วันเวลาล่วงเลยอย่างรวดเร็ว เพียงแค่พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน
“พละกำลังแปดพันจิน ะเิออก”
ร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเืของเยี่ยเฉินเฟิงกระทืบเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว เืเนื้อทั่วร่างพากันกู่ร้องลั่น มวลพลังกายและพลังิญญาที่ไข่โลหิตปลดปล่อยออกมารวมกันเป็หนึ่ง ไหลทะลักเข้าสู่แขนทั้งสองข้างราวกับกระแสน้ำหลาก กระหน่ำโจมตีหน้าอกของหมีคลั่งขนดำเบื้องหน้าอย่างหนักหน่วง มันมีร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยแพขนสีดำเข้ม ตัวสูงใหญ่ราวหกเมตรและมีดวงตาแดงก่ำดุจโลหิต
“โครม” เสียงดังสนั่นปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างหมีคลั่งขนดำที่ขึ้นชื่อเื่พละกำลังถูกหมัดคู่ของเยี่ยเฉินเฟิงต่อยจนกระเด็นลอยออกไป ใบหน้าที่ปกคลุมด้วยแพขนหนายุบลงไปเป็หลุมลึก เืและชิ้นส่วนอวัยวะที่แหลกเหลวจำนวนมากพ่นออกมาจากปากของมัน
หนึ่งในเ้าถิ่นของเทือกเขาไป๋อวิ๋นอย่างหมีคลั่งขนดำถูกเยี่ยเฉินเฟิงชกหมัดเดียวตาย นอนแน่นิ่งอยู่กลางแอ่งเืเจิ่งนอง
หลังจากสังหารหมีคลั่งขนดำแล้ว จิตอสูรไข่โลหิตของเยี่ยเฉินเฟิงก็ปรากฏรอยแตกร้าวที่ห้าขึ้น พลังิญญาระลอกใหญ่ดุจน้ำจากประตูเขื่อนไหลทะลักเข้าสู่เส้นลมปราณทั่วร่างของเขา
ยามนี้ต่อให้เยี่ยเฉินเฟิงจะอยากฝืนกดระดับเขตแดนไว้เพียงไรก็ไม่อาจทำได้อีกต่อไปแล้ว หลังจากจิตอสูรไข่โลหิตได้ซึมซับพลังิญญาจนเต็มเปี่ยม มันก็ทะลวงเข้าสู่เขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหกโดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังเป็เขตแดนที่มั่นคงเองโดยไม่ต้องสร้างเสถียรภาพใดใด
“ฟู่ ถึงเวลาต้องกลับไปยังเมืองไป๋ตี้เพื่อเข้าร่วมการทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้แล้วสินะ ไม่รู้ว่าเื่ที่เจียงซานสุ่ยตายไปจะถูกบิดเบือนจนเละเทะขนาดไหนแล้ว ตระกูลไป๋คงไม่ขายข้าเอาตัวรอดหรอกกระมัง”
เยี่ยเฉินเฟิงพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เขาชำระล้างร่างกายในสระน้ำลึก ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ เดินทางออกจากเทือกเขาไป๋อวิ๋น กลับไปที่เมืองไป๋ตี้
เพราะแอบกังวลว่าตระกูลไป๋จะทนรับแรงกดดันไม่ไหวจนเปิดโปงตัวตนของเขา เยี่ยเฉินเฟิงจึงได้ปลอมตัวและสวมหน้ากากหนังมนุษย์ ลอบสืบข่าวคราวที่เกิดขึ้นในเมืองไป๋ตี้ก่อนสักเล็กน้อย
