ทว่าเคอโยวหรานกลับไม่รู้แม้แต่นิดว่าศิษย์พี่ของนาง้าให้นางคายเงินที่กลืนเข้าไปออกมา
เคอโยวหรานคิดว่าในเมื่อรู้ตัวตนของอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว เช่นนั้นก็ง่ายดายขึ้นไม่น้อย
เพราะถึงอย่างไรอินจิ่วย่อมมิอาจทำร้ายศิษย์สำนักเดียวกัน ดังนั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเื่ที่ตนเป็ศิษย์น้องหญิงของเขา อินจิ่วคิดจะทำสิ่งใดยังต้องใคร่ครวญให้ดี
นอกจากนี้หากตนจัดการอินจิ่วมิได้ อย่างมากที่สุดก็แค่หาสถานที่ไร้ผู้คน จัดการปิดประตูแล้วปล่อยท่านอาจารย์ออกมาเป็พอ
เมื่อคิดเช่นนี้ เคอโยวหรานพลันแย้มยิ้มเปล่งประกายออกมาแล้วเอ่ยกับอินจิ่วว่า “ที่นี่หูตาผู้คนมากมาย พวกเราเปลี่ยนที่หารือกันเถิด!”
สิ้นคำกล่าว เคอโยวหรานพลันเคลื่อนพลังชี่จมลงจุดตันเถียน ปลายเท้าออกแรงถีบเล็กน้อยเพื่อทะยานกายขึ้น เพียงชั่วพริบตาได้แทรกกายเข้าไปในห้องที่อินจิ่วยืนอยู่เมื่อครู่
มุมปากของอินจิ่วยกยิ้มร้าย คิดในใจว่า : น่าสนใจนัก ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอันเลื่องลือของเขาแล้วยังไม่เกรงกลัว มิหนำซ้ำยังเป็ฝ่ายวิ่งเข้าไปในห้องส่วนตัวด้วยตนเองเสียอีก
เห็นทีหากศิษย์น้องหญิงผู้นี้ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาก็คงขวัญกล้าเปี่ยมความสามารถ ไม่เกรงกลัวเพราะมีคนหนุนหลัง!
เขาก็อยากจะรู้เช่นกันว่าในน้ำเต้าของศิษย์น้องหญิงผู้นี้มียาใด [1] กันแน่?
เมื่อคิดเช่นนี้ อินจิ่วพลันเขย่งปลายเท้าแ่เบาเพื่อไล่ตามเคอโยวหรานเข้าไปในห้องส่วนตัวผ่านทางหน้าต่าง
การตอบสนองของอิ่งอีกับอิ่งซานนับได้ว่าเก่งกาจที่สุดในบรรดาองครักษ์เงา ทว่าครั้งนี้ยังช้าไปครึ่งจังหวะ
รอกระทั่งพวกเขาไล่ตามเข้าไปในห้องส่วนตัวของอินจิ่ว กลับได้พบกับภาพเคอโยวหรานกำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะพลางชงชาอย่างสง่างาม
นี่มันสถานการณ์เช่นใดกัน? ทั้งสองคนที่เมื่อครู่คุมเชิงกัน ชั่วพริบตาเดียวกลับอยู่ด้วยกันอย่างสงบเสียแล้ว?
อิ่งอีกับอิ่งซานถึงขั้นคลำหาสมองไม่เจอ แต่กลับไม่ส่งผลต่อคำสั่งที่พวกเขาได้รับ ต่างพากันรีบเคลื่อนย้ายไปคอยคุ้มกันอยู่ด้านหลังของเคอโยวหรานทันที
เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสองยังไม่รู้ฐานะของบุรุษชุดม่วงตรงหน้าแต่อย่างใด
ณ ด้านล่าง หลังจากพวกเคอโยวหรานพากันหายไปพักหนึ่ง บรรดาผู้คนที่เข้ามาสอดรู้สอดเห็นเื่ชาวบ้านถึงได้สติรู้ตัว ล้วนแต่รู้สึกราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่ความจริง
พวกเขาพบเทพเซียนแล้วงั้นหรือ? ทั้งยังเหาะเหินเดินอากาศได้อีกด้วย?
