ทุกสิ่งบนโลกใบนี้เกิดด้วยความรู้สึกของมนุษย์ไปกระทบสิ่งเร้าเ่าั้แล้วแปรความหมายออกมา จึงทำให้ทุกคนมีอารมณ์เป็อาหารของจิตซึ่งมาจากการปรุงแต่งทั้งสิ้น แล้วอารมณ์หนึ่งของผู้คนทั้งปรารถนาและถวิลหา นั่นคืออารมณ์แห่งคำว่า ‘รัก’
รัก คือ...อะไร แล้วทำไมจึงปรารถนาถวิลหาและยังแสวงหาอย่างมิรู้จบ หากเราไปถามคนที่มีรักอยู่ในหัวใจบ้างแล้ว จะได้พบเจอความหมายอันแสนหวาน รักคือให้ด้วยใจรัก รักคือเสียสละ หากไปถามคนที่เข็ดกับรักอาจได้คำตอบประดุจ ‘ยาพิษ’ บ้างอาจให้คำสดุดีสาปส่งกับคำนี้ไปชั่วชีวิต ดั่งเนื้อหาในเพลงพรรณนาได้ถึงแก่นของความจริง
...รักเอย...จริงหรือที่ว่าหวาน หรือทรมานใจคน
ความรักร้อยเล่ห์กล รักเอยลวงล่อใจคน
...หลอกจนตายใจ รักนี่มีสุข...ทุกข์เคล้าไป
ใครหยั่งถึงเ้าได้ คงไม่ช้ำฤดี....
แม้จะมีใครทัดทาน...หรือย้ำคำเตือน ใครบางคนยังคิดว่าการมีรัก ย่อมดีกว่าไร้รัก ฤาไฉนเลยรักแท้...ยังมีอยู่จริง ด้วยวลีอันซึ้งแสนโรแมนติกนี้...แน่นอนจำต้องให้ใครบางคนยังแสวงหาไปมิรู้จบสิ้น...ด้วยใจที่มิวายเต้นเร้าอุ่นกรุ่นละมุนเช่นนี้เสมอ ครั้นได้ประสบพบรักคราใด แต่ละคนย่อมมีเวลานาทีอันแสนชื่นมื่นละเมียดละไมพิเศษแตกต่างกัน ยากที่อธิบายออกมาได้เป็ตัวหนังสือ แต่ใจนั้นย่อมซึมซับดูดกลืนน้ำหวานที่เร้ากระตุ้นให้สารเอนโดฟินหลั่งออกมาทุกเมื่อ
...ฤารักแท้ ทำหัวใจเร่าร้อน ส่งชีวาพาสุขสันต์
จากอดีตนานนับเนื่องมาแต่กาลโบราณ มีปรัชญาเมธี นักคิด ผู้ปราชญ์เปรื่องอันหลากหลายได้พยายามกลั่นกรองหาความหมายที่ใกล้ความเป็จริงมากล่าวอ้างว่า ‘รัก’ นั้นควรมีความหมายเช่นไรกันหนอ
แท้จริงแล้ว ‘รัก’ นี้ช่างลึกลับ ยังไม่อาจหยั่งลึกได้ถึงแก่นแท้ของมันหรืออย่างไร จากคำพูดนี้จึงทำให้นึกถึงประโยคหนึ่งในการเทศนาของพุทธะที่ว่า
“มนุษย์ทุกคนเกิดมาด้วยธรรมชาติเพียง ลำพัง เหว่ว้า โดดเดี่ยว”
จะขอเอ่ยอ้างถึงบุคคลท่านหนึ่งซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมปีพุทธศักราช 1990
‘Octavio Paz’
ออคตาวิโอ ปาซ
มีความเชื่อว่า มนุษย์นั้นมีธรรมชาติอย่างหนึ่งคือ ปฏิเสธ กับตัวตน จึงไม่ใช่เื่แปลกเลยว่า มนุษย์จึงจำเป็ต้องแสวงหาความชัดเจนรู้แจ้งจากการมองผ่านเข้ามายังตนเองจากบุคคลอื่น แน่นอนมนุษย์คือสัตว์สังคมจึงจำเป็้าการยอมรับ การอยู่ร่วมกันกับผู้คนรอบข้าง แล้วปฏิสัมพันธ์หนึ่งที่จำเป็ของความสัมพันธ์ ก็คือ ‘ความรัก’ นั่นเอง