จนกระทั่งได้รู้ว่ายอดฝีมือของตระกูลเจียงที่มาก่อกวนอาละวาดจนเมืองไป๋ตี้สับสนอลหม่านเดินทางกลับไปหมดแล้ว และเมืองไป๋ตี้ก็กลับเข้าสู่สภาวะสงบสุขดั่งเดิมแล้ว เขาจึงได้ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
หลังยืนยันจนมั่นใจว่าตระกูลไป๋ไม่ได้ขายตนเอง เยี่ยเฉินเฟิงก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง เขาเช่าห้องพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อรอให้การทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ในเช้าวันพรุ่งนี้มาถึง
แสงตะวันยามเช้าย้อมท้องฟ้าจนเป็สีแดงเข้ม ราวกับภาพวาดทิวทัศน์อันงดงาม ชวนให้คนรู้สึกเบิกบานใจ
หลังจากทานมื้อเช้าที่โรงเตี๊ยมเสร็จแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็หันหน้าเผชิญกับแสงยามรุ่งอรุณ เดินเท้าไปยังสำนักฝึกยุทธ์ในเมือง
เนื่องจากวันนี้เป็วันจัดการทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ เมืองไป๋ตี้จึงมีบรรยากาศคึกคักเป็อย่างมาก บรรดาศิษย์ที่ออกไปแสวงหาประสบการณ์ด้านนอกสำนักต่างก็กลับมากันเกือบครบ
“เอ๊ะ ข้าไม่ได้มองผิดใช่ไหมเนี่ย นั่นเยี่ยเฉินเฟิงมิใช่หรือ ไม่คิดว่าวันนี้เ้าจะกล้าโผล่หน้าออกมาเสียด้วย ข้าคิดว่าเ้าที่ไปล่วงเกินคุณชายใหญ่เหลียนเอาไว้จะกลัวจนหางจุกตูดไม่กล้าสู้หน้าใครเสียอีก”
เยี่ยเฉินเฟิงเพิ่งจะเดินมาถึงประตูทางเข้าสำนัก น้ำเสียงยียวนกวนเบื้องล่างก็ดังกระทบหูเสียก่อน
ตี๋วั่นเสียนปรากฏกายขึ้นพร้อมกับลูกผู้ดีมีสกุลอีกสามคนเื้ั เขาสวมชุดคลุมยาวงดงามหรูหรา ใบหน้าประดับรอยยิ้มชั่วร้าย ยืนกั้นขวางเส้นทางของเยี่ยเฉินเฟิง
“ตี๋วั่นเสียน ข้าเพิ่งรู้ว่าเ้าช่างเป็สุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของเหลียนอวี้หลงโดยแท้ เป็สุนัขได้ถึงแก่นแท้เช่นเ้านับว่าเป็ขอบเขตอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ” ได้ยินคำพูดถากถางของตี๋วั่นเสียน นอกจากเยี่ยเฉินเฟิงจะไม่รู้สึกโกรธแล้ว ยังเห็นอีกฝ่ายเป็เพียงตัวตลกที่ชอบเต้นแร้งเต้นกาขวางหูขวางตาอีกด้วย
“เ้าบัดซบเยี่ยเฉินเฟิง เ้ากล้าด่าข้าเป็สุนัขเชียวเรอะ?” ได้ยินคำด่าทอของอีกฝ่าย ตี๋วั่นเสียนก็โกรธเป็ฟืนเป็ไฟ คาดคั้นอีกฝ่ายด้วยความเดือดดาล
“เออ ข้าด่าเ้าเป็สุนัข แล้วเ้ามีปัญญาทำอะไรข้ารึไงล่ะ?” เยี่ยเฉินเฟิงเหลือบมองตี๋วั่นเสียนที่โกรธจนควันออกหู ตอบกลับอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้า
“เ้า...”
