ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกัน คุยกัน คนหนึ่งดีดผีผา อีกคนเป่าซวินดำสิบสองซุ่น ทำนองผสมผสานเข้ากัน เคล้าสุรา และอาบโฉลมแสงจันทร์กันทั้งคืน จนพล๊อยหลับหัวชนกัน อยู่ตรงบริเวณชานเรือนริมน้ำก่อนย่ำรุ่ง
เมื่อแสงอาทิดย์สาดแสงแยงตา เ้าวั่งซูก็เริ่มรู้สึกตัว เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาสิ่งแรกที่เห็นคือดวงหน้าอันงดงามของฮวาเฟยฟาอยู่ตรงหน้า คนที่อยู่ตรงหน้ากำลังหลับ ผิวละเอียดขาวราวหิมะ พวงแก้มเแดงชมพูระเรื่อ วงตายาวระหงขนตายาวเข้มดำเป็แพ ช่างงดงามไร้ที่ติราวกับเทพปั้น “แต่ก็เป็เทพจริงๆ เนอะ” วังซูคิดกับตัวเองข้างในใจ ก่อนจะนอนมองจ้อง ดื่มด่ำ กับสิ่งมีชีวิตที่หลับเหมือนเด็กไร้พิษภัยอยู่ตรงหน้าแบบเคลิบเคลิ้ม และลืมตัวยื่นมือออกไป ััแก้มฮวาเฟยฟา มือที่ใหญ่นิ้วเรียวสวย ััใบหน้างดงาม
“ข้าขอโทษนะที่ทิ้งให้เ้าอยู่คนเดียว เ้าจะรู้สึกเดียวดาย และเป็ทุกข์ขนาดไหนนะ ในยามที่ข้าตายจากไป ข้าหวังว่าจากนี้ไปข้าจะสามารถทำอะไรเพื่อเป็การชดใช้ให้เ้าได้บ้าง” เ้าวั่งซูมองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรัก ความรู้สึกผิด และบ่นเปรยออกมา
“ก็มากอยู่ ที่ว่าจะชดใช้ ได้สิ! ข้าจะเอาคืนเ้าที่ทิ้งข้าไป อย่างสาสม! เตรียมชดใช้เลย” ฮวาเฟยฟาหลับตา และพูดยิ้มพร้อมมุมปาก เอื้อมมือมาจับมือเ้าวั่งซู ประกบไว้บนหน้าตน
“เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ นี่เ้าตื่น มานานแค่ไหน” เ้าวั่งซูทำหน้าเหวอถามพร้อมจะชักมือกลับ แต่ก็ทำไม่ได้
“นานพอดูที่จะได้ยินเ้าชื่นชมความงาม และ แตะต้องตัวข้าอย่างสนุกสนาน” ฮวาเฟยฟาแกล้งพูดหยอกเย้าน้ำเสียงอ่อนหวาน
“อ่ะ!อ่ะ! เ้าพูดอะไร ข้าจับแค่หน้าเ้า ไม่ได้แตะต้องส่วนอื่น” เ้าวั่งซูรีบแก้ตัว
“วันนี้แตะแค่หน้า วันหน้าถ้าข้าพลั้งเผลอไป ก็อาจจะโดนแตะไปเรื่อยๆ” ฮวาเฟยฟาพูดหยอกเย้า ยั่ว เ้าวั่งซู
“ฮะ! ข้าๆ ไม่ใช่คนแบบนั้นนะ ทำไมเ้าถึง.......” เ้าวั่งซูทำหน้าแดงไม่รู้จะตอบยังไง
ฮวาเฟยฟาเอื้อมมือไปประกบวางบนหน้าแดงระเรื่อของเ้าวั่งซู “แค่สัญญาว่า ไม่ว่าเ้าจะอยู่ หรือเ้าจะไปไหน ต้องพาข้าไปด้วย สัญญาว่าเราสองจะไม่แยกจากกันอีก” ฮวาเฟยฟาหน้าแดง ตาหวั่นกลัว คนตรงหน้าจะหายไปอีก
วั่งซูทำหน้าจังงัง ก่อนจะเอามืออีกด้านจับประคองหน้าเฟยฟา และก้มหัวตนชนประทับลงบนหน้าผากของฝั่งตรงข้าม
“สัญญาสิ! ข้าสัญญา! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะไปด้วยกัน เ้าก็เช่นกัน ถ้าเ้าจะไปไหน ก็อย่าลืมพาข้าไปด้วยหล่ะ” ฮวาเฟยฟาน้ำตารื้น “อื้ม” ทั้งสองอมยิ้มมองหน้ากันเสหมือนว่า จะไม่มีอะไรอีกแล้วที่สามารถแยกทั้งสองคนออกจากกันได้อีก แม้แต่ความตาย บรรยากาศเรือนริมน้ำเปลี่ยนเป็บรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงหล่นในพริบตา
“เอ๊ะ! นี่กี่โมงแล้วเนี๊ยะ” เ้าวั่งซูพึ่งนึกได้ ลุกขึ้นบิดี้เี
“สายมากแล้วขอรับคุณหนู” เสียงอาฉีขานรับ
“เอ๊ะ! อาฉีที่เ้า และคนอื่นๆ มาอยู่ตรงนี้ั้แ่เมื่อไหร่” หนึ่งชั่วยามแล้วขอรับ มารอคุณหนู และองค์ชายตื่น พวกข้าได้เตรียมน้ำอุ่นในห้องอาบน้ำ อาหาร และชุดสำหรับเข้าร่วมพิธีของคุณชายไว้แล้ว คุณชายจะให้ยกเข้ามาเลยไหม
“เอ๋! งั้นพวกเ้าก็ เห็นๆ .....!” เ้าวั่งซูหันมามองหน้าฮวาเฟยฟาอมยิ้มใส่กัน
“ได้ งั้นฝากพวกเ้าจัดอาหารไว้ในสวนด้านตะวันออก เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จ พวกข้าจะไปทานกันที่นั่น ขอบใจเ้ามากอาฉี” เ้าวั่งซูพูดเสียงดังกลบเกลื่อนเปลี่ยนเื่ ทั้งสองก็เดินไปห้องอาบน้ำ ในขณะที่บ่าวรับใช้ ก็พากันไปเตรียมอาหารไว้เรือนทางตะวันออก เรือนทางตะวันออกของคฤหาสน์จันทร์มืดนั้น หันหน้าสู่หุบเขา มองผ่านทะลุตัวเรือนออกไป จะเป็หุบเขาสลับซับซ้อนมากมายเป็เหมือนปราการกั้นธรรมชาติก่อนที่ผู้คนจะเข้ามาถึงหมู่ชุนเทียน สักพักเมื่อทั้งสองคนอาบน้ำเสร็จก็เดินมายังฟากตะวันออกแห่งนี้ กินอาหารและมองออกชมหุบเขา ที่ซ้อนทับ บ้างก็มืดก็สว่าง มีเมฆ มีฝน มีหมอกสลับกันไป เมื่อมองจาก้านี้ลงไป เหมือนเป็หุบเหวที่ดูเงียบและลึกลับซับซ้อนมากทีเดียว
“ปราการนี้สำคัญมากนะ ที่จะกั้น มนุษย์จากโลกภายนอกเข้ามาถึงนี่ได้ มันดูสวยแต่มันลึกลับ ไม่รู้ว่ามีคนอาศัยอยู่ในป่าดงดิบเหล่านี้บ้างไม๊นะ” เ้าวั่งซูกล่าว
“อืม! หมู่บ้านต้องสาปแห่งนี้เป็ชัยภูมิที่เหมาะสมสำหรับการกักกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้ออกไป และระวังไม่ให้ผู้คนหลุดหลงเข้ามามากจนเกินไป แต่ข้าก็เคยได้ยิน เื่ชนเผ่าแปลกที่ซุกซ่อนและอาศัยอยู่ตามหุบเขาเหล่านี้ แต่ยังไม่เคยมีใครไปตรวจตราละเอียด แต่ก็มีข่าวลือว่ามีอันตราย และการหายตัวของนักเดินทาง หรือพ่อค้าที่ผ่านปราการธรรมชาติที่หนาแน่นนี้มา