ยิ่งถูกเฟิงอวี้จ้องมองอยู่เช่นนี้ ความรู้สึกผิดของอวี๋มู่ก็ยิ่งแสดงออกมาอย่างชัดเจน
แม้เขาไม่ได้กล่าวต่อ แต่กลับทำให้นึกถึงเ้าลูกสุนัขเว่ย
เขาจำได้ว่า ในตอนนั้นเ้าลูกสุนัขเว่ยก็เปลี่ยนแปลงตัวเองมากมายเพื่อเขา จนท้ายที่สุดก็ถึงขั้นเปลี่ยนไปจากประมุขจอมมารที่เคยเป็ตัวของตัวเองเหมือนแต่เดิม
ซึ่งตอนนี้เฟิงอวี้ก็เป็เช่นนี้
เฟิงอวี้ตัดสินใจอย่างเคร่งขรึมที่จะมอบสิทธิ์ในการตัดสินใจของตนเองให้อวี๋มู่
สิ่งไหนที่อวี๋มู่ชอบ เขาก็จะทำ ส่วนสิ่งไหนที่อวี๋มู่ไม่ชอบ เขาก็จะไม่ทำ
เหตุใดถึงเชื่อฟังกันเช่นนี้?
ตัวเขาเป็เพียงิญญาพิศวาสที่ไม่มีที่มาที่ไป มีความสำคัญกับใจของอีกฝ่ายเช่นนั้นเลยหรือ?
“แล้วเ้า้าเจอพวกเขาหรือไม่? ” อวี๋มู่ถามอีกฝ่าย “ไม่ใช่การแก้แค้น เพียงแต่ไปเจอหน้าสักครั้ง เ้าอยากไปหรือไม่? ”
เฟิงอวี้หลุบตาลง พลางจับมือของอวี๋มู่ แล้วเอ่ย “ไม่้า”
แต่นาทีถัดมา เขาก็เอ่ย “แต่…ข้า้าไปสุสานพระราชวัง เพื่อเคารพท่านแม่”
เฟิงอวี้ไม่เคยเห็นหน้ามารดาของตัวเอง เขารู้เพียงว่ามารดาผู้ให้กำเนิดตายตอนที่คลอดเขา จากนั้นเขาก็ถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินของพระราชวังเรื่อยมา แม้แต่การไปเคารพสุสานของอีกฝ่าย เขาก็ยังไม่มีโอกาส
เฟิงอวี้นั้นเคยเกลียดชังมารดา เกลียดที่นางทิ้งเขาไว้ก่อนจะดำสู่น้ำพุใต้ธรณี[1] แล้วทิ้งเขาไว้ให้เปล่าเปลี่ยวและแบกรับเื่ราวทั้งหมดนี้
แต่ตอนนี้ เขากลับเหมือนกับเ้าภูติผีน้อยตัวนั้น ที่ถูกกระตุ้นด้วยคำพูดของอวี๋มู่ จนอยากไปพบท่านแม่สักครั้งที่สุสานพระราชวัง แล้วพูดคุยกับนาง
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ” อวี๋มู่เอ่ย “ข้าจะไปเป็เพื่อนเ้าเอง”
ใจของเฟิงอวี้สงบลงอย่างน่าแปลกประหลาด เขาวางอวี๋มู่ลง แล้วกอดไว้
อวี๋มู่เอ่ยถามเขาอีก “ตอนนี้เ้าเป็อิสระแล้ว มีเื่อะไรที่อยากทำหรือไม่? ข้าจะทำเป็เพื่อนเ้าเอง”
“เื่ที่อยากทำ…” เฟิงอวี้หรี่ตายิ้ม พลางจ้องไปที่แอ่งไหล่ของอวี๋มู่ แล้วยิ้มออกมา “ขอเพียงอยู่กับเ้า ไม่ว่าทำอะไรข้าก็มีความสุข”
“…”
จู่ๆ อวี๋มู่ก็รู้สึกว่ารับมือยากขึ้นมา
*
หลังจากที่เฟิงอวี้หลับไป เขาก็เอ่ยถามระบบ : เ้าระบบ เื่ที่ฉันให้นายตรวจ เป็อย่างไรบ้าง? ตรวจค้นได้หรือเปล่า?