แม่เฒ่าเคอกับเคอก่วงเถียนต่างชะงักงัน ไม่จ่ายเงินชดเชยแล้วหรือ? จากไปทั้งเช่นนี้เลยหรือ?
ทางด้านเคอก่วงเถียนยิ่งสับสนงุนงง บุรุษชุดม่วงผู้นั้นมิได้ชอบพอตนหรอกหรือ? หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว? เขามิได้อยากแต่งนางเป็ฮูหยินหรืออย่างไรกัน?
แม่เฒ่าเคอไม่ยินยอมยิ่งนัก นางดึงเคอก่วงเถียนเดินไปทางประตูใหญ่ของโรงสุราเพราะอยากจะซักถามให้แน่ชัด แต่น่าเสียดายที่ถูกเสี่ยวเอ้อร์ขวางไว้หน้าประตูไม่ยอมให้เข้าไป
“เ้ามีสิทธิ์อันใดไม่ให้พวกเราเข้าไป?” แม่เฒ่าเคอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
เสี่ยวเอ้อร์ยกยิ้มมุมปากอย่างหยามเหยียด “พวกเ้าก็ช่างไม่ดูสารรูปตนเองสักนิด ผู้ที่เข้าไปในโรงสุราแห่งนี้ล้วนแต่เป็ผู้ใดกัน? ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์กระจอกๆ ของพวกเ้ายังอยากจะเข้าไปข้างใน? ยังนอนไม่ทันตื่นหรืออย่างไร?”
เคอก่วงเถียนกำหมัด จดจ้องเสี่ยวเอ้อร์ด้วยความแค้นเคือง นึกอยากจะกระโจนเข้าไปตบหน้าสุนัขที่หยามเหยียดผู้อื่นเช่นนี้สักฉาดแล้วฉีกปากนั่นเสีย
เมื่อครู่เขาไม่เห็นหรืออย่างไร? บุรุษชุดม่วงผู้นั้นทำตัวสนิทสนมเป็กันเองกับตนตั้งเพียงใด
กล่าวไปแล้วเสี่ยวเอ้อร์ก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเช่นกัน แต่นายท่านของเขาเป็ถึงผู้ใด? ยังจะสนใจสตรีบ้านนอกเช่นนี้อีกหรือ?
ไม่เห็นว่านายท่านของเขาไล่ตามหนุ่มน้อยรูปงามผู้นั้นเข้ามาในห้องส่วนตัวหรืออย่างไร? ผู้ที่อยู่ในสายตาของนายท่านก็คือหนุ่มน้อยสวมชุดผ้าไหมผู้นั้น ส่วนหญิงชนบทผู้นี้เป็เพียงสะพานให้นายท่านเข้าไปชวนผู้อื่นสนทนา
เมื่อคิดเช่นนี้ เสี่ยวเอ้อร์จึงทำการขับไล่คนออกไป “ออกไปๆๆ อย่ามายืนหน้าร้านขวางกิจการ ช่างไม่ตักน้ำใส่อ่างชะโงกดูเงาตนเองเสียบ้างว่ามีสภาพเยี่ยงไร?
