หลังจากที่น้ำชาสาดลงบนพื้นก็ปรากฏเป็ฟองฟอดขาวๆฉุนร้อนขึ้นมาเป็วงกว้างอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
เกิดในวงศ์สกุลแพทย์ หากยังดูไม่ออกว่าในน้ำชานี้ถูกคนวางยาพิษ เช่นนั้นก็เป็คนโง่แล้ว
ทุกคนต่างประหลาดใจกับความสามารถในการวิเคราะห์พิษของซูจิ่นซีทั้งยังเริ่มรู้สึกกระวนกระวายและหวาดกลัวขึ้นมา
นี่เป็ไอ้คนสารเลวไร้สมองที่ใดกัน?
ดูไม่ออกหรืออย่างไรว่าตอนนี้ซูจิ่นซีไม่ใช่ซูจิ่นซีที่เคยเป็คนนั้นแล้ว?
เหตุใดถึงได้กล้าทำเื่โง่เง่าเช่นนี้นี่ไม่ใช่หนูที่ตกลงไปตายในหม้อน้ำแกง [1] หรอกหรือ?
“พระชายาเพคะ ท่านไม่ต้องกังวลไปนะเพคะ ผู้ใดเป็คนกระทำเื่นี้ พี่หญิงจะต้องสืบหาความจริงให้ปรากฎเพื่อมาอธิบายกับท่านอย่างแน่นอน”อนุนางหนึ่งกล่าวขึ้น
“หลิงจือ... หลิงจือ”
เสียงของเด็กชายดังมาจากที่ไกลๆพร้อมกับลูกสุนัขสีขาวตัวหนึ่งวิ่งหางกระดิกเข้ามา มันวิ่งไปที่เท้าของซูจิ่นซีและเลียน้ำบนพื้น
ใบหน้าของฝูงชนต่างตื่นตระหนกขึ้นอีกครั้ง
ซูเซียนฮุ่ยรีบเข้ามาอุ้มลูกสุนัขสีขาวที่กำลังเลียน้ำชาพิษ ทว่าไม่ทันเสียแล้ว
สุนัขสีขาวที่ถูกซูเซียนฮุ่ยอุ้มขึ้นมาเริ่มมีฟองฟอดสีขาวฟูมปากแขนขาถีบเตะไปสองครั้ง จากนั้นก็แน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของซูเซียนฮุ่ย ไม่ขยับอีกเลย
“หลิงจือ... ”
เด็กผู้ชายคนหนึ่งสวมชุดผ้าแพรต่วนสีเขียวเข้ม อายุราวสิบห้าสิบหกปี เขาวิ่งพุ่งเข้ามากอดลูกสุนัขในมือของซูเซียนฮุ่ยแล้วเริ่มร้องไห้“หลิงจือ เ้าเป็อันใดไปเล่า หลิงจือ... ”
ซูจิ่นซีจำเด็กผู้ชายคนนี้ได้ เขาเป็บุตรชายของฮั่วซื่อ ‘ซูจวิ้น’ และเป็น้องชายของซูเซียนฮุ่ยเช่นกัน ซูจวิ้นมักอาศัยตำแหน่งมารดาของตนและสถานภาพบุตรชายของฮูหยินจึงถือตัวและชอบใช้อำนาจเป็ที่สุด เมื่อก่อนก็เคยรังแกซูจิ่นซีไว้ไม่น้อย
“จวิ้นเอ๋อร์ ไม่รู้จักเจียมตัวมองไม่เห็นพี่หญิงเจ็ดของเ้าอยู่ที่นี่หรือ? ยังไม่รีบเข้ามาคำนับพี่หญิงเจ็ดของเ้าอีก”ฮั่วซื่อกล่าวตำหนิ
ฮั่วซื่อไม่พูดก็ไม่เป็อันใด ทว่าเมื่อพูดออกไปแล้วก็ทำให้ซูจวิ้นะเิอารมณ์ทันที“พี่เจ็ดกระไร? ซูจิ่นซี นางนับเป็คนสกุลซูด้วยหรือ?แม้แต่สาวใช้ที่แสนต่ำต้อยในเรือนของข้าก็ยังเทียบไม่ได้ นางเป็เพียงคนโง่คนหนึ่งคนโง่เขลาที่โตมาทั้งขี้เหร่ ทั้งโง่”
“จวิ้นเอ๋อร์! ”
ฮั่วซื่อดึงมือซูจวิ้นไว้
“ซูจิ่นซีเล่า! เ้าออกมานะ! เ้าสังหารสุนัขของข้าใช่หรือไม่? ใช่เ้าหรือไม่? ออกมา... ”
ซูจวิ้นมองไปรอบๆ ห้องโถง พร้อมทั้งตะเบ็งเสียงร้องขึ้นมา ทว่ากลับมองไม่เห็นซูจิ่นซีผู้โง่เขลาเหมือนกาลก่อนนั้น
“บังอาจ! พระชายาก็อยู่ที่นี่ ที่นี่เป็ที่ที่เ้าควรกำเริบเสิบสานอย่างนั้นหรือ?”