[ตรวจเจอแล้วครับ…] ระบบพูดด้วยน้ำเสียงอ้ำอึ้ง [คุณชายตระกูลสูงส่งของิญญาพิศวาสร่างเดิม ไปเกิดใหม่แล้วจริงครับ สถานะสูงส่งทีเดียว ฮ่าๆๆ… สูงส่งมากจริงๆ…]
อวี๋มู่ขมวดคิ้ว: เขาไปเกิดเป็ใคร?
[พระเอกของเื่นี้ครับ องค์ชายเก้า เฟิงฉี่]
อวี๋มู่แทบแตกเป็เสี่ยง
มีเื่บังเอิญถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
แล้วจะให้เขาดำเนินแผนต่ออย่างไรดี?
ตอนอยู่ในเจดีย์เจิ้นเยาเขาก็เริ่มคิดวิเคราะห์ ว่าหากรอให้คะแนนความประทับใจของอีกฝ่ายเต็มห้าดวง แล้วใน24ชั่วโมงสุดท้าย เขาจะทำอย่างไรให้คะแนนกลายเป็ศูนย์
วิธีที่เขานึกได้คือตามหาคุณชายเศรษฐีที่ร่างเดิมของเขาหลงรักแล้วกลับชาติมาเกิด โดยเขาจะแสดงท่าทีว่ารักชายคนนั้นแทบเป็แทบตาย แล้วสุดท้ายก็บอกกับเฟิงอวี้ว่า อันที่จริงข้าใช้เ้าเป็เครื่องมือมาโดยตลอด ข้าออกจากเจดีย์เจิ้นเยาเพื่ออยากตามหาคุณชายที่กลับชาติมาเกิด อีกทั้งข้ายังอยากกินเ้าก็เพื่อคืนกลับหัวใจให้มีชีวิต และอยู่กับคนที่ข้ารักอย่างสุดใจไปตลอด
ข้ออ้างนี้อดพูดไม่ได้ว่าเกินจริงไป แต่ขอเพียงแสดงให้ถึงบทบาท แกล้งโจมตีเฟิงอวี้ บวกกับคนที่กลับชาติมาเกิดนั้นต้องนึกความทรงจำในอดีตขึ้นมาได้ แล้วแสดงท่าทีที่ชอบเขา เขาคิดว่าคงจะหลอกเฟิงอวี้ได้ และทำให้อีกฝ่ายตัดใจจากตัวเองได้อย่างเด็ดขาด
เขาคิดว่าเกลียดชังย่อมดีกว่ารักเขา อย่างน้อยแบบนี้ก็ทำให้อีกฝ่ายมีชีวิตต่อไปได้ ไม่เหมือนกับเหลียงเสี่ยวหานและเ้าลูกสุนัขเว่ย ที่ถอดใจกับชีวิตตัวเอง แล้วถูกความรักพัวพัน
แต่เขาคิดไม่ถึงว่า คนที่กลับชาติมาเกิดนั้นจะเป็พระเอกในเื่ ซึ่งก็คือเฟิงฉี่
เขาต้องไปแสดงบทบาทอ่อยเหยื่อให้เฟิงฉี่จริงๆ อย่างนั้นหรือ?
นี่มันไม่เท่ากับว่าชักศึกเข้าบ้านหรืออย่างไร?
ตามบทประพันธ์ ตอนนี้เฟิงอวี้ควรจะต้องเผาวัดหนานหลัวให้มอดไหม้ แล้วก่อตั้งพรรคมาร สองปีถัดมาก็บุกเข้าพระราชวังเพื่อห้ำหั่น ต่อสู้ชี้เป็ชี้ตายกับพระเอกเฟิงฉี่
แต่ตอนนี้เฟิงอวี้มีเขาอยู่เคียงข้าง เปลี่ยนจากร้ายเป็ดี ซึ่งไม่ง่ายเลยกว่าจะควบคุมมาได้
จะให้เขาต้องไปชักศึกจริงหรือ?