ด้วยหน้าตาเช่นนั้นของเ้า ยังเทียบมิได้แม้แต่หนึ่งในร้อยของนายท่านของข้าเสียด้วยซ้ำ ยังหวังจะมาประจบสอพลอผู้อื่น ช่างหน้าไม่อายนัก”
แม่เฒ่าเคอกับเคอก่วงเถียนถูกขับไล่ออกมา แม้ภายในใจจะไม่ยินยอมยิ่งนัก แต่กลับไร้หนทางอื่น ทำได้เพียงขนข้าวของที่ซื้อมากลับไปยังร้านรถเกวียนขนของเพื่อนั่งรถกลับหมู่บ้าน
ภายในห้องส่วนตัวบนชั้นสอง
เคอโยวหรานแช่ใบอ่อนของชาเขียวชั้นดีก่อนจะรินเองจิบเอง มิได้นึกจะรินน้ำชาให้ศิษย์พี่ของตนแม้แต่จอกเดียว
อินจิ่วโมโหจนปอดแทบจะมอดไหม้: ประเสริฐ ประเสริฐนัก ประเสริฐเหลือเกิน กล้าดื่มชาของเขา ช่างไม่กลัวว่าจะติดพิษจนทำตนเองตายหรืออย่างไร?
เคอโยวหรานไม่แยแสสีหน้าที่ประเดี๋ยวอึมครึมสลับเขียวคล้ำของอินจิ่วแม้แต่นิด หลังดื่มชาเสร็จยังบอกให้อิ่งซานเรียกเสี่ยวเอ้อร์เข้ามาสั่งอาหารรสเลิศจนเต็มโต๊ะ จากนั้นเรียกอิ่งอีกับอิ่งซานให้นั่งลงกินข้าวด้วยกัน
อิ่งอีกับอิ่งซานสับสนงุนงงราวกับอยู่ในม่านเมฆ ไม่เข้าใจแม้แต่นิดว่ายามนี้คือสถานการณ์เช่นไร?
การทานอาหารร่วมโต๊ะกับผู้เป็นายนับเป็ข้อห้ามร้ายแรง แต่เมื่อผู้เป็นายสั่งมา ในฐานะข้ารับใช้ การทำตามคำสั่งนับเป็หน้าที่พึงกระทำ
ย่อมมิอาจโต้แย้งจนทำให้ผู้เป็นายต้องอับอายต่อหน้าคนนอก ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงทำตามคำสั่งและพากันนั่งลงกินข้าวกับเคอโยวหราน
อินจิ่วอดทนจนเหลืออด จัดการล้วงหยิบพิษระเหยออกมา ทว่าวาจาหนึ่งประโยคของเคอโยวหรานกลับทำให้เขาต้องเก็บมันลงไปอีกครั้ง
“เฮ้อ ข้าว่านะศิษย์พี่ หากท่านอาจารย์รู้ว่าท่านวางยาศิษย์น้องเล็กเช่นข้า ท่านอาจารย์จะลงโทษท่านเช่นไรกัน?”
ศิษย์พี่?
อิ่งอีกับอิ่งซานต่างผ่อนคลายลงภายในเสี้ยววินาที
ก่อเื่วุ่นวายมาค่อนวัน พวกเขาถึงขั้นเตรียมตัวปกป้องฮูหยินน้อยอย่างสุดความสามารถ นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็ศิษย์พี่ของฮูหยินน้อย ยามนี้วางใจได้เสียที
ถ้าต้วนเหลยถิงอยู่ที่นี่เวลานี้ คาดว่าเขาคงจัดการฟาดหนึ่งฝ่ามือหนักๆ ลงบนท้ายทอยของคนทั้งสองไปแล้ว
เพราะเป็ศิษย์พี่ถึงต้องเพิ่มระดับความระแวดระวังขึ้นเป็หนึ่งร้อยยี่สิบเท่า หากถูกศิษย์พี่แย่งภรรยาขึ้นมาจะทำอย่างไร?
อินจิ่วใคร่ครวญคำเตือนของเคอโยวหรานอยู่ครู่หนึ่ง จะว่าไปแล้ว ด้วยนิสัยแปลกประหลาดของเซียนพิษ ตาเฒ่าอาจคิดค้นพิษชนิดใหม่แล้วนำมาทดลองกับตนจริงๆ
ช่างเถิด สุภาพบุรุษไม่สู้กับสตรี ครั้งนี้เขาจะอดกลั้นเอาไว้
หลังเคอโยวหรานดื่มชาทานอาหารจนอิ่มหนำ ในที่สุดอินจิ่วก็เอ่ยออกไปอย่างอดมิได้ “เงินที่ศิษย์น้องหญิงแบ่งไปจากโรงสุราฟู่หยวนแลดูจะมากเกินไปหรือไม่?”
