วันเวลาก็่ผ่านไปเช่นนี้ เสี่ยวจิ่วฮวานั้นยามนี้แผลที่ฝ่ามือหายดีแล้ว นางไม่ต้องพันผ้าเอาไว้ตลอดเวลาเหมือนเช่นหลายวันก่อนอีก วันนี้อากาศค่อนข้างดีไม่น้อยเลย เสี่ยวจิ่วฮวาจึงออกมายืนรับลมที่ริมระเบียงของตนเอง ไม่นานนักก็มีสาวใช้มาแจ้งว่าเสี่ยวฮูหยินเรียกนางไปพบ
เสี่ยวจิ่วฮวาเพียงพยักหน้ารับรู้ไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใดออกมา ก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปที่เรือนใหญ่ เมื่อมาถึงก็พบกับเสี่ยวเย่วหยาที่กำลังบีบนวดให้เสี่ยวฮูหยินอยู่ เสี่ยวจิ่วฮวาทำความเคารพมารดาของตนก่อนจะเอ่ย
"ท่านแม่เรียกหาข้ามีอันใดหรือเ้าคะ"
เสี่ยวฮูหยินวางถ้วยชาในมือลง ก่อนจะเงยหน้ามามองบุตรสาวของตนคราหนึ่ง
"ตอนนี้เ้าเพิ่งอายุสิบสี่ปี มีเวลาอีกตั้งสองสามปีที่จะเรียนรู้ความรู้ต่างๆ ก่อนอายุครบสิบแปดปีและเตรียมแต่งงานออกเรือนไป ยามนี้สำนักศึกษาเหมยฮวาเปิดทำการสอนแล้ว ข้าได้จัดการส่งคนไปลงรายชื่อเอาไว้ให้เ้าเรียบร้อยแล้ว อีกสามวันเ้าก็ไปรายงานตัวที่สำนักศึกษา ไปร่ำเรียนความรู้เอาไว้ให้มากๆ จะเป็ผลดีต่อตัวเ้า ดูพี่สาวเ้าสินางก็เคยเรียนที่นั่นเช่นเดียวกัน กิริยามรรยาทงดงาม เพียบพร้อมทุกอย่าง หากไม่ใช่เพราะว่าสุขภาพของนางไม่แข็งแรง นางคงออกเรือนไปนานแล้ว โชคดีที่ผิงเป่ยของเราไม่มีกฎเกณฑ์การแต่งงานที่บีบคั้นสตรีมากเกินไป สตรีอายุครบสิบห้าปีไม่ต้องรีบแต่งงานก็ได้ และสตรีที่มีอายุไม่เกินยี่สิบห้าปีก็ยังสามารถแต่งงานได้ไม่ผิดระเบียบและไม่ถือว่าล่าช้า ยามนี้เ้าอายุยังน้อย เก็บเกี่ยวความรู้เอาไว้ย่อมไม่เสียหาย วันหน้าย่อมได้แต่งเข้าตระกูลที่ดีแน่นอน"
เสี่ยวจิ่วฮวาไม่เอ่ยสิ่งใด นางพลันนึกถึงเื่ราวเก่าก่อนขึ้นมาได้
สำนักศึกษาเหมยฮวาเป็สำนักศึกษาที่เหล่าสตรีซึ่งยังไม่ออกเรียนั้แ่อายุสิบสองถึงสิบเจ็ดปีสามารถเข้าเรียนได้ เป็สถานศึกษาที่ดีเป็อย่างมาก คุณหนูที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงจะได้เรียนอีกห้องเรียนหนึ่ง ส่วนคุณหนูที่มีฐานะปานกลางจนถึงบุตรสาวที่เกิดจากอนุจะได้เรียนอีกห้องหนึ่ง ทุกวันจะมีเหล่าอาจารย์จากในวังหลวง รวมถึงบัณฑิตมีชื่อเสียงมาสั่งสอนความรู้ สำนักศึกษาเหมยฮวาแห่งนี้เปิดสอนมาั้แ่สมัยอดีตฮ่องเต้ทรงขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ แม้จะผลัดเปลี่ยนแผ่นดินแล้วก็ยังคงเปิดสอนเช่นเดิมไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอันใด อีกทั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็เห็นว่าเป็สถานศึกษาที่ดีจึงไม่ได้สั่งให้ยกเลิกแต่อย่างใด เมื่อเป็เช่นนี้จวนตระกูลไหนที่พอมีเงินจึงมักจะส่งบุตรสาวมาร่ำเรียนที่สำนักศึกษาเหมยฮวาด้วยกันทั้งสิ้น