บ้าไปหรือเปล่า?
อวี๋มู่เอ่ยถามระบบอีกรอบ: เ้าระบบ นายแน่ใจนะว่าตัวเองไม่ได้ตรวจพลาด? พระเอกเฟิงฉี่เป็คุณชายเศรษฐีกลับชาติมาเกิดจริงเหรอ?
[อืม ผมตรวจสอบซ้ำอีกรอบแล้ว] ระบบหน่ายใจ [ไม่ได้ตรวจผิดพลาดแน่นอนครับ]
อวี๋มู่เงียบไป
เขามองเฟิงอวี้ พลางเกาหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด อยากสูบบุหรี่เพื่อข่มอารมณ์ แต่กลับพบว่าโลกใบนี้ไม่มีสิ่งของแบบนี้ ในมือก็ไม่มีดอกหญ้าให้เขาเคี้ยว ยิ่งทำให้รู้สึกงุ่นง่านเข้าไปอีก
[โฮสต์ครับ ผมว่าช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรคุณก็ไม่อยากให้เฟิงอวี้มีจุดลงเอยแบบเดียวกับเนื้อเื่เดิมใช่ไหมครับ?]
เ้าระบบกล่าวถูก หากว่าเฟิงอวี้นั้นปะทะกับเฟิงฉี่เพราะเื่ของตัวเอง มีความเป็ไปได้สูงว่าจะเหมือนกับตัววายร้ายในเนื้อเื่เดิม ที่ทำบาปหนักหนา
เขาไม่อยากให้เฟิงอวี้เดินตามรอยของเนื้อเื่ต้นฉบับ ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธีอื่นที่ปลอดภัยกว่านี้
*
เพียงแต่ว่าเื่ราวมากมาย ไม่ใช่ว่าพอไม่คิด แล้วจะไม่เกิดเื่
่ระยะเวลาหนึ่งที่เฟิงอวี้กับอวี๋มู่อยู่ด้วยกันในวัดหนานหลัว เฟิงอวี้ออกตัวไปขออนุญาตกับท่านเ้าอาวาสเพื่อไปเคารพท่านแม่ที่สุสานพระราชวัง เ้าอาวาสเข้าใจความรู้สึกของเขาดี แล้วยังเห็นเขานั้นอยู่ในโอวาทมาโดยตลอด ไม่มีเศษเสี้ยวเงาปีศาจร้าย จึงตอบรับคำขอ
เมื่อได้โอกาสในการลงจากเขา อวี๋มู่เองก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย
ถึงอย่างไรในวัดหนานหลัว เขาก็กล้าอยู่แต่ภายในห้องของเฟิงอวี้ที่ร่ายม่านคาถาไว้ เหมือนกับว่าเพิ่งออกจากเจดีย์เจิ้นเยา แต่ก็ถูกเฟิงอวี้จองจำไว้แทน
แน่นอนว่าจุดนี้ นักบวชน้อยไม่ได้ยอมรับ
เฟิงอวี้สวมบทบาทสองบุคลิกได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย โดยกลางวันแกล้งเป็หย่งอวี้ จำกัดตัวเองอยู่ในกรอบศีลธรรม ส่วนกลางคืนก็กลายเป็เฟิงอวี้ที่ราวกับจิ้งจอกหรือเสือก็ไม่ปาน
หากตอนกลางวันเขาอยากออกไป หย่งอวี้ก็จะทำท่าเหมือนลำบากใจ แล้วเอ่ยกับเขา: โยมอวี๋ อาตมากลัวว่าจะเกิดเื่กับเ้า ดังนั้นรอข้าอยู่ที่ห้องดีหรือไม่?
ส่วนตอนกลางคืนเขาอยากออกไป เฟิงอวี้ก็จะดึงเขาเข้ามากอดไว้แล้วเอ่ย: เ้าอยากทิ้งข้าไว้แล้วหนีไปอย่างนั้นหรือ? เ้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ต้องอยู่เป็เพื่อนข้าที่นี่!