ทันใดนั้นแม่นมฮวาที่ยืนอยู่ด้านข้างก็กล่าวตําหนิอย่างรุนแรง
ซูจวิ้นหยุดเสียงะโในทันที เขาหันไปมองแม่นมฮวา ทว่าไม่ได้มองซูจิ่นซี
“นังแก่นี่ เ้ามาจากที่ใด! ”
แม่นมฮวากล่าวด้วยท่าทางสง่างามอย่างแท้จริง“ข้าเป็แม่นมข้างกายที่คอยดูแลพระชายา”
“พระชายา... ”
ครานี้ซูจวิ้นถึงจะมองไปทางซูจิ่นซี หลังจากที่ชะงักไปพักหนึ่ง ซูจวิ้นก็พลันตกตะลึงขึ้นมาในทันใด“ท่าน... ท่านคือซูจิ่นซี? ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างแ่เบา “ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็ผู้ใด?ซูจวิ้น เ้าไม่รู้จักข้าแล้วหรือ? ”
ในความทรงจำของซูจวิ้น ซูจิ่นซีคือผู้ที่เหี่ยวเฉา ซูบผอมผิวหน้าเหลืองเนื่องจากการขาดสารอาหารเป็เวลานานยิ่งไปกว่านั้นยังมีรอยพิษบนใบหน้า เป็หญิงสาวต่ำช้าที่อัปลักษณ์เหลือทน เพราะนางไม่เป็ที่ชื่นชอบในจวนสกุลซูดังนั้นจึงไม่เคยได้สวมใส่ชุดดีๆ สักตัว
ทว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าในขณะนี้กลับมีใบหน้างดงามอ่อนช้อยกระทั่งเรียกได้ว่าสง่างามจนไม่เป็สองรองจากผู้ใด นางแต่งกายหรูหรา สง่าผ่าเผยชวนให้ผู้คนหลงใหล
เหตุใดซูจิ่นซีถึงมีภาพลักษณ์เช่นนี้
“ท่าน... ท่านไม่ใช่ซูจิ่นซี ท่านเป็ผู้ใดกันแน่? ”
ซูจวิ้นตกตะลึง ถอยหลังออกไปสองก้าวในทันที
“ซูจวิ้น ดูเหมือนว่าโรคโง่ของสกุลซูจะติดต่อกันได้!คาดไม่ถึงว่าตอนนี้มันได้แพร่กระจายไปยังตัวเ้าแล้ว เหตุใด...แม้แต่พี่หญิงอย่างข้าเ้าก็ไม่รู้จักกันเสียแล้ว? คงเพราะเมื่อก่อนเ้ากับข้าไม่ได้เล่นด้วยกัน!”
ซูจวิ้นก้าวเข้าไปใกล้ซูจิ่นซีเล็กน้อย มองซูจิ่นซีอย่างละเอียด “ท่าน...ท่านคือซูจิ่นซีจริงหรือ? ”
ซูจิ่นซียิ้มอ่อน ไม่ได้พูดอันใด
ทันใดนั้นซูจวิ้นก็ชี้นิ้วไปที่ซูจิ่นซี กล่าวว่า “ซูจิ่นซีเหตุใดเ้ายังไม่ตาย? แล้วรอยพิษบนใบหน้าของเ้าเล่า?เสื้อผ้าและเครื่องประดับเหล่านี้อีก เ้าไปเอามาจากที่ใดกัน?ไม่ใช่ไปขโมยมาหรอกหรือ? แล้วก็เ้า...ลวี่หลี พวกเ้าไม่ได้ขายตนเองที่จุ้ยหงโหลวแล้วนำเงินไปซื้อของพวกนี้ใช่หรือไม่?”