ส่วนอีกที่หนึ่งคือสำนักศึกษาลู่จื้อ เป็สำนักศึกษาสำหรับเหล่าคุณชายจวนต่างๆ ซึ่งจะแบ่งห้องเรียนตามชนชั้นเช่นเดียวกับสำนักศึกษาเหมยฮวา
สถานศึกษาสองแห่งนี้เริ่มแรกจะให้เรียนพื้นฐานเสียก่อน แล้วจึงจะทำการสอบ หากคุณหนูหรือคุณชายจวนใดสามารถสอบทำคะแนนได้ดีเยี่ยม จะได้มีโอกาสได้ที่นั่งด้านหน้า ซึ่งเป็ที่นั่งที่ดีที่สุด
ในยามนั้นนางได้เข้าไปเรียนที่สำนักศึกษาเหมยฮวาเช่นเดียวกัน แต่ว่ากลับไม่สนใจการเรียน เอาแต่ปรายตามองเหยียดเหล่าคุณหนูที่มาจากตระกูลต่ำต้อย อีกทั้งยังมักมีเื่กับคุณหนูในห้องเรียนเดียวกัน ไปเรียนได้เพียงหนึ่งเดือนนางก็ถูกไล่ออก สร้างความอับอายให้แก่บิดามารดาไม่น้อย ในวันที่ถูกไล่ออก นางยังหันไปด่าอาจารย์ในสถานศึกษาว่า
"สอนไม่รู้เื่ สอนเช่นนี้ไปสอนวัวสอนควายเถอะ!!!"
เสี่ยวจิ่วฮวารู้สึกโมโหตนเองไม่น้อยเลย ยามนั้นนางสิ้นคิดถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เสี่ยวฮูหยินที่เห็นบุตรสาวนิ่งเงียบไป จึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"ทำไม เ้าไม่อยากไปเรียนหรือ พี่สาวของเ้าก็เรียนที่นั่นเช่นเดียวกัน นางก็เรียนได้ดีไม่มีปัญหาอันใด หวังว่าเ้าจะตั้งใจเล่าเรียน อย่าทำขายหน้าจวนตระกูลเสี่ยวเล่า"
เสี่ยวเย่วหยาที่ได้ยินอย่างนั้นจึงได้เอ่ยขึ้นมาทันที
"อาจิ่ว เ้าไม่ต้องกังวลนะ ไปเรียนเพียงครึ่งวันแล้วก็สามารถกลับจวนได้ อาจารย์ก็ใจดีมาก ขอเพียงเ้าเชื่อฟังสักหน่อย ย่อมเรียนที่สำนักศึกษาได้อย่างราบรื่น"
เสี่ยวจิ่วฮวาพยักหน้าเล็กน้อยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ให้เรียนนางก็จะเรียน อีกทั้งนางเรียนเพราะอยากหาความรู้เพิ่มเติมเอาไว้ ไม่ได้เรียนมาเพื่อหวังจะเอาไปปรนนิบัติเอาใจสามีแต่อย่างใด ผิงเป่ยจะมีกฎเกณฑ์การแต่งงานเช่นใดนางไม่ได้สนใจ ขอเพียงชีวิตในแต่ละวันผ่านไปอย่างราบรื่นไร้กังวลก็พอแล้ว นางยังมีหลายสิ่งที่ต้องจัดการและหาทางออกไม่ได้ เช่นนั้นเื่แต่งงานนางจึงวางมันเอาไว้หลังสุดของทุกเื่
เสี่ยวฮูหยินระยะหลังมานี้เริ่มคุ้นชินกับท่าทีไม่ต่อต้านของบุตรสาวมากแล้ว นางจึงเอ่ยถามเสี่ยวจิ่วฮวาทันที
"แผลที่มือของเ้าหายดีแล้วกระมัง"
เสี่ยวจิ่วฮวาจ้องมองมารดาของตน ก่อนจะเอ่ย
"หายแล้วเ้าค่ะ ข้าน่ะหนังหนา ตีเพียงเท่านี้ไม่เจ็บถึงตายหรอกเ้าค่ะ"
"อาจิ่ว!!! เ้าไม่เอ่ยวาจากระทบกระเทียบข้าสักวันมันจะนอนไม่หลับหรือ!!!"