เขาแสดงได้เหมือนจริง จนทำเอาอวี๋มู่ถึงกับทึ่ง และต่อมาอวี๋มู่เองก็แทบจะกลายเป็จิตเภทไปด้วย ถึงขั้นที่นึกว่าคะแนนความประทับใจที่รวมเป็หนึ่งแถวนั้นเป็เื่หลอกลวง และทั้งสองยังไม่ได้ผสานกันแต่อย่างใด
ทั้งสองขึ้นมาบนรถม้า อวี๋มู่โผล่หัวออกมาจากแขนเสื้อของนักบวชน้อย แล้วะโใส่เขา “อาจารย์น้อย ข้าออกมาได้หรือยัง? ”
เฟิงอวี้เลื่อนสายตาลงมา มองเห็นอวี๋มู่ตัวจิ๋ว พลันในใจก็ฉุกคิดถึงวิธีที่จะแกล้งเขาต่างๆ นานา
แต่ก็ต้องกลั้นใจไว้
เพราะตอนนี้เขาคือหย่งอวี้ หากมากเกินไปจะทำให้อวี๋มู่ใได้
กระนั้นเด็กหนุ่มจึงค่อยๆ หลุบตาลง ั์ตาสีแดงค่อยๆ จางหาย เหลือเพียงสีดำสนิท
เขาหงายฝ่ามือไปตรงหน้าอวี๋มู่ แล้วเอ่ย “โยมอวี๋ เ้ายืนขึ้นมาสิ”
อวี๋มู่ดึงแขนเสื้อเขาขึ้นไป พอปล่อยแขนเสื้อออก ก็ถูกเฟิงอวี้ยกตัวขึ้นมาวางไว้ข้างหน้าต่างรถม้า แล้วเอ่ย “ในตำรากล่าวว่า วัดหนานหลัวตั้งอยู่บนเนินเขาสูง อยู่ท่ามกลางป่าเขา พวกเราต้องลงจากเขาก่อน เพื่อผ่านป่านานาพรรณ ถึงจะเข้าสู่เส้นทางได้ พอเลียบเส้นทางนั้นไปข้างหน้าก็จะถึงสุสานพระราชวัง”
อวี๋มู่ชะงัก พลางแหงนคอมองเขา
ตามหลักเหตุและผลแล้ว เฟิงอวี้เป็คนบอกว่าจะไปสุสานพระราชวัง และหย่งอวี้ก็ไม่มีความทรงจำระหว่างเขาสองคน ดังนั้นเขาก็ไม่น่าจะรู้เื่นี้ได้
แต่เห็นได้ชัดว่าเฟิงอวี้ไม่ได้แกล้งทำเป็ไม่รู้เื่
อีกทั้ง่นี้เขาก็มีท่าทีเปิดเผยว่าตนเองเริ่มมีความจำเกี่ยวกับเฟิงอวี้ โดยค่อยๆ ทำให้อวี๋มู่รู้สึกได้ และยอมรับการเปลี่ยนแปลงของเขา
ถ้าพูดให้ลึกกว่านี้ก็คือ เขากำลังรอให้อวี๋มู่ยอมรับด้วยตัวเองว่าระหว่างเขาสองคนได้ทำเื่อะไรเลยเถิดไปมากมายแล้ว เขาดูเหมือนแมวที่เล่นกับหนูในอุ้งเล็บ เวลามองดูอวี๋มู่ทำท่าทีลำบากใจ เขินอาย และอึดอัดใจ เขาก็จะยิ่งรู้สึกคันยุบยิบในใจและชอบใจเป็อย่างมาก
ความคิดเช่นนี้ช่างร้ายกาจอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เขาก็มีความสุขแบบนั้น
ถึงขั้นที่คิดจะจับิญญาพิศวาสตัวนี้ขังไปทั้งชาติ จากพลังของตัวเอง ซึ่งนี่ไม่ใช่เื่ยากอะไร
ทว่าด้านศีลธรรมบอกเขาว่า ขนาดตัวเ้าเองยังทนรับการถูกยึดอิสรภาพไปไม่ได้ ทั้งยังชิงชังคนที่กักขังเ้าไว้ แล้วอย่างนั้นอวี๋มู่จะทนรับได้อย่างไร?