ซูจวิ้นถูกฮั่วซื่อและซูจ้งตามใจจนเสียผู้เสียคน คำพูดใดๆ มักพูดจาอย่างโผงผางไม่รู้จักกาลเทศะกระทั่งไม่ได้ใช้สมองคิดไตร่ตรองคำถาม
ใบหน้าของฮั่วซื่อไม่สบอารมณ์ นางละล่ำละลัก ทว่ายังไม่ทันที่นางจะตำหนิซูจวิ้นแม่นมฮวาก็ตบเข้าที่ใบหน้าของซูจวิ้นอย่างแรง
“บังอาจ กล้าพูดจาไม่สุภาพเกรงใจ พูดให้ร้ายต่อพระชายา”
ซูจวิ้นถูกตีไปหลายครั้ง รอยนิ้วทั้งห้าประทับอยู่บนใบหน้า เขาจ้องมองแม่นมฮวา“นังแก่ตายยาก กล้าตบข้า”
โตมาถึงเพียงนี้ ซูจวิ้นเพิ่งเคยถูกตีเป็ครั้งแรก เขาร้องไห้วิ่งพุ่งเข้าไปหาแม่นมฮวาราวกับหมาบ้า
ในตอนที่ซูจวิ้นกำลังจะกระโจนเข้ามา แม่นมฮวาก็ย้ายร่างหลบได้อย่างแม่นยำ ศีรษะของซูจวิ้นจึงกระแทกลงบนโต๊ะ
ซูจวิ้นถูกกระแทกไม่เบา ฉับพลันก็มีเืไหลที่หน้าผาก จวนเจียนจะหมดสติไป
แม้ฮั่วซื่อจะรู้สึกเป็ทุกข์แทนบุตรชายของตนมาก ทว่าด้วยเหตุผลแล้ว นางไม่อาจฉีกหน้าซูจิ่นซีซึ่งหน้าได้ดังนั้นนางจึงอดทนไว้อย่างถึงที่สุด
ทว่าซูเซียนฮุ่ยกลับทนไม่ได้ ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้นมาและพูดกับซูจิ่นซีว่า“ซูจิ่นซี เ้าพอได้แล้ว เ้าวางตัวเป็พระชายาโยวอ๋อง กลับมาก็คุยโม้โอ้อวดหรือ?”
อนุหลิ่วเดินเข้ามาใกล้ซูเซียนฮุ่ยในทันที พลางหัวเราะเย้ยหยัน “ใช่สิ!วางตนเหนือกว่าอันใดกัน? เป็พระชายาก็เลิศเลอแล้วหรือ?ตอนที่เข้ามาก็มาพร้อมกับความเกลียดชังอย่าว่าแต่หลิงจือของน้องจวิ้นที่ตายไปเลยคาดไม่ถึงว่าตอนนี้สาวใช้ชั้นต่ำของเ้ายังมาตีน้องจวิ้นอีกถึงอย่างไรน้องจวิ้นก็เป็น้องชายแท้ๆ ของเ้า ซูจิ่นซี เ้าช่างมีความสามารถเสียจริง”
อนุหลิ่วผู้นี้ช่างกลับกลอก จงใจพูดให้ขาวกลายเป็ดำ
อย่างไรก็ตาม คำพูดยุแยงของนางกลับใช้ได้ผลจริงๆ ไม่รอให้ซูจิ่นซีตอบกลับซูจวิ้นที่อยู่ด้านข้างก็ะเิอารมณ์ขึ้นมาในทันที เขารีบเข้าไปฉีกทึ้งเสื้อผ้าของซูจิ่นซี“ซูจิ่นซี หลิงจือของข้าถูกเ้าวางยาพิษตาย เ้ามันเป็คนเลวทรามต่ำช้าเ้าต้องชดใช้ให้หลิงจือของข้า ชดใช้ให้หลิงจือของข้า”
ซูจิ่นซีไม่พูดจา ทว่ามองไปยังฮั่วซื่อ
แทนที่ซูจิ่นซีจะจัดการด้วยตนเอง ไม่เท่าให้ฮั่วซื่อสะสางจัดการเล่า
