหลิวซุนซื่อที่ถูกทุบตี กับหลิวจูเอ๋อร์ที่ใจนขวัญหนีดีฝ่อ ย่อมไร้คนเหลียวแล
หลิวเต้าเซียงถือชามกระเบื้องไว้ ซดน้ำแกงปลาดุจน้ำนมจนหมดพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วจึงวางชามลงและเอ่ย “ท่านแม่ กินให้เยอะหน่อย ได้ยินมาว่าปลาชนิดนี้กินแล้วบำรุงร่างกายยิ่งนัก”
หลิวชิวเซียงตักเนื้อปลาในถ้วยออกมา แบ่งให้จางกุ้ยฮัวกับหลิวเต้าเซียง “ท่านแม่ น้องรอง พวกเ้ากินเยอะๆ นะ”
“ไม่ได้หรอก พวกเ้ากำลังโต ต้องกินเยอะหน่อย แม่ซดแค่น้ำแกงก็พอ จะได้มีน้ำนม พวกเ้าสามพี่น้องมีบุญเหลือเกิน เกิดมาไม่ต้องตรากตรำนัก” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงของจางกุ้ยฮัวก็ค่อยๆ เบาลง ว่ากันว่าต้องเป็แม่คนจึงจะรู้คุณค่าของการเลี้ยงดู
จางกุ้ยฮัวจำแม่ผู้แก่ชราของตนเองได้ นับั้แ่น้องชายของนางจากไป นางก็ไม่ค่อยได้กลับไปบ้านแม่ ใช่ว่าไม่อยากไป แต่หลิวฉีซื่อไม่อนุญาต
“ท่านแม่ ท่านเป็ห่วงยายที่อยู่คนเดียวหรือ?” หลิวชิวเซียงนั้นเป็ผู้ใหญ่กว่า ย่อมรู้เื่ไม่น้อย
“ยาย?” หลิวเต้าเซียงกัดตะเกียบ กะพริบตาที่กลมโตดุจเม็ดอัลมอนด์ มองทั้งสองคนด้วยท่าทีสงสัย ั้แ่นางข้ามมิติมา ก็ไม่เคยได้ยินทั้งสองเอ่ยถึงมาก่อน
จางกุ้ยฮัวถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ยายของเ้ารักใคร่เ้ามาก เพียงแต่ในบ้านไม่มีผู้ชายค้ำจุน น้าของเ้าก็…ชีวิตของนางไม่ดีเท่าไรนัก แม่คิดอยากช่วยแต่ก็ไม่มีความสามารถนั้น ย่าของเ้าเข้มงวดกับของในบ้านยิ่งนัก หากว่าตรงไหนขาดตกไป นางย่อมรู้ดี”
หลิวเต้าเซียงเดาว่า จางกุ้ยฮัวรู้สึกว่าชีวิตของนางดีขึ้นเรื่อยๆ และนาง้าช่วยยายผู้แสนดี
“ไม่อย่างนั้น เราหาวันไปเยี่ยมยายกันเถิด น้องสามก็ใกล้จะครบสองเดือนแล้ว ยายยังไม่เคยเห็นเลย”
หมู่บ้านสามสิบลี้นั้นมีธรรมเนียมประเพณี แม่หม้ายนั้นจะไปบ้านคนอื่นเรื่อยเปื่อยไม่ได้ แม้จะเป็บ้านบุตรสาวเองก็ห้าม ส่วนหลิวฉีซื่อรู้สึกว่าบ้านแซ่จางนั้นอับโชค แต่ที่ไม่ค่อยให้จางกุ้ยฮัวกลับบ้านแม่ก็ยังมีอีกหนึ่งเหตุผล เพราะกลัวว่านางจะแบ่งเอาของที่บ้านไปให้
-----