เสี่ยวจิ่วฮวาเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเอ่ย
"อีกสามวันก็ต้องไปเรียนแล้ว ข้าขอไปเตรียมตัวก่อนนะเ้าคะ"
นางเอ่ยจบก็คิดจะเดินจากไปในทันที เสี่ยวฮูหยินที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยเรียกทันที
“ช้าก่อน!!!”
เสี่ยวจิ่วฮวาถอนหายใจออกมา คิดในใจว่าคงจะเรียกนางไปดุด่าอีกกระมัง ท่านแม่ไม่ยอมปล่อยนางไปอย่างง่ายดายเลยจริงๆ
เมื่อเสี่ยวจิ่วฮวาหันมาก็ต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นว่ามีจานขนมยื่นมาตรงหน้าของนาง เสี่ยวฮูหยินกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“ขนมดอกกุ้ย กินเยอะๆ ปากเ้าจะได้ไม่ว่าง คำพูดชวนระคายหูจะได้ไม่หลุดออกมา ข้าทำเองกับมือ หากเ้าไม่กินก็ไม่ต้องมาพูดกับข้า”
เสี่ยวจิ่วฮวาจ้องมองขนมจานนั้น ก่อนจะยื่นมือไปรับมันมาถือเอาไว้ และเอ่ยกับมารดาของตน
“ท่านแม่ถึงกับลงมือทำเอง ข้าไม่กินคงอกตัญญูแย่ ขอบคุณมากเ้าค่ะ”
พูดจบนางก็เดินจากไปทันที เสี่ยวฮูหยินถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปพูดคุยกับเสี่ยวเย่วหยา
"เย่วหยา เ้าว่าอาจิ่วจะก่อเื่หรือไม่"
เสี่ยวเย่วหยาไม่ตอบ นางส่ายหน้าไปมาช้าๆ เพราะนางเองก็เดาใจเสี่ยวจิ่วฮวาไม่ถูกเช่นเดียวกัน
สามวันต่อมาก็เป็วันที่เสี่ยวจิ่วฮวาต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาเหมยฮวาแล้ว นางนั่งรถม้าออกจากจวนไปั้แ่เช้าตรู่ ก่อนนางจะไปสาวใช้จากเรือนใหญ่เดินเข้ามาหานางพร้อมกับมอบถุงเงินให้นาง บอกเพียงว่าท่านแม่ให้นางเก็บเอาไว้ใช้ระหว่างทาง เสี่ยวจิ่วฮวายิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินทางไปที่สำนักศึกษาทันที เมื่อรถม้าหยุดลง นางก็ก้าวเดินลงมาจากรถม้า ครั้งนี้หูเป่ามากับนางด้วย แต่ทำได้เพียงรอที่ด้านอกสำนักศึกษาไม่สามารถตามเข้าไปด้วยได้
เมื่อเดินเข้ามาถึงในสำนักศึกษาแล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาก็ไปลงทะเบียนรายชื่อเพื่อหาที่นั่งของตนเอง เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินเข้าไปด้านใน พบว่ามีคุณหนูมากหน้าหลายตามาถึงก่อนนางหลายคนแล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาไม่รู้จักใครมากนัก เพราะนางไม่ได้คบหาใครเป็สหายจริงจัง อีกทั้งตอนนี้คนยังมาไม่ครบ นางจึงมีเวลาเดินไปชมต้นไม้ดอกไม้เพื่อฆ่าเวลาได้
ที่สำนักศึกษาเหมยฮวานั้นร่มรื่นไม่น้อย มีต้นไม้และดอกไม้ที่ปลูกเอาไว้เต็มไปหมดแล้ว ยังมีสระน้ำและูเาจำลองอีกด้วย เมื่อได้มองดูน้ำที่ใสสะอาดมันทำให้เสี่ยวจิ่วฮวารู้สึกสดชื่นไม่น้อยเลย
ในขณะที่เสี่ยวจิ่วฮวากำลังเดินชมนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย ก็พบกับสตรีน้อยนางหนึ่งที่เดินอยู่ในสวนดอกไม้ สตรีน้อยนางนั้นเมื่อมองเห็นเสี่ยวจิ่วฮวา ก็เอ่ยขึ้นมาทันที
"นี่ๆ เ้าช่วยข้าหน่อยสิ"
เสี่ยวจิ่วฮวาหันมองซ้ายขวา ก่อนจะยกนิ้วชี้ที่ตนเองคราหนึ่ง สตรีน้อยนางนั้นพยักหน้า ก่อนจะเอ่ย
"เ้านั่นแหละ!!"