ตี๋วั่นเสียนเดือดดาลจนเกือบจะอกแตกตาย เขาไม่คิดเลยว่าความตายอยู่ตรงหน้าแท้ๆ เยี่ยเฉินเฟิงจะยังวางท่าทีอวดดีได้
แต่พอนึกถึงพลังกายสุดแข็งแกร่งของอีกฝ่ายที่ตัวเองไม่อาจต่อกรได้แม้แต่น้อย เขาก็ได้แต่กัดฟันข่มกลืนความโกรธลงท้องไป ไม่กล้าลงไม้ลงมือ
“หลบไปให้พ้นซะ อย่ามาขวางหูขวางตาของข้าอีก” เยี่ยเฉินเฟิงจ้องมองตี๋วั่นเสียน ออกคำสั่งกับเขาอย่างเยือกเย็น
“หากข้าไม่ยอมหลบล่ะ?” ตี๋วั่นเสียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฝืนพูดอย่างอวดเก่ง
“ถ้างั้นข้าก็จะทำให้เ้ารู้สึกเสียใจเอง” เยี่ยเฉินเฟิงเอ่ยอย่างเ็า ปลดปล่อยจิตสังหารที่สั่งสมจากการรบราฆ่าฟันอย่างโเี้โดยไม่คิดจะออมมือ ส่งกระแสจู่โจมก้นบึ้งจิตใจของตี๋วั่นเสียน ทลายแนวป้องกันทางจิตใจของเขาจนราบเรียบ
ให้เขาได้ััความรู้สึกเหมือนร่วงสู่ขุมนรก สองขาอ่อนยวบจนต้องทรุดตัวลงไปกองกับพื้น
“ตี๋วั่นเสียน เ้ามันอ่อนหัดเกินไป” เมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวและลมหายใจหอบกระชั้นของตี๋วั่นเสียน เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่คิดจะสนใจเขาอีก เขาเลือกที่จะเดินผ่านอีกฝ่ายเข้าไปในสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้แทน
‘เยี่ยเฉินเฟิง เ้าอย่าโอหังให้มันมากนัก คุณชายใหญ่เหลียนจะต้องล้างแค้นแทนข้าแน่’ ตี๋วั่นเสียนที่ถูกทำให้อับอายขายหน้ามองตามแผ่นหลังของเยี่ยเฉินเฟิง ลอบสาบานในใจเงียบๆ
หลังจากเข้ามาในสำนักฝึกยุทธ์ เยี่ยเฉินเฟิงก็ตรงไปที่ลานประลองยุทธ์สำหรับจัดสอบทันที เฝ้ารอให้ถึงเวลาเริ่มต้นการทดสอบปลายปี
การทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไม่มีอะไรยุ่งยาก เพียงแค่จัดการประลองฝีมือขึ้นระหว่างศิษย์ในสำนัก เปรียบเทียบผลงานและจัดลำดับตามคะแนนที่แต่ละคนได้
เยี่ยเฉินเฟิงรออยู่ภายในสนามประลองประมาณสิบนาที ทันใดนั้นก็ััได้ว่ามีสายตามุ่งร้ายของบางคนกำลังจับจ้องมาทางเขา เมื่อเบนศีรษะกลับไปมองจึงได้ประสานสายตากับเหลียนอวี้หลงผู้ขึ้นชื่อว่าเป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักเข้าพอดี
“เยี่ยเฉินเฟิง วันนี้ข้าจะอัดเ้าจนเละท่ามกลางสายตาของคนทั้งหมดที่นี่ เอาให้เ้าไม่กล้าเสนอหน้าอยู่ในเมืองไป๋ตี้อีกต่อไปเลย” เหลียนอวี้หลงขยับปากเป็คำพูด ดวงตาทอประกายดุร้าย
”แล้วข้าจะรอ” เยี่ยเฉินเฟิงขยับปากโต้ตอบอีกฝ่าย ก่อนจะหันหน้ากลับมาและเมินเฉยต่อเขา
นอกจากเหลียนอวี้หลง ในหมู่ผู้คนยังมีอีกหนึ่งสายตาที่จับจ้องมาทางเยี่ยเฉินเฟิง คนผู้นั้นก็คือเฉียวจิ้งยวนที่เขาเคยช่วยเอาไว้นั่นเอง
นางคิดจะใช้การทดสอบในครั้งนี้ยืนยันให้แน่ใจว่าเยี่ยเฉินเฟิงใช่คนที่ช่วยเหลือนางในคืนนั้นหรือไม่
เมื่อใกล้จะถึงเวลาเริ่มการทดสอบแล้ว ที่นั่งคนดูบนอัฒจันทร์ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คน ไป๋ซีซานผู้เป็ดั่งเสาหลักของตระกูลไป๋ ไป๋เจียงสุ่ยที่ดำรงตำแหน่งเ้าเมืองไป๋ตี้และไป๋ซีหย่าที่แต่งกายมาอย่างพิถีพิถันจนงดงามสะดุดตาต่างก็นั่งอยู่บนอัฒจันทร์กันครบถ้วน และมุ่งความสนใจมาที่การทดสอบของเยี่ยเฉินเฟิง