ไม่ใช่ว่าฮั่วซื่อหน้าไหว้หลังหลอกยิ่งนักหรอกหรือ? นางไม่ได้ชอบเสแสร้งหรอกหรือ?ซูจิ่นซี้าดูว่าฮั่วซื่อจะเสแสร้งไปได้ถึงเมื่อใด
ฮั่วซื่อเข้าใจความหมายของซูจิ่นซีในทันที มือที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อกำแน่นหลังจากกัดฟันกรอด ฮั่วซื่อก็เข้ามาดึงตัวซูจวิ้นที่ติดกับซูจิ่นซีแล้วตบเข้าไปที่ใบหน้าของซูจวิ้นอย่างรุนแรง
ฝ่ามือนี้หนักยิ่งกว่าที่แม่นมฮวาตบเสียอีก ซูจวิ้นถูกตีจนกัดลิ้นเืไหลออกมาจากมุมปาก
ซูจวิ้นไม่เคยคิดมาก่อนว่ามารดาแท้ๆ ที่เอ็นดูตนมาโดยตลอด มารดาที่ปกป้องยกยอตนไว้ในมือคาดไม่ถึงว่าจะตีเขาได้
น้ำตาของซูจวิ้นไหลออกมาในทันใด
“ท่านแม่ คาดไม่ถึงว่าท่านจะตีข้า คาดไม่ถึงว่าท่านจะตีข้าเพื่อซูจิ่นซีนังคนสารเลวนี่แท้จริงแล้วข้าเป็ลูกที่ท่านให้กำเนิดมาหรือว่าเป็ซูจิ่นซี นังคนสารเลวคนนี้กันแน่?ท่านพูด ท่านพูดสิ! ”
ฮั่วซื่อมองซูจวิ้น นางรู้สึกเ็ปเป็อย่างมาก มือที่ตีซูจวิ้นสั่นเทา
ทว่านางกลับฝืนทนอย่างสุดความสามารถ แสร้งทำเป็ว่ามีคุณธรรมสูงส่ง“จวิ้นเอ๋อร์ ปกติแม่สอนเ้าว่าอย่างไร? สามัญสํานึกที่แม่สอนเ้าเ้าเอาไปไว้ที่ใดแล้ว? ”
ซูจวิ้นที่ร้องไห้อยู่หันกลับมามองฮั่วซื่ออย่างประหลาดใจ “ท่านแม่จวิ้นเอ๋อร์ไม่ทำตามที่ท่านแม่สอนเมื่อใด? เป็ท่านที่สอนข้าว่าซูจิ่นซีเป็คนโง่เง่าไม่คู่ควรที่จะเป็พี่หญิงของข้า และยังเป็ท่านที่พูดว่านางกับแม่ของนางต่ำช้าเหมือนกัน...”
“เพี๊ยะ”
ฝ่ามือตบเข้าไปที่ใบหน้าของซูจวิ้นอีกครั้ง
หลังจากตบแล้ว ฮั่วซื่อได้มองเห็นท่าทางน้อยใจของซูจวิ้น ในที่สุดฮั่วซื่อก็ทนไม่ไหวนางคุกเข่าลงบนพื้นและกอดศีรษะของซูจวิ้นไว้ในอ้อมแขนของตนเอง “จวิ้นเอ๋อร์เ้าไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ต้องพูดอันใดแล้ว เป็ความผิดของแม่เอง แม่เป็คนผิดเอง”
ทว่าซูจิ่นซีกลับจับจุดสำคัญในประโยคสุดท้ายของซูจวิ้นได้อย่างรวดเร็ว
เขาพูดถึงมารดาของนาง
หรือว่าการตายของมารดาแท้ๆ ของนางในตอนนั้นฮั่วซื่อก็รู้สิ่งใดบางอย่างเช่นกัน?
......
เชิงอรรถ
[1] หนูที่ตกลงไปตายในหม้อน้ำแกง สุภาษิตจีน หมายถึง ปลาเน่าตัวเดียวทำให้ปลาตัวอื่นเน่าหมด หรือสุภาษิตไทยที่กล่าวว่า ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง