ด้านหลังแผ่นหินสลักข้อความคนแปลกหน้าห้ามเข้า มีรูปปั้นหินขนาดใหญ่สูงร้อยจั้งสองตนยืนปกปักรักษาสถานที่ราวกับเทพผู้พิทักษ์ และเมื่อเดินผ่านร่างหินทั้งสอง ด้านหน้าก็เผยให้เห็นทะเลทรายอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ศิษย์ทั้งหลายค่อนข้างประหลาดใจ หรือคำว่า “คนแปลกหน้าห้ามเข้า” จะหมายถึงการห้ามไม่ให้ทุกคนก้าวเข้าไปในทะเลทราย?
หลายคนใจร้อนแล้วะโข้ามรูปปั้นหิน พวกเขารีบพุ่งเข้าไปในพื้นที่ทะเลทรายซึ่งท้องฟ้าเต็มไปด้วยทรายสีเหลืองและสายลมโหยหวน หลังจากผู้บำเพ็ญเ่าั้เข้าไป เหตุการณ์แปลกๆ ก็เกิดขึ้น
ณ บริเวณเท้าของรูปปั้นหิน ศิษย์สำนักต่างๆ ที่ไม่ได้เข้าไปในทะเลทรายล้วนแสดงสีหน้าแปลกๆ เนื่องจากร่างของผู้คนในทะเลทรายเ่าั้ล้วนกลายเป็โครงกระดูกที่พยายามดิ้นรนก้าวไปข้างหน้า
“ข้าตาฝาดหรือ?”
“หรือว่าพวกเขาตายไปแล้ว?”
“ถ้าตายแล้วจะเคลื่อนไหวได้อย่างไร?”
ทะเลทรายแห่งนี้ช่างน่าพิศวงยิ่งนัก เมื่อมองจากภายนอก ร่างของผู้ที่เข้าไปล้วนเหลือเพียงกระดูกสีขาว สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ศิษย์หยวนซิวร้องะโเรียกผู้คนในทะเลทรายให้กลับออกมา ทว่าเมื่อพวกเขาออกมาแล้ว เสื้อผ้าของพวกเขากลับอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ราวกับไม่เคยมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นเลย
“พวกเ้าเป็อะไรไป? เหตุใดถึงมองข้าแปลกๆ?”
“มะ...ไม่มีอะไร แล้วนะ...ในทะเลทรายมีอันตรายหรือไม่?”
“ไม่พบอันตรายใดๆ แต่ข้าได้ยินเสียงเรียกของเ้าไม่ค่อยชัดนัก”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าศิษย์ส่วนใหญ่ก็รุดไปด้านในโดยไร้ความกังวล แน่นอนว่าบางคนก็ยังระมัดระวัง และบางคนที่ไม่หุนหันพลันแล่นก็ยังคงเฝ้าสังเกตการณ์ต่อไป
หนิงเทียนและซิ่งอวี่เจวียนต่างก็หยุดอยู่ที่เท้าของรูปปั้นหิน ขณะที่คนอื่นๆ ให้ความสนใจกับสถานการณ์ในทะเลทราย หนิงเทียนกลับเงยหน้ามองรูปปั้นหินด้วยสายตาที่ฉายแววประหลาดใจ
เขาััได้ถึงคลื่นผันผวนของชีวิตอันน่าอัศจรรย์ซึ่งส่งออกมาจากรูปปั้นหินขนาดใหญ่ทั้งสอง ยามนี้พวกเขายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนจากในทะเลทรายก็ดึงความสนใจของหนิงเทียน ดูเหมือนลูกศิษย์ของบางสำนักจะเสียชีวิตลงแล้ว ทั้งยังมีร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากสายลมที่โหมกระหน่ำ
ซิ่งอวี่เจวียนหลุดอุทานออกมา ร่างนั้นเหมือนมนุษย์ทุกประการ หาใช่โครงกระดูกไม่ ทว่าบริเวณหน้าอกกลับมีรูพรุนซึ่งเต็มไปด้วยเื คาดว่าเขาน่าจะถูกยิงเข้าที่หัวใจและเสียชีวิตทันที เหล่าศิษย์ซิงซิวที่สังเกตเห็นความผิดปกติก็เริ่มตั้งคำถาม
“คนมีชีวิตกลับกลายเป็โครงกระดูก แต่คนตายกลับดูเหมือนมีชีวิตอีกครั้ง นี่มันเื่อะไรกันแน่?”