คำว่า ‘รัก’ เป็คำที่เอ่ยขึ้นมาคราใด ย่อมทำให้หัวใจเต้นกระตุ้น กระเส่า อบอุ่นกรุ่นละมุนอย่างบอกไม่ถูก และไม่สามารถบอกเล่าสาธยายให้ได้ภาพออกมาเห็นเป็รูปธรรม เพราะคำนี้เป็นามธรรมถึงแม้จับต้องไม่ได้ แต่รับรู้ััได้ด้วยหัวใจซึ่งแสดงออกมาเป็ความรู้สึกนั่นเอง และยังเป็ประสบการณ์เฉพาะของใครก็ของใครเท่านั้น ไม่อาจนำมาเปรียบเปรยเทียบเคียงถึงขนาดปริมาณได้เหมือนเครื่องชั่งตวงวัดทั้งหลาย นอกจากนั้นยังไม่อาจนำมาเทียบความเหมือนหรือแตกต่างกันว่าเป็เช่นไร
เคยรู้กันหรือไม่ว่า ‘รัก’ คือ ความลึกลับ หนึ่งของจักรวาล แม้จะมีทฤษฏีมากมายซึ่งนักคิดทั้งหลายพยายามให้คำจำกัดความ (definition) แต่หลายคนยังแย้งว่ามีอะไรที่ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดของมูลเหตุที่มาที่ไป และทำไมจึงมีอะไรหลายอย่างที่ผันแปรผกผันให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ เ่าั้ตามมา
ดังนั้นมนุษย์จึงได้เก็บเอาความรู้สึกเชิงบวกและลบของคำว่า ‘รัก’ ไปผูกพันเกี่ยวข้องกับอีกคำหนึ่ง คือ ‘โชคชะตา’ ที่เป็มูลเหตุสำคัญว่า ทำไมคนสองคน หรือใครหลายคนต้องเข้ามาข้องเกี่ยวสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างไม่รู้จบ
ฤาแท้จริงแล้ว...ด้วยคำว่า ‘รัก’ นี้ เราไม่อาจเข้าใจถึงตัวตนอันแท้จริงของมันก็เป็ได้ เพราะ เหตุแห่งรัก ไร้ทั้งเหตุผล ไร้ตัวตน และทั้งด้วยความไม่รู้ จึงกลายเป็ความลับหนึ่งของจักรวาล ซึ่งยากที่จะไขออกมากระนั้นหรือ
‘Slavoj Zizek’
สลาวอย ชิเชค
ปรัชญาเมธีชาวสโลวิเนีย ได้กล่าวไว้ว่า “If you have reasons to love someone, you don’t love them.” จากคำพูดนี้ทำให้เห็นว่า หากเรารักคนนั้นด้วยเหตุผล แสดงว่าเราไม่ได้รักเขาจริงๆ เช่น เรามีเหตุผลที่เรารักคนนั้นด้วยรูปร่างหน้าตา เงินทอง ฐานะทางสังคม ย่อมหมายเอาเฉกเช่นนั้นคือสรณะ เราไม่ได้รักในตัวตนของคนคนนั้น เพราะชิเชคหยั่งไปที่คำว่า ‘รัก’ ด้วย ‘หัวใจ’ มิใช่ ‘เหตุผล’
ความจริงของ ความลับ หนึ่งของจักรวาล ที่ว่าด้วย ‘รักแท้’ นี้ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ซึ่งจะได้ยกหยิบมาให้เห็นถึงหัวใจอันน่าชื่นชมของคำว่า ‘รักแท้’ แม้กำแพงขวางกั้นยังมีอันต้องทลายลง จาก celebrity บุคคลโด่งดังหลายคู่ั้แ่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่จะนำมากล่าวถึงในบทถัดไป
‘Plato’
เพลโต
บทสนทนาเฟดรัส (Phaedrus) ระหว่างเพลโตกับโสเครตีส ในบทนี้โสเครติสได้มองว่าความรักประดุจม้ามีปีกหรือพีกาซุส ซึ่งคือม้าในตำนานเทพปกรณัมของกรีก มันสามารถโบยบินนำพาจิตใจเราให้ยกระดับสูงขึ้น ด้วยแรงแห่งรักนั้นเขายังกล่าวว่ามีความบ้าคลั่ง (madness) ช่วยผลักดันความปรารถนาอย่างเมามัน หากไร้การควบคุมแล้วไซร้มันจะนำพาไปสู่ความตกต่ำอันที่สุด