สมัยที่อยู่กับปู่ของเ้าพวกเรายังเด็ก และไม่ได้ไปไหนไกล แต่่ที่มีการเดินทาง และต่อสู้ ทุกอย่างก็เหมือนโดนบังคับให้เร่งรีบ พวกเราไม่มีเวลาได้สำรวจสิ่งเล็กสิ่งน้อยพวกนี้ และท่านปู่ทวดเ้าก็จากไปอย่างที่ข้าก็ไม่ได้เตรียมใจ ข้าว่าถึงเวลาที่พวกเราควรจะไปตรวจสอบ เหล่าผู้คน ชนเผ่า ที่อาศัยยอยู่ในหุบเขาเหล่านี้ ว่าพวกเค้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือเป็สาเหตุของการหายสาบสูญของผู้คนมากมายที่ว่าไม๊” เฟยฟากล่าว
“ได้ ข้าเห็นด้วย” เ้าวั่งซูเอ่ยรับ “แต่วันนี้ ที่สำนักคุ้มภัย มีการแข่งขันประลองเพื่อหามือปราบมารรุ่นใหม่ ข้าต้องไปร่วมงาน เพราะข้าต้องไปแสดงตัวรับตราเก้าจักยุตราเป็มือปราบมากรุ่นที่111 ในฐานะผู้สืบทอดเคียวสู่ภพจากตระกูลเ้า ข้าไม่ต้องเรียนและทดสอบ แต่ได้ตราจักยุตรา และอำนาจมาเลย ช่างสะดวกยิ่งนัก ฮ่าๆๆ เออแล้วท่านหล่ะ ท่านเป็มือปราบมารรุ่นที่เท่าไหร่กัน” วั่งซูหัวเราะ และเอ่ยถาม
“รุ่นที่1 ข้าและเ้าวั่งซูคือมือปราบมารรุ่นแรกของสำนักจักเก้ายุตรา แต่มือปราบมารในรุ่นนั้นต่างล้มหายตายจาก รวมทั้งเหล่าคนตระกูลเ้า ที่เข้าร่วมสู้รบกันหมดทุกคนแม้ไม่มีเคียวสู่ภพในมือ ส่วนคนที่เหลือ ข้าได้ยินว่าส่วนใหญ่ที่มีส่วนเข้าไปร่วมสู้รบในศึกที่จัตรัสเฟิงสุ่ยก็ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากแรงะเินั้น เกือบทุกคนแม้จะรอดชีวิตกลับมาได้แต่ก็ล้วนกลายร่าง หรือไม่ก็ สูญเสียสติสัมปชัญญะไปเกือบหมด คงเหลือแค่ข้ากับฟ่านตงตงที่ตอนนี้เป็ปรมาจารย์ดูแลภพุ์ แต่ข้าไม่รู้จักเค้าเป็การส่วนตัว” ฮวาเฟยฟาเล่า
“ถ้าเป็ฟ่านตงตง ข้าเคยได้ยินว่าเค้าเป็หลายบุคลิค มีดุร้าย มีใจดี มีเ็า เป็คนลึกลับเก็บตัว หามีมิตรสหายมากนัก คนพูดว่าเค้าเองก็น่าจะโดนผลพวงจากสิ่งมีชีวิตจากภพอื่นเข้าครอบงำเต็มๆ เพราะเป็ในคนที่เข้าร่วมสู้ในศึกครั้งนั้น แต่ด้วยความที่เป็ผู้ใหญ่ที่อยู่ในรุ่นบุกเบิก และเป็มือปราบมารรุ่นแรก ทำให้เค้าได้รับการสนับสนุนขึ้นมาเป็ปรมาจารย์กระจกุ์ และอีกทั้ง ตัวเค้าเองก็คงมีพลังจักราที่แข็งแกร่ง เค้าก็น่าจะสามารถควบคุมหรือกำจัดสิ่งไม่ดี หรือพลังด้านชั่วร้ายที่ได้รับมาั้แ่สมัยร่วมรบนั้นไว้ได้โดยไม่มีผลกระทบอะไร” เ้าวั่งซูเล่า
ข้าไม่รู้จักเค้าเป็การส่วนตัว แต่ก็หวังให้เป็เช่นนั้น” ฮวาเฟยฟากล่าวไม่แน่ใจกับสิ่งที่ตนรู้สึกหวั่นในใจ