“คนแปลกหน้าห้ามเข้า จึงมีเพียงซากศพเท่านั้นที่จะสามารถผ่านทะเลทรายแห่งนี้ไปได้หรือ?”
หนิงเทียนครุ่นคิดไปพลาง ฟังการสนทนาของผู้อื่นไปพลาง พร้อมให้ความสนใจสถานการณ์ในทะเลทรายอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้นเขาก็เห็นเรือทรายลำหนึ่งซึ่งมีชายไร้หน้าสวมผ้าคลุมศีรษะใส่ชุดสีดำยืนอยู่บนเรือ ในมือของเขาถือเสาไม้ไผ่ พร้อมขับร้องเพลงทำนองประหลาด
“ทรายโบยบิน เรือโยกเยก หนึ่งชีวิตหนึ่งเสียงนำไปสู่การเดินทางไร้กังวล ิญญามารวมกัน ชีวิตนั้นชั่วครู่ชั่วยาม ความตั้งใจจะฝังกระดูกในทรายเหลืองยังคงอยู่”
หนิงเทียนรู้สึกสับสน ยามนี้ศิษย์จื๋อซิวและหยวนซิวส่วนมากจะเสียเปรียบเล็กน้อย แต่ดูเหมือนศิษย์ซิงซิวจะรับรู้บางอย่าง พวกเขาจึงรีบวิ่งไปยังเรือทรายทันที
เมื่อเข้าสู่อาณาเขตทะเลทราย ทุกร่างจะกลายเป็กระดูกขาว
เรือทรายสามารถบรรทุกได้ครั้งละสี่คน พร้อมทั้งเคลื่อนผ่านพายุทรายอย่างรวดเร็ว เมื่อเรือออกเดินทางไปครู่หนึ่งก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น และมีร่างผู้เสียชีวิตทั้งหมดสี่ร่าง ทว่าหากมองดูให้ดี คนตายนั้นไม่ใช่ซิงซิวทั้งสี่บนเรือทราย แต่กลับเป็ศิษย์หยวนซิวและจื๋อซิว
“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้เห็นเหตุการณ์ล้วนสับสน พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งลี้ลับนี้เลย
หลังจากนั้นไม่นานเรือทรายก็กลับมา ศิษย์ซิงซิวอีกกลุ่มรีบวิ่งไปข้างหน้า และในไม่ช้าก็เกิดเสียงกรีดร้องอีกครั้ง พร้อมด้วยศพสี่ศพซึ่งมีเืเนื้อปรากฏขึ้นในทะเลทราย
หนิงเทียนขมวดคิ้วและเริ่มคาดเดาบางอย่างได้เล็กน้อย เขาดึงซิ่งอวี่เจวียนไปข้างหน้า และเมื่อเรือทรายปรากฏเป็ครั้งที่สาม เขาก็พาซิ่งอวี่เจวียนขึ้นไปบนเรือโดยเร็วที่สุด
แม้ครานี้จะมีศิษย์หยวนซิวบางคนที่้าขึ้นเรือ ทั้งยังเคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าศิษย์ซิงซิวอีกด้วย ทว่าเขาก็ถูกหนิงเทียนที่พุ่งตัวพร้อมใช้วิชาทะยานหลงเงาตัดผกาผลักจนกระเด็นออกไป
ซิ่งอวี่เจวียนตกตะลึงไปชั่วขณะ นางไม่เข้าใจว่าทำไมหนิงเทียนถึงทำเช่นนี้ และเขาก็ไม่ได้อธิบายสิ่งใดเลย
จากที่ว่างสี่ที่บนเรือทราย หนิงเทียนและซิ่งอวี่เจวียนไปแล้วสองที่ และอีกสองที่ที่เหลือก็ถูกศิษย์หลักซิงซิวแย่งชิงมาได้
หลังจากทั้งสี่คนขึ้นเรือทรายแล้ว เืเนื้อทั่วร่างกายก็หายไป จนเหลือเพียงกระดูกขาวที่ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าในสายตา
หนิงเทียนและซิ่งอวี่เจวียนต่างมองหน้ากันด้วยความใ เห็นได้ชัดว่าร่างกายของตนไม่มีอะไรแปลกไป แต่ทำไมพวกเขาถึงเหลือเพียงโครงกระดูกเล่า?
เรือทรายลำนี้ขนาดไม่ใหญ่นัก คนพายเรือสวมผ้าคลุมศีรษะและสวมชุดสีดำปกคลุมทั้งร่างจนไม่สามารถมองเห็นเนื้อหนังได้ พวกเขาไม่รู้เลยว่าภายใต้เสื้อผ้าของอีกฝ่ายมีเืเนื้อหรือเป็กระดูกสีขาวเช่นเดียวกับตน
ทันทีที่เสาไม้ไผ่ในมือของคนพายเรือััพื้น เรือทรายก็แล่นผ่านทะเลทรายไร้ที่สิ้นสุดด้วยความเร็วอันน่าประหลาดใจ เกิดกระแสลมแรงพัดผ่าน และรอบด้านก็เต็มไปด้วยฝุ่นละออง
หนิงเทียนเห็นโครงกระดูกจำนวนมากเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลทราย นอกจากนี้ยังมีฝูงซากศพซึ่งมีเืเนื้อเดินเรียงรายไปสู่หลุมดำที่อยู่ลึกลงไปในทรายสีเหลือง
นั่นมันอะไรกัน?
หนิงเทียนมองดูสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด แต่เขาก็ต้องใจนอธิบายไม่ถูกและรีบก้มศีรษะด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะแอบสังเกตการเคลื่อนไหวของศิษย์ซิงซิวทั้งสองคน
เรือทรายแล่นไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อเรือผ่านบริเวณที่มีโครงกระดูก ศิษย์หลักซิงซิวทั้งสองก็ลงมือโจมตีร่างโครงกระดูกสองร่างทันที
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องไปตามสายลม กระดูกสีขาวทั้งสองที่ถูกโจมตีปรากฏเืเนื้อขึ้นในพริบตา และจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของศิษย์ซิงซิว
ิญญาสองดวงลอยออกจากร่างไร้ลมหายใจ แล้วลอยเข้าไปในฝ่ามือของคนพายเรือ ก่อนจะกลายเป็ตั๋วสองใบ
เมื่อเห็นเช่นนี้หนิงเทียนก็เข้าใจทุกอย่างทันที เขาบีบมือซิ่งอวี่เจวียนอย่างแรง แล้วลงมือโจมตีเหล่าโครงกระดูกตามสองข้างลำเรือ
การโจมตีอย่างกะทันหันทำให้ผู้คนไม่อาจหลบหลีก เืเนื้อของกระดูกสีขาวทั้งสองร่างปรากฏขึ้นทันที และิญญาของพวกเขาก็ลอยไปอยู่ในมือของคนพายเรือ จากนั้นก็กลายเป็ตั๋วของหนิงเทียนและซิ่งอวี่เจวียน
ครู่ต่อมา เรือทรายส่งเสียงคำรามและสั่นะเื ห้วงอากาศตรงหน้าเริ่มบิดเบี้ยวกลายเป็ประตูมิติ และเรือทรายก็พุ่งเข้าไปด้านในนั้นพร้อมเสียงดังฟู่
หนิงเทียนและซิ่งอวี่เจวียนต่างก็ตกตะลึง ภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา ทิวทัศน์รอบข้างกลับตาลปัตร เพราะยามนี้พวกเขาอยู่ในทุ่งหญ้าสุดหล้าฟ้าเขียวแล้ว
หลังจากมองไปรอบๆ และลองขยับมือเล็กน้อย ซิ่งอวี่เจวียนก็กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ต้องทำเช่นนี้เพื่อเข้ามาที่นี่หรือ?”
หนิงเทียนพยักหน้า ฉากเมื่อครู่ช่างเหนือจินตนาการอย่างยิ่ง หากไม่ได้พบเจอด้วยตนเองเช่นนี้ เขาจะไม่มีวันเชื่ออย่างเด็ดขาด
“ทะเลทรายที่ไร้ซึ่งมนุษย์อาศัยอยู่น่าสยดสยองยิ่งนัก แดนลับของยอดเขาหมื่นอสูรทรงพลังกว่าแดนลับในูเาไป่หลิงอย่างมาก”
ซิ่งอวี่เจวียนหันกลับมาและพูดอย่างกังวล “ตอนนี้เราเข้ามาแล้ว แต่หลังจากนั้นจะออกไปได้อย่างไร?”