ในบทสนทนาเฟดรัสนี้...มีสุนทรพจน์ของไลซิอาสได้กล่าวถึงข้อดีของความสัมพันธ์อันไร้รัก (non-lover) ซึ่งทำให้คนเรามีอิสระจากอารมณ์และความปรารถนาที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้ง ยามมี ‘รัก’ หากไร้รักแล้วไซร้เราจะไม่รู้สึกว่า ขาดรัก ไม่ต้องห่วงหาพะวงเอาใจใส่ต่อกัน ไม่ต้องกุเื่ปั้นแต่งเพื่อปิดบังเอาใจอีกฝ่าย และจะไม่เกิดเื่ทะเลาะเบาะแว้งอาฆาตพยาบาทอย่างบ้าคลั่งรุนแรง...เมื่อมิได้รับรักตอบแทน
สำหรับเพลโตแล้ว...ความรักประดุจม้ามีปีกพาจิติญญาเราทะยานขึ้นสูงสู่เบื้องบนอันเป็ดินแดนแห่งทวยเทพ ส่วนรักที่เจือด้วยความบ้าคลั่งเหมือนตัวช่วยเร่งแรงผลัก ซึ่งเป็สัญชาตญาณติดตัวมาของมนุษย์เรา...ให้ไปสู่เบื้องต่ำ หากต้องหมายถึงตามหลักของพุทธะ เบื้องต่ำนั่นก็คือขุมนรกอเวจีนั่นเอง ดังนั้นหากได้เรียนรู้วิธีการควบคุมความบ้าคลั่งได้ จึงถือว่าจำเป็อย่างยิ่ง
วาทกรรมของไลซิอาสเื่...การตัดรักออกไปจากความสัมพันธ์แบบไร้หัวใจเช่นนั้นไม่ได้ช่วยอะไร เพลโตเห็นว่าเป็เื่ผิดแบบแผนไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์เรา
โสเครติสได้ให้ความเห็นกับเื่นี้ว่าการรักษาระยะห่างและตัดความรักออกไปจากความสัมพันธ์ เป็การเหยียดหยามดูถูกความรักที่มนุษย์สามารถยกระดับจิติญญาไปสู่เบื้องบน
สำหรับความรัก ภาษากรีกคือคำว่า ‘Philos’ ในมุมมองของปรัชญาเมธี ถือว่าเป็เื่สูงส่ง แม้นไร้รักแล้วไซร้ย่อมไร้ซึ่งปัญญาความรู้ คือคำว่า ‘Philosophia’ คำว่า รัก เยี่ยง Philos นั้น แตกต่างจากคำว่า รัก เยี่ยง Eros ที่หมายถึงรักเชิงกามารมณ์ รักอย่าง Philos ย่อมมีเหตุผลอาศัยการทบทวนไตร่ตรองอย่างรอบคอบถี่ถ้วน ซึ่งกลายเป็ประเด็นข้อสำคัญในบทสุนทรวิพากษ์ของปรัชญาเมธีสมัยนั้น ระหว่างความรัก อย่างไร้เหตุผล ไร้รัก และ ความบ้าคลั่ง ที่อยู่ในบทสนทนา เฟดรัส นี้...กลายเป็บทแห่งความสวยงาม
แล้วเราทุกคนในโลกปัจจุบัน คิดว่า ‘รัก’ เยี่ยง...ไร้เหตุผล ไร้รัก และรักอย่างบ้าคลั่ง รักเยี่ยงใดที่คุณเข้าใจ...
ดังในความตอนหนึ่งของเนื้อเพลง ‘บุพเพสันนิวาส’ ได้กล่าวถึงรัก...คือความบ้าคลั่งไว้ดุจเดียวกัน
ฤาว่า ‘รัก’ นี้ เหมือนโคถึกที่คึกพิโรธ ความรักเช่นนั้นให้โทษ
จะไปโกรธโทษรักไม่ได้...
... ... ... ...
ที่มา.
https://www.mangozero.com/philosophical-love/
https://adaymagazine.com/in-the-name-of-love/
https://themomentum.co/in-theories-8-madness-and-philos/
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/liberalarts/article/view/12596/11317
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้