ตอนที่ไป๋ซีหย่ามองเห็นเยี่ยเฉินเฟิงผู้มีบุคลิกท่วงท่าสง่างามและดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมาย ใบหน้างดงามก็ปรากฏร่องรอยของความคาดหวังขึ้น นางคาดหวังให้เขาได้แสดงพลังอำนาจอันดุดันองอาจให้ทุกคนได้เห็น
“เอาล่ะ ทุกคนเงียบก่อน วันนี้เป็วันจัดการทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ เนื่องจากจำนวนของผู้มีสิทธิ์สอบประเมินเข้าสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์มีอยู่น้อยมาก สำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ของเราจึงแย่งชิงมาได้เพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น ดังนั้นในปีนี้จึงมีเพียงคนที่ได้อันดับหนึ่งเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบรอบสุดท้ายของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์”
เ้าสำนักของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้ ชายชราผู้มีเส้นผมสีดอกเลายืนขึ้นตรงที่นั่งอัฒจันทร์หลัก เอ่ยประกาศขึ้นเสียงดังก้อง
“มีเพียงแค่ตำแหน่งเดียวเช่นนี้ คงหนีไม่พ้นต้องเป็ท่านแล้วล่ะนายน้อยเหลียน” ตี๋วั่นเสียนเปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคนกัน เอ่ยวาจายกยอด้วยสีหน้าประจบประแจง
“ย่อมเป็เช่นนั้นแน่ ด้วยพลังที่แท้จริงของนายน้อยเหลียน อย่าว่าแต่สำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้แห่งนี้เลย คิดว่าต่อให้อยู่ในสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ยังถือได้ว่าเป็ผู้มีพร์ไม่เป็สองรองใคร”
กลุ่มศิษย์มีชาติตระกูลในสำนักฝึกยุทธ์ที่รุมล้อมอยู่ผลัดกันประจบประแจงเขาเสียยกใหญ่
“อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย คนที่จะเป็ศิษย์ในสำนักอัคคี์ได้ล้วนแต่เป็อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ เพียงแต่ขอเวลาให้ข้าได้ฝึกฝนสักหน่อย ข้ามั่นใจว่าจะสามารถรุ่งโรจน์อยู่ในสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ได้แน่”
ทำราวกับว่าตำแหน่งเข้าร่วมการทดสอบของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ถูกเขาจับจองเอาไว้แล้ว
“เอาล่ะ การทดสอบปลายปีของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้จะเริ่มต้น ณ บัดนี้ ทุกคนสามารถขึ้นเวทีมาขอท้าประลองได้เลย” เ้าสำนักประกาศเสียงดัง
สิ้นเสียงของเ้าสำนัก เหลียนอวี้หลงพลันเหลือบมองไปทางเยี่ยเฉินเฟิงที่อยู่ไกลออกไป เขาเหยียบย่างขึ้นไปบนเวทีประลองเป็คนแรกซึ่งถือเป็เื่เหนือความคาดหมายของทุกคน มือข้างหนึ่งถือหอกยาวปลายแหลมคมสีดำฉลุลายก้นหอย ยกปลายหอกชี้ใส่เยี่ยเฉินเฟิงที่อยู่ด้านล่างเวทีพร้อมกล่าวท้าทาย “เยี่ยเฉินเฟิง ข้าขอท้าประลองกับเ้า เ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่?”