“เื่นี้ค่อยว่ากันทีหลัง ยามนี้เรามาสำรวจทุ่งหญ้านี้ก่อนเถอะ”
หญ้าต้นน้อยข้างกายหนิงเทียนเริ่มพลิ้วไหว ยามนี้เขากำลังเสาะหาที่อยู่ของเถาวัลย์หัวผีพันิญญา
ทุ่งหญ้าแสนกว้างใหญ่ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับอยู่ในห้วงความฝัน แต่หนิงเทียนกลับรู้สึกได้ถึงอารมณ์แปรปรวนแปลกๆ ในใจ
หญ้าเขียวชอุ่มปกคลุมดินรกร้าง ทุกปีต่างวนเวียนรุ่งโรจน์และเหี่ยวเฉา
ลึกลงไปในทุ่งหญ้า หนิงเทียนมองเห็นเมืองร้างได้อย่างพร่ามัวราวกับภาพลวงตา
ไม่ว่าหนิงเทียนจะเดินไปทางใด หญ้าทุกใบก็ล้วนเหี่ยวเฉา ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ซิ่งอวี่เจวียนร้องอุทาน “เ้ากำลังทำอะไร?”
ใต้เท้าของซิ่งอวี่เจวียน ต้นหญ้าล้วนเขียวขจีและอุดมสมบูรณ์ ทว่าใต้เท้าของหนิงเทียน ทุกก้าวล้วนเร่งการเหี่ยวเฉาและการเติบโต ราวกับว่า่เวลาผันผ่านสลับไปมา
หนิงเทียนส่ายหัวเล็กน้อยและกระซิบว่า “นี่คือความแตกต่างระหว่างเรา”
ซิ่งอวี่เจวียนมองเขาอย่างประหลาดใจ พลันเกิดความเศร้าที่ไม่สามารถบรรยายได้ในร่างของเด็กน้อยวัยสิบหกผู้นี้
ทุกฝีก้าวที่ข้ามทุ่งหญ้า หนิงเทียนจะทิ้งรอยเท้าที่ไม่อาจลบเลือนไว้ราวกับเป็ป้ายบอกทางที่คอยชี้แนะผู้ที่มาทีหลัง
เมื่อมองเห็นเมืองร้าง หนิงเทียนก็ชะลอความเร็วและมองย้อนกลับไปตามทางที่เขามาก็พบว่า มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตามรอยเท้าและคอยติดตามเขาจากระยะไกล
ซิ่งอวี่เจวียนก็หันกลับไปมองเช่นกันแต่นางไม่เห็นอะไรเลย นางััได้เพียงว่ามีเงาพร่ามัวสะท้อนอยู่ในรูม่านตาของหนิงเทียน ซึ่งยังหาคำตอบไม่ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
หนิงเทียนหันกลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าต่อ สายตาของเขาจับจ้องไปยังหอบนประตูกำแพงเมือง
เมืองร้างทรุดโทรม ประตูเมืองมีร่องรอยกระดำกระด่าง ทว่าหอบนประตูกำแพงเมืองกลับมีเสียงดนตรีไพเราะราวห้วงฝัน
ใต้หอสังเกตการณ์ประจำเมืองมีผู้คนมากมายยืนอยู่ที่นั่น แต่ละคนเงยหน้าขึ้นราวกับพวกเขากำลังมองอะไรบางอย่าง
“พี่สาวเห็นอะไรบ้างไหม?”
ซิ่งอวี่เจวียนสะดุ้งกับเสียงเรียกของหนิงเทียน แล้วพูดอย่างว่างเปล่า “เห็นอะไรหรือ?”
หนิงเทียนมองหอสูงแล้วถามเบาๆ ว่า “พี่สาวได้ยินอะไรไหม?”
