ในใจลู่เต้าพลันรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย เขาไม่ควรบุกรุกเขตต้องห้ามเช่นนี้ บัดนี้จึงทำได้เพียงคิดหาวิธีหลบหนีโดยเร็วที่สุด เขาจึงตอบว่า “พะ...พลังอย่างนั้นหรือ
“ถูกต้อง” เงาดำกล่าว “พลัง”
“ไม่้า” ลู่เต้าแบกเนื้อกวางเดินออกไป
“เช่นนั้น...สมบัติเล่า” เมื่อเห็นว่าลู่เต้าไม่สนใจพลัง เงาดำจึงเปลี่ยนเป็บาปกำเนิดอีกอย่างมาล่อลวงเขา
“สมบัติหรือ” ลู่เต้าที่กำลังวิ่งออกไป เมื่อได้ยินคำว่าสมบัติก็หยุดฝีเท้าทันใด แล้วหันกลับมาถามว่า “เท่าใดกัน”
“ข้ามอบความมั่งคั่งให้เ้าได้ไม่รู้จักหมดสิ้น” เงาดำกล่าว “รับรองว่าแม้จะผ่านไปหลายชั่วอายุคน เ้าก็ใช้ไม่หมด”
ลู่เต้าพลันหวั่นไหวกับคำพูดของเงาดำ แต่ไม่นานเขาก็ได้สติกลับคืนมา เขาขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “เ้าคิดวางแผนอะไรกันแน่ ข้าไม่หลงกลง่ายๆ หรอก”
“ฉลาด” เงาดำหัวเราะเบาๆ แล้วชี้ไปยังสิ่งที่ดูเหมือนด้ามไม้ยาวบนอก “ตราบใดที่เ้าดึงสิ่งนี้ออก ข้าก็จะมอบสมบัติที่ใช้ไม่มีวันหมดให้แก่เ้า”
ลู่เต้าส่ายหน้าทันที “ไม่เอา!”
“เงื่อนไขที่ข้าเสนอยังไม่น่าดึงดูดใจพอหรือ” เงาดำพึมพำก่อนกล่าวต่อว่า “เช่นนั้นข้าจะยกเว้นสักครั้ง...ขอแค่เ้าดึงมันออก ข้าก็ทำตามความปรารถนาของเ้าหนึ่งข้อ”
“ไม่ต้อง ข้าไม่มีอะไรที่อยาก...” ลู่เต้าพลันหยุดพูด “เดี๋ยวก่อน? ความปรารถนา...หนึ่งข้อหรือ”
เงาดำกล่าว “ถูกต้อง”
ดวงตาของลู่เต้าเปล่งประกายไปด้วยความหวัง “พูดเช่นนั้น...ทะลวงจุดชีพจรก็ได้อย่างนั้นหรือ”
เมื่อรู้ว่าความปรารถนาของลู่เต้าเป็เพียงแค่การทะลวงจุดชีพจร เงาดำก็หัวเราะลั่น ทั่วทั้งถ้ำน้ำแข็งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะก้องกังวานของเขา
“เ้าหนู เ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็ใคร”
“ก็ต้องรู้สิ ทั่วทั้งแคว้นบูรพาครามล้วนรู้ว่าเ้าคือ ‘ผู้นำวิถีอสูร’ ไป๋เสีย” ลู่เต้าขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ส่วนข้าชื่อลู่เต้า ไม่ใช่เ้าหนู!”
“หึ...นึกไม่ถึงว่าพวกแก่คร่ำครึสำนักล่าิญญานั้นจะตั้งฉายาอัปมงคลให้ข้า” ไป๋เสียหัวเราะ “ในเมื่อรู้แล้วว่าข้าเป็ใคร ก็ควรเข้าใจว่าการทะลวงจุดชีพจรนั้น ข้าไม่เคยใส่ใจเลยสักนิด”
หากข้าสามารถทะลวงจุดชีพจรได้ ท่านปู่จะดีใจขนาดไหนกัน ลู่เต้าผู้แบกเนื้อกวางดูราวกับถูกมนตร์สะกด ดวงตาเหม่อลอย ใบหน้าเปื้อนยิ้มไปด้วยความสุข เขาเอื้อมมือไปหาไม้สะกดมารบนกำแพงน้ำแข็งโดยไม่รู้ตัว
เมื่อไป๋เสียเห็นเช่นนั้นก็กระซิบข้างหูเขาไม่หยุดไม่หย่อน “ถูกต้อง เช่นนั้นแหละ ดึงไม้สะกดมารออกมา”
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็ไปด้วยดี ทว่ามือของลู่เต้าที่กำลังจะแตะไม้สะกดมารกลับหยุดชะงัก
“หมู่บ้านทิวจรัสเจ็ดครัวเรือนสามสิบสองชีวิต เมืองแดงชาดเจ็ดสิบสองชีวิต รวมถึงเหตุการณ์ิญญาสัตว์คลุ้มคลั่งในเมืองประดาั...” ลู่เต้าหลับตา ปากพึมพำไม่หยุด
“คนพวกนี้ล้วนแล้วเป็คนที่เ้าสังหาร” หลังจากท่องรายชื่อยาวเหยียดเสร็จ ลู่เต้าก็ได้สติกลับคืน
“เ้าหนู...ข้าพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ข้าไม่ได้ทำเื่พวกนั้น” ไป๋เสียเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบ “มิเช่นนั้น คงไม่ตายกันแค่นี้”
จิตสังหารไร้รูปร่างพุ่งทะลุผนังน้ำแข็งออกมา ทำเอาลู่เต้าถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
ทว่าลู่เต้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ถูกไป๋เสียล่อลวงอีก เขาจึงถือโอกาสนี้แบกเนื้อกวางออกจากถ้ำน้ำแข็งโดยไม่คิดหันกลับไปมองอีก
แว่วเสียงของไป๋เสียดังไล่ตามหลัง “เ้าจะกลับมา...ไม่ช้าก็เร็ว เ้าจะต้องกลับมาแน่...”
ลู่เต้าเหลือบมองเงาดำในผนังน้ำแข็งแวบหนึ่ง ไป๋เสียถูกตรึงไว้กับที่ ไม่อาจขยับได้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไล่ตามมาไม่ได้ ลู่เต้าจึงแบกเนื้อกวาง แล้ววิ่งมุ่งหน้าไปทางหมู่บ้านเมฆาขาวโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย
อีกด้านหนึ่ง เพื่อให้ลู่เต้าสามารถทะลวงจุดชีพจรได้ ท่านปู่ลู่คงจึงนำเหล้าบ๊วยสดที่ดองไว้นานกว่าสิบปีแล้วยังไม่กล้าดื่มมาที่หน้าบ้านของหวังหู่ แล้วเคาะประตูหาเขา
ตอนแรกที่หวังหู่เปิดประตูเห็นลู่คง ก็คิดว่าอีกฝ่ายมาล้างแค้น “เ้ามาทำอะไร ที่นี่ไม่ต้อนรับเ้า”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ มุมปากของลู่คงผู้มีนิสัยหยิ่งยโสก็กระตุกโดยไม่รู้ตัว หากเป็วันปกติคงจะวางมวยกับอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ยี่สิบปีมานี้ ทั่วทั้งหมู่บ้านเมฆาขาวมีผู้ทะลวงจุดชีพจรได้เพียงคนเดียว นั่นคือหวังเหล่ยบุตรชายของหวังหู่
ชายชราคิดว่าลู่เต้าจะปลุกพลังได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าหวังหู่เต็มใจจะเปิดเผยเคล็ดลับให้หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “เหล่าหวัง คืนนั้นข้าผิดไปแล้ว เ้าดูสิ ไม่ใช่ว่าข้านำของมาขอโทษเ้าหรอกหรือ”
ลู่คงเดินเข้าไปในห้องโถง เปิดจุกไม้บนไหเหล้าออก กลิ่นเหล้าบ๊วยพลันอบอวลไปทั่วกระท่อมไม้ผุพัง เพียงแค่ได้กลิ่นเล็กน้อย หวังหู่ก็รู้ว่าเป็เหล้าชั้นดี ถึงแม้ไม่ได้เลิศล้ำ แต่ก็เป็เหล้าที่ดีที่สุดในชนบทห่างไกลแห่งนี้แล้ว
เื่ที่หวังหู่ติดเหล้าเป็ที่รู้กันทั่วหมู่บ้านเมฆาขาว ลู่คงที่เห็นจุดนี้จึงได้นำเหล้าติดมือมาด้วย
เมื่อเห็นว่าหวังหู่จ้องไหเหล้าในมือตัวเองไม่วางตา ลู่คงจึงหยิบจอกเหล้าเปล่าขึ้นมาสองจอก เทเหล้าจนเต็มโดยไม่ให้หกแม้แต่หยดเดียว จากนั้นยกจอกหนึ่งขึ้นดื่มรวดเดียวพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องเกรงใจ”
เมื่อเห็นว่าลู่คงดื่มไปแล้ว หวังหู่ปลดระวางความหวาดระแวง แล้วหยิบจอกเหล้าขึ้นมาดมเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ดื่ม รสชาติหวานละมุนและเผ็ดร้อนแผ่ซ่านไปทั่วปลายลิ้น
“เหล้าดี” เป็ความรู้สึกแรกหลังจากหวังหู่ดื่มเหล้าจนหมด
หวังหู่เพิ่งจะดื่มเหล้าเสร็จ ลู่คงที่ไม่รอให้เขาได้พักหายใจก็เอ่ยเข้าเื่ทันที “จริงสิ เหล่าหวัง ข้ามาขอโทษท่านครั้งนี้ ที่จริง...ที่จริงแล้วข้าอยากถามเื่บุตรชายของเ้าด้วย”
หวังหู่มักจะโอ้อวดว่าบุตรชายของตนเองทะลวงจุดชีพจรได้ จึงทำตัวกร่างไปทั่วหมู่บ้านเมฆาขาว ปกติก็มีเพียงแค่ชายชราตรงหน้าที่กล้าขัดขวางเขา เพราะมั่นใจว่าไม่ช้าก็เร็ว หลานชายจะทะลวงจุดชีพจรได้เช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะเท่าเทียมกับหวังหู่
ดังนั้น การพูดคุยกันของทั้งสองคนจึงมักเต็มไปด้วยบรรยากาศคุกรุ่น
เมื่อเห็นว่าวันนี้ลู่คงผู้หยิ่งยโสกลับมาขอโทษตัวเองด้วยท่าทีอ่อนน้อมยิ้มแย้มเช่นนี้ หวังหู่ก็รู้สึกพึงพอใจเป็อย่างยิ่ง
“เ้าอยากรู้ว่าอาเหล่ยทะลวงจุดชีพจรได้อย่างไรอย่างนั้นหรือ” หวังหู่เริ่มคิดแผนการร้ายในใจ
ลู่คงพยักหน้าด้วยความเหนียมอาย หวังหู่ยิ้มพลางรินเหล้าใส่จอกจนเต็มอีกครั้ง ก่อนดื่มจนหมด ขณะที่สุรารสเลิศไหลผ่านลำคอ ความคิดชั่วร้ายพลันผุดขึ้น
“เห็นแก่เหล้าบ๊วย ข้าจะบอกเ้าก็แล้วกัน อันที่จริงปีที่แล้วเ้าหนูนั่นเป็ร้อนในและเจ็บคอ ข้าจึงนำหญ้าชะตาวสันต์มาให้เขาดับร้อนล้างพิษ ใครจะรู้ว่าหลังจากเขาดื่มแล้วจะทะลวงจุดชีพจรได้”
“หญ้าชะตาวสันต์หรือ” ลู่คงตกตะลึง
เหตุผลที่เขาตกตะลึง หาใช่เพราะหญ้าชะตาวสันต์เป็วัตถุดิบชั้นเลิศ แต่เป็เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณดับร้อนล้างพิษ หาได้ง่ายและมีอยู่ทั่วไปนอกหมู่บ้าน
“น่าเสียดาย ตอนนี้เป็คิมหันต์แล้ว ไม่รู้ว่ายังมีเหลืออยู่หรือไม่” หวังหู่ว่าพลางแสดงสีหน้าเสียดายอย่างเป็ธรรมชาติ
หวังหู่เอ่ยพลางลอบเหลือบมองลู่คง และก็เป็ไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ ชายชราดื่มไปเพียงสองสามถ้วยก็หาข้ออ้างจากไป
โชคดีที่ตอนนี้เพิ่งเป็ต้นคิมหันต์ หากโชคดี บางทีอาจจะหาหญ้าชะตาวสันต์ที่ยังไม่เฉาได้สักต้นสองต้น!
ลู่คงซึ่งร้อนใจเป็อย่างยิ่งไม่สนใจว่าใกล้จะมืดค่ำแล้ว เขาวิ่งมุ่งหน้าออกไปนอกหมู่บ้านทันที ตอนนี้ต้องรีบแข่งกับเวลา ลู่เต้าช้ากว่าคนอื่นสองปีแล้ว หากช้าไปอีกหนึ่งปี จุดชีพจรในร่างปิดผนึกก็จะกลายเป็คนธรรมดาเฉกเช่นเดียวกับเขา
หวังหู่ยืนพิงหน้าต่างมองส่งชายชราที่เร่งรีบจากไปพลางหัวเราะอย่างผู้มีชัย เขาไม่ชอบใจชายชราผู้นี้มานานแล้ว จึงถือโอกาสนี้ใช้ประโยชน์จากความร้อนใจของอีกฝ่ายมากลั่นแกล้งเสียหน่อย
ส่วนเื่ที่บุตรชายของเขาทานหญ้าชะตาวสันต์แล้วทะลวงจุดชีพจรได้นั้น เขาก็กุขึ้นมาเท่านั้น ใครจะรู้ว่าลู่คงกลับเชื่ออย่างง่ายดาย
“อยากเห็นสีหน้าผิดหวังของเขาเสียจริง...” มุมปากหวังหู่ยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็ปิดหน้าต่างลง
ในป่าผีคร่ำครวญ ชายชราหลังงอตรวจดูพืชทุกต้นบนพื้นอย่างละเอียด และเริ่มเดินลึกเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ
“ลู่เต้าหลานของเราไม่ด้อยไปกว่าเ้าอ้วนตระกูลหวังแน่! เมื่อเขาทานของเช่นนี้แล้วทะลวงจุดชีพจรได้ ลู่เต้าก็ทำได้เช่นกัน!”
ขณะที่ลู่คงกำลังมองหาหญ้าชะตาวสันต์อย่างลืมตัว ความมืดก็คืบคลานเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งขุนเขายักษาประหนึ่งคลื่นั์อย่างเงียบงัน
ในเวลานี้ ลู่เต้าแบกเนื้อกวางกลับไปถึงบ้านแล้ว เขาก็ะโด้วยความลิงโลดว่า “ท่านปู่! ท่านดูสิ วันนี้ข้าล่าอะไรมาได้!”
ภายในบ้านเงียบสงัด ถึงแม้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่ภายในบ้านกลับไม่มีตะเกียงน้ำมันจุดไว้เช่นวันปกติ ลู่เต้าวางเนื้อกวางลง ก่อนจะเดินวนไปมาในบ้าน
“...ท่านปู่?”