เสี่ยวจิ่วฮวารู้สึกงงงวยไม่น้อย แต่ทว่านางก็ยอมเดินเข้าไปหาสตรีน้อยนางนั้น ก่อนจะเอ่ยถาม
"ให้ข้าช่วยสิ่งใดหรือ"
"คือว่า ข้าเห็นผลทับทิมตรงหน้ามันลูกใหญ่น่ากินมากเลย ข้าจึงจะเอื้อมมือไปเก็บ แต่พื้นตรงนี้ลื่นมาก ข้าจึงเผลอทำรองเท้าร่วงตกไปในสระน้ำนั่นตอนกำลังจะยื่นมือไปเก็บผลทับทิม ฮือ ข้าไม่มีรองเท้าใส่แล้ว เ้าช่วยข้าได้หรือไม่"
เสี่ยวจิ่วฮวามองไปที่รองเท้าข้างนั้น ก่อนจะมีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อย
แต่เมื่อได้มองเห็นใบหน้าที่ร้อนรนของสตรีน้อยนางนั้นเสี่ยวจิ่วฮวาก็รู้สึกสงสารขึ้นมา ั้แ่ย้อนเวลากลับมานางรู้สึกว่าตนเองเริ่มมีจิตใจที่สงสารผู้คนมากขึ้น มองเห็นความเป็จริงหลายอย่างมากขึ้น เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"อืม ได้ แต่เ้าต้องช่วยข้าหาไม้ก่อน เอาไม้ยาวๆ หน่อย"
"ได้สิ อ้อ ว่าแต่เ้าชื่ออันใด ข้าคือหยางซู่ซู่นะ"
เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม
"เ้ามาจากตระกูลหยางหรือ?"
"อืม ข้าเป็บุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านเสนาบดีกรมพระคลังเชียวแหละ"
เสี่ยวจิ่วฮวาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะครุ่นคิดถึงเื่ราวบางอย่างขึ้นมาได้
ในปีนั้นนางอายุสิบเจ็ดปี ในวังมีข่าวลือว่าพระชายารองจากตระกูลหยางที่เพิ่งเข้าวังไปเพียงเจ็ดวันเกิดล้มป่วยโดยหาสาเหตุไม่ได้ ไม่นานก็สิ้นพระชนม์ แต่ยามนั้นนางไม่เคยพบหน้าพระชายารองเลยสักคราได้ยินเพียงว่ามาจากตระกูลหยาง ท้ายที่สุดพระชายารองผู้นั้นก็สิ้นพระชนม์ตายจากไป และคนตระกูลหยางก็หายไปจากเมืองหลวงนับแต่นั้น
เมื่อคิดได้อย่างนั้นเสี่ยวจิ่วฮวาก็จ้องมองหยางซู่ซู่อย่างไม่ละสายตาในทันที
พระชายาที่ตายผู้นั้นก็คือหยางซู่ซู่หรือ!!!
นางพอจะคาดเดาได้ว่าเพราะเหตุใด หยางซู่ซู่ที่แต่งเข้าไปเป็พระชายารองจึงล้มป่วยและตายจากไป
ย่อมเป็เพราะทนการทารุณกรรมจากองค์รัชทายาทผู้เป็สามีไม่ไหว!!!