ซิ่งอวี่เจวียนตั้งใจฟังแล้วตอบอย่างล่องลอย “เสียงฉิน ช่างไพเราะยิ่งนัก”
หนิงเทียนส่งรอยยิ้มแปลกๆ ครั้งหนึ่งโดยไม่พูดอะไร แล้วเดินหน้าต่อ
ไม่รู้ว่าเมืองร้างแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นั้แ่เมื่อใด แต่สภาพของมันก็เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา
บริเวณนอกประตูเมือง ศิษย์ซิงซิว หยวนซิว และจื๋อซิวหลายคนต่างมารวมตัวกัน เช่นเดียวกับอสูริญญาและอสูร
ทั้งหมดล้วนเงยหน้าจ้องมองสถานที่แห่งหนึ่งในหอสูงซึ่งมีเสียงดนตรีอันไพเราะ และมีสาวงามกำลังบรรเลงเพลงฉิน
ณ ประตูเมืองมีสิงโตหินยืนเฝ้า รอบแผงคอของมันมีระฆังสองใบห้อยอยู่ เมื่อหนิงเทียนเข้ามาใกล้ ระฆังก็แกว่งไปแกว่งมา ก่อนจะกลายเป็ระลอกคลื่นในความว่างเปล่า แล้วเข้าฉีกกระชากแขนเสื้อของหนิงเทียน
ร่างของซิ่งอวี่เจวียนสั่นเทา นางหนีกลับไปข้างหลังประมาณสิบจั้ง ก่อนจะหยุดมองด้วยแววตาหวาดกลัว
หนิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เดินไปหาสิงโตหิน ระฆังที่คอแกว่งไปมาอีกครั้ง และคลื่นเสียงอันเงียบงันก็แผ่ขยายทำลายทุกสิ่ง พลังนี้รุนแรงจนทำให้เสื้อผ้าของหนิงเทียนฉีกขาดเป็เศษเล็กเศษน้อย
หนิงเทียนเชิดหน้ายืดอกพร้อมเดินผ่านสิงโตหินเข้าไปในเมือง สิ่งที่เขาเห็นคือบ้านเรือนที่ทรุดโทรมและถนนที่รกร้าง กล่าวได้ว่ามีเพียงซากปรักหักพัง
ทันใดนั้น เถาวัลย์เขียวขจีซึ่งทอดกิ่งก้านยาวราวหนวดเคราก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาหนิงเทียน
หญ้าข้างกายหนิงเทียนแกว่งไปมา และปราณกระบี่พลังสายรุ้งก็บดขยี้เถาวัลย์เขียวทันที จากนั้นเขาก็เข้าไปสำรวจในส่วนลึกของเมืองอย่างเ็า
“เ้าเถาวัลย์หัวผีพันิญญา เ้าคิดว่าซ่อนอยู่ที่นี่แล้วข้าจะหาเ้าไม่เจอหรือ?”
ดอกบัวผุดขึ้นมาโอบอุ้มร่างของหนิงเทียนให้ลอยขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดลงเมื่ออยู่สูงจากพื้นดินประมาณสามจั้งแล้ว
เมืองที่โดดเดี่ยวแห่งนี้มีรูปร่างเป็สี่เหลี่ยมจัตุรัส มีประตูสี่บานประจำทิศทั้งสี่ แต่ละทิศมีหอคอยที่สูงเด่นเป็พิเศษและมีอักขระ “ฉิน หมากรุก ตำรา ภาพเขียน” สลักอยู่ที่ประตูแต่ละบาน ซึ่งหอคอยใกล้ประตูเมืองที่หนิงเทียนอยู่มีคำว่า “ฉิน” สลักไว้
นอกจากนี้ ภายในเมืองยังมีจัตุรัสกลางเมืองที่แสนอ้างว้างและมีบ่อน้ำบ่อหนึ่งอยู่ที่นั่น ซึ่งบางครั้งก็มีหมอกหนาทึบเอ่อล้นออกมาจากบ่อ ทั้งยังเต็มไปด้วยคลื่นผันผวนที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว
หนิงเทียนรีบไปยังจุดนั้นแต่กลับถูกโจมตีด้วยดอกไม้ ต้นหญ้า ต้นไม้ และเถาวัลย์ในเมือง
เมื่อหญ้าสีเขียวและิญญาต้นไม้โจมตี จุดสีดำก็จะปรากฏขึ้นบนกิ่งไม้และใบไม้ ซึ่งเป็ผลจากการกดขี่ของเถาวัลย์หัวผีพันิญญา
กระแสน้ำรอบกายหนิงเทียนเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต พวกมันสาดกระเซ็นออกไปราวสายหมอก ทำให้พฤกษาเ่าั้ล้วนพ่ายแพ้ต่อการััทางจิติญญาและเหี่ยวเฉาลงในไม่ช้า
แม้การจู่โจมของเถาวัลย์หัวผีพันิญญาจะทำอันตรายหนิงเทียนไม่ได้ แต่มันก็ทำให้บริเวณโดยรอบเกิดการเปลี่ยนแปลง
พลันเสียงฉินบนหอคอยเมืองก็แปรเปลี่ยนไป และมีร่างหนึ่งพุ่งเข้าไปในหอฉินอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
ครู่ต่อมา เสียงฉินก็หยุดลง หอคอยสั่นะเื ตัวอักษรฉินปรากฏขึ้นเหนือเมืองร้างก่อนจะปล่อยคลื่นกระแทกอันทรงพลัง เหล่าลูกศิษย์จากสำนักต่างๆ ที่เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงฉินต่างก็ได้สติกลับมา พวกเขามองหน้ากันด้วยความใชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็รีบวิ่งหนีเข้าไปในตัวเมือง