เ้า้าให้เขาเกลียดเ้าหรืออย่างไร?
แน่นอนคำตอบคือ: ไม่้า
เขาไม่้าให้อวี๋มู่เกลียดเขา
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเดินนานใช่ไหม?” แน่นอนอวี๋มู่ก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดไปเผยไต๋ของอีกฝ่าย
อายุปูนนี้แล้ว เขาก็ยังต้องรักษาหน้า
ถึงแม้ว่าหย่งอวี้ที่ใสซื่อในตอนนี้จะเป็การแสร้งทำของอีกฝ่าย แต่เขาก็ทำได้เพียงฝืนตัวเองและเป็เพื่อนกับเขา ไม่ไปจิ้มกระดาษหน้าต่างนั้นให้ทะลุ[2]
“อืม ประมาณการว่าอย่างน้อยสามวันถึงจะเดินออกจากป่าได้” เฟิงอวี้เอ่ยพร้อมกับยื่นนิ้วออกไปกดที่ศีรษะของอวี๋มู่ไว้ทันใด จากนั้นเขาก็เลื่อนนิ้วลงไปที่คอเสื้อ แล้วดึงชุดบางของอีกฝ่าย แรงนั้นแทบดึงชุดสีแดงของอวี๋มู่ให้หลุดลงมา
อวี๋มู่ตัวแข็งค้าง ก่อนจะรีบคว้าเสื้อตัวเองไว้ทันที แล้วมองอีกฝ่าย “อาจารย์ นี่มันอะไรกัน? ”
ระบบเริ่มทนไม่ไหวจนต้องะเิหัวเราะออกมา [ฮ่าๆๆๆๆๆ โฮสต์ นี่เขาทนไม่ไหวอยากจะเล่นสำราญกับคุณแล้ว ฮ่าๆๆๆ]
อวี๋มู่: …
“อาตมาแค่เห็นว่าเสื้อผ้าของโยมอวี๋มู่ไม่ได้ใส่ดีๆ จึงอยากช่วย ทำให้เ้าไม่พอใจหรือ? ” นักบวชน้อยก้มหน้าก้มตา ทำน้ำเสียงต่ำลง “ขออภัยอย่างมาก”
ระบบหัวเราะจนท้องแข็ง [ฮ่าๆๆๆๆ เขาแกล้งได้ใสซื่อมาก!]
อวี๋มู่:..เ้าระบบ เป็คนดีหน่อยได้หรือเปล่า?
เขาเบ้ปากแล้วตอบเฟิงอวี้
“อาจารย์ไม่ต้องขอโทษ เพราะข้าเข้าใจท่านผิดเอง”
แล้วจะทำอย่างไรได้? เขาได้แต่กล้ำกลืนอารมณ์นี้ไว้
*
เมื่อตกกลางคืน คนขับรถม้าจอดรถม้าอยู่ในป่า ทำการก่อไฟแล้วหยิบอาหารแห้งออกมารับประทาน โดยนั่งห่างจากเฟิงอวี้มาก จนเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยอยากใกล้ชิดเขามากนัก
ส่วนข่าวลือที่เกี่ยวกับเฟิงอวี้นั้น ประชาชนทั่วทั้งราชวงศ์เฟิงก็รับรู้โดยทั่วกันแล้ว แม้ว่าฮ่องเต้จะประกาศออกมาแล้วว่าปีศาจร้ายในตัวเฟิงอวี้นั้นถูกกำจัดแล้ว และไม่มีทางนำภัยวินาศมาสู่ราชวงศ์ได้อีก แต่การจะให้ประชาชนยอมรับเฟิงอวี้ได้ในเวลาอันสั้นนั้น เห็นทีจะยังเป็ไปไม่ได้
เฟิงอวี้ไม่สนใจท่าทีของอีกฝ่าย เขาลงมาจากรถม้าเอง จากนั้นก็เดินเข้าป่าอันมืดมิด โดยเพิ่มความเร็วฝีเท้า จนเกิดเป็เงาติดตา ทว่าเพียงไม่กี่นาทีก็เดินมาไกลนับลี้ได้ มาถึงยังทะเลสาบน้ำเค็มที่นิ่งสงบและหยุดนิ่ง ก่อนจะหิ้วอวี๋มู่ออกมาจากแขนเสื้อ
แล้ววางอีกฝ่ายไว้บนฝ่ามือ จากนั้นก็ค่อยวางลงพื้น เพื่อเป็สัญญาณให้เขาขยายตัวให้โต
อวี๋มู่ไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่าย้าทำอะไร ในขณะที่เขาคืนกลับสู่ร่างปกติและกำลังจะเอ่ยถาม ก็ถูกนักบวชน้อยจับไหล่แล้วผลัก หลังชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ และวินาทีถัดมาเฟิงอวี้ก็ประทับจูบเข้าไป
ท่ามกลางป่าไม้ที่เงียบสงัด แสงจันทร์สาดส่องบนตัวของทั้งสองคน เฟิงอวี้เอียงคอ โดยใช้มือขวาจับใบหน้าด้านข้างของอวี๋มู่ แล้วบังคับให้เขายินยอมรับการบุกรุกของตัวเอง
ขณะเดียวกันนั้น เขาก็ใช้นิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายที่ว่างอยู่กรีดฝ่ามือ จนเืไหลทะลักออกมาผ่านิั และจงใจคลายกลิ่นอายอสูรฟ้าที่ซ่อนอยู่ออกมา
ทันใดนั้นในป่าก็เกิดเสียงลมชั่วร้าย หมอกสีดำพุ่งมาจากทั่วสารทิศเป็เส้นสาย ตรงดิ่งมาทางเฟิงอวี้!
อวี๋มู่รู้สึกได้ และกำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกนักบวชน้อยปิดตาไว้
ริมฝีปากประกบกัน เฟิงอวี้ใช้เขี้ยวแหลมคมเล็กๆ บดขยี้ริมฝีปากล่างของอวี๋มู่ จากนั้นก็ยื่นมือข้างที่าเ็ออกไป พร้อมกับหงายฝ่ามือขึ้น พลันหมอกสีดำก็พุ่งไปที่ตรงนั้น
เพียงแต่ไม่ทันได้รอให้พวกเขาได้กัดกินลิ้มรสอันโอชะของอสูรฟ้า กลับมีแรงดูดปล่อยออกมา จนพวกเขาถูกดูดเข้าไปในแผลของเฟิงอวี้อย่างสูญเสียการควบคุม และไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกกลืนกินเข้าไปจนหมดสิ้น
นี่แทบจะเรียกได้ว่า… “ตาย” แบบไม่รู้ตัวว่าตายอย่างไรด้วยซ้ำ…
เฟิงอวี้แสยะยิ้ม ชั่วพริบตาั์ตากลับกลายเป็สีแดงฉาน แล้วพรางกลิ่นอายของตัวเองอีกครั้งอย่างสมบูรณ์แบบ ต่อจากนั้นก็มองสำรวจไปรอบทิศ เมื่อมองเห็นร่องรอยที่เกิดขึ้นเพราะลมชั่วร้ายแล้ว จึงเอามือที่ปิดตาอวี๋มู่ออกอย่างพอใจ
เขาเอ่ย “อวี๋มู่ ข้ามีของขวัญจะให้เ้า”
ระบบอุทานก้องในหัว เมื่ออวี๋มู่ลืมตาขึ้น ก็มองเห็นแสงสีเขียวนีออนสว่างนับร้อยวนเวียนอยู่รอบกายของทั้งสองคน มีทั้งเกาะอยู่บนต้นไม้ และลอยอยู่เหนือทะเลสาบที่เหมือนกับกระจก ทำให้ค่ำคืนที่มืดมิดสว่างไสวขึ้น
ส่วนนักบวชน้อยผู้หล่อเหลาก็ยืนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างเหล่านี้ พลางยกยิ้มให้เขา ซึ่งลักยิ้มบนแก้มทั้งสองข้างดูน่าชมชอบกว่าปกติ
จากนั้นก็เอ่ยถามเขาด้วยความคาดหวังเต็มที่ “ชอบหรือไม่? ”
อวี๋มู่ตกตะลึง
ส่วนระบบก็กำลังอธิบายการกระทำบ้าบิ่นของเฟิงอวี้ให้เขาฟัง
เมื่อฟังจบ เขาก็นิ่งเงียบไปอีก
นักบวชน้อยบังเอิญได้อ่านตำราเล่มหนึ่งในหอคัมภีร์ ซึ่งในนั้นมีบันทึกเกี่ยวกับหิ่งห้อย เขาแอบออกไปหาด้านนอกวัดหนานหลัว เมื่อเห็นทะเลสาบแห่งนี้ก็เริ่มคิดวางแผนว่าจะทำให้อวี๋มู่ประหลาดใจ
จากนั้นก็เกิดภาพเหตุการณ์เมื่อสักครู่ขึ้น เพียงเพื่อ้าแรงลม จึงทำให้เกิดภาพอันน่าอัศจรรย์ที่หลอกล่อเหล่าิญญาร้ายนับร้อยตัวออกมา
จะให้ตัดสินการกระทำเช่นไรดี?
อวี๋มู่กล่าวเพียงว่า: เข้าใจยากทีเดียว
แต่ให้ตายสิ เขากลับรู้สึกประทับใจเป็อย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขากลับรู้สึกว่านักบวชน้อยที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงหิ่งห้อยนั้นสวยงาม จนทำให้คนอยากลูบหัวโล้นน้อยๆ ของเขา
“นี่ อวี๋มู่ เ้าอึ้งไปเลยหรือ? ” เฟิงอวี้แสร้งทำท่าทางเหมือนเด็กน้อย แล้วเอ่ยกับเขา “ตอบสิ ชอบหรือไม่? ”
“ชอบ”
เมื่ออวี๋มู่กล่าวจบ ก็ถูกนักบวชน้อยรังแกโดยการประกบริมฝีปากอีกหน พร้อมกับเกี่ยวคอเสื้อด้านข้าง แล้วจูบดูดดื่มกว่าเดิม
เขากดทับชายหนุ่มแล้วจูบเป็เวลานาน จากนั้นเฟิงอวี้ถึงค่อยๆ ถอยหลัง แล้วผละออกจากริมฝีปากของอวี๋มู่ ก่อนจะแนบหน้าผากของเขาเข้าด้วยกัน แล้วยิ้มออกมา
“ให้นภาเป็ผ้าห่ม ธรณีเป็เตียง พวกเราทำตรงนี้สักครั้งดีหรือไม่? ”
----------------------------------------------------------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] น้ำพุใต้ธรณี 黄泉 อ่านว่า หวง ฉวน หมายถึงแหล่งที่ฝังคนตาย
[2] จิ้มกระดาษหน้าต่างนั้นให้ทะลุ 捅破那层窗户纸 ความหมายเปรียบเปรยคือ เื่ราวเท็จจริงทุกคนต่างรู้ดี แต่ไม่มีใครอยากเปิดเผยมันออกมา ราวกับว่ามีเพียงกระดาษหน้าต่างกั้นไว้เพียงชั้นเดียว แม้เพียงแค่จิ้มก็อาจจะทำให้ความจริงถูกเปิดเผยออกมาได้ แต่เพราะกระดาษที่กั้นอยู่นี้ ทำให้มองไม่เห็นเื่จริง หากมีคนแค่จิ้มมันทะลุ นั่นก็คือการจิ้มกระดาษหน้าต่างให้ทะลุนั่นเอง