เสี่ยวจิ่วฮวาใจเต้นแรงอีกทั้งใบหน้าเริ่มซีดเผือด ให้ตายเถอะ นางไม่คิดมาก่อนเลยว่า สตรีน้อยที่บอบบางเช่นนี้จะต้องถูกบุรุษใจอำมหิตเช่นนั้นรังแกจนตาย!!!
เชื้อพระวงศ์ผิงเป่่ยช่างเลวร้ายเกินคนจริงๆ เห็นชีวิตคนเป็ผักปลาหรือไรกัน ให้ตายชาตินี้นางก็ไม่แต่งกับเชื้อพระวงศ์เด็ดขาด!!
หยางซู่ซู่ที่ได้เห็นว่าเสี่ยวจิ่วฮวานิ่งงันไป จึงยื่นมือมาสะกิดที่แขนของเสี่ยวจิ่วฮวา ก่อนจะเอ่ยถาม
"ว่ายังไง เ้ายังไม่ตอบข้าเลยนะ"
เสี่ยวจิ่วฮวาพลันได้สติขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย
"ข้าชื่อเสี่ยวจิ่วฮวา เป็บุตรสาวท่านแม่ทัพใหญ่เสี่ยว"
หยางซู่ซู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจได้ในทันที นางพอจะได้ยินชื่อเสียงของเสี่ยวจิ่วฮวามาบ้าง แต่ไม่เคยพบหน้ากัน แต่นั่นไม่ใช่เื่ของนางเสียหน่อย หากคนผู้นั้นไม่ได้สร้างปัญหาให้กับนาง นางก็ไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่งเก่ี่ยวหรือร่วมวงหาเื่เช่นคุณหนูจากจวนตระกูลอื่น
เสี่ยวจิ่วฮวาไม่อยากจะเสียเวลาอีก เพราะไม่นานคงจะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้นเสี่ยวจิ่วฮวาจึงเอ่ยกับหยางซู่ซู่อีกรอบ
"หาไม้มาให้ข้าที"
"ได้สิ เ้ารอสักครู่"
หยางซู่ซู่เอ่ยจบก็รีบวิ่งไปหาไม้ยาวมาให้เสี่ยวจิ่วฮวา เสี่ยวจิ่วฮวารับมันมาก่อนจะใช้ไม้พยายามเขี่ยๆ รองเท้าของหยางซู่ซู่กลับมา แต่มันไม่ง่ายเลย นางพยายามอย่างไรก็ไม่ได้เสียที หยางซู่ซู่ร้อนใจ จึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"เสี่ยวจิ่วฮวา ข้าจะจับมือเ้าไว้ เ้าโน้มตัวไปข้างหน้าเลย แล้วค่อยๆ ใช้ไม้เขี่ยมันมา ข้าจะจับเ้าไว้แน่นๆ"
"ได้"
หยางซู่ซู่รีบจับมือของเสี่ยวจิ่วฮวาเอาไว้ทันที เสี่ยวจิ่วฮวาที่เห็นอย่างนั้นจึงรีบโน้มตัวไปหมายจะใช้ไม้เขี่ยรองเท้าของหยางซู่ซู่กลับมา แต่ทว่า
ตู้ม!!!
คนทั้งสองร่วงตกน้ำไปพร้อมกันจนน้ำกระเซ็นไปทั่วทั้งบริเวณ ทำให้ผู้คนที่ได้ยินเสียงวิ่งเข้ามาดู ก่อนจะพบว่ามีสตรีสองนางกำลังนั่งอยู่ในสระน้ำ ด้วยสภาพทุลักทุเลไม่น้อยเลย แต่ทว่าน้ำไม่ได้ลึกมากนัก หยางซู่ซู่นั่งอยู่ในน้ำ มือหนึ่งถือรองเท้าเอาไว้ ส่วนอีกมือก็กอดรัดเอวบางของเสี่ยวจิ่วฮวาไม่ยอมปล่อย ด้านเสี่ยวจิ่วฮวานั้นกำลังใช้สองมือเกาะขอบสระอยู่ บนศีรษะมีเศษตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะอยู่เต็มไปหมด
ให้ตายเถอะ!!! การมาเรียนวันแรกของข้าช่างสุนทรีย์เสียจริง!!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้