“มากเกินไปหรือเ้าคะ?” เคอโยวหรานไม่แยแสน้ำเสียงข่มขู่ของอินจิ่วแม้แต่นิด นางเปลี่ยนจากนั่งบนม้านั่งไปนั่งบนเก้าอี้ไต้ซือ หลังทิ้งกายนั่งลงตามสบายจึงเอ่ยว่า
“ศิษย์น้องหญิงเช่นข้ายังคิดว่าตนเองใจดี เรียกเงินปันส่วนน้อยจนเกินไปเสียด้วยซ้ำเ้าค่ะ”
ทุกคนภายในห้องรับรองส่วนตัว “...”
ทางด้านอินจิ่วถึงขั้นมีอีกาหนึ่งฝูงบินผ่านเหนือหัว “ศิษย์น้องหญิงเอาเงินกำไรไปห้าส่วนยังคิดว่าน้อย? เช่นนั้นต้องเท่าใดถึงจะเรียกว่ามาก? มิสู้ข้ายกโรงสุราฟู่หยวนให้เ้าเสีย จะได้เติมเต็มความอยากของศิษย์น้องหญิงให้หนำใจเป็อย่างไร?”
เคอโยวหรานถึงกับดวงตาเป็ประกาย พลันกระเด้งกายขึ้นนั่งหลังตรง ท่าทางราวกับฟังไม่ออกถึงน้ำเสียงสื่อความหมายตรงกันข้ามแล้วยกยิ้มหวานเอ่ยว่า
“ไอ้หยา ศิษย์พี่รู้สึกว่าโรงสุราฟู่หยวนเป็ภาระยุ่งยากหรือเ้าคะ? หากท่านคิดเช่นนั้นจริงๆ ศิษย์น้องหญิงเช่นข้าทำได้เพียงฝืนใจรับเอาไว้แล้วเ้าค่ะ
เพราะถึงอย่างไรผู้ที่ต้องช่วยขจัดปัญหาให้ศิษย์พี่ก็คือศิษย์น้องหญิงเช่นข้า นับเป็หน้าที่ที่มิอาจเลี่ยงเ้าค่ะ!”
“อุ๊บ...” เหลิ่งเถิงกับขู่เถิงพากันกลั้นหัวเราะไม่ไหวจนหลุดเสียงหัวเราะออกมาเสียแล้ว
ครั้นได้รับสายตาพิฆาตจากผู้เป็นายของตน คนทั้งสองจึงกัดริมฝีปากกลั้นเอาไว้สุดชีวิต พากันกลั้นขำเสียจนอวัยวะภายในแทบจะบอบช้ำ
เหตุใดศิษย์น้องหญิงของนายท่านถึงเป็คนตลกขนาดนี้?
นายท่านเป็ถึงผู้ใดกัน? ย่อมเป็พ่อไก่ขนเหล็กอย่างแท้จริง ไม่เอ่ยถึงเื่ที่ศิษย์น้องหญิงท่านนี้ดื่มชาของเขา แต่นางยังสั่งอาหารรสเลิศจนเต็มโต๊ะต่อหน้าต่อตานายท่าน
ยามนี้ยังคิดจะขุดต้นไม้เขย่าทรัพย์เช่นโรงสุราฟู่หยวน มิหนำซ้ำยังทำราวกับมีเหตุมีผลยิ่งนัก
ครั้นกวาดสายตามองไปทั่วหล้า ผู้ที่กล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับนายท่าน ไม่มีผู้ใดไม่ถูกวางยาพิษจนตาย
ผู้ที่กล้าถอนฟันออกจากปากนายท่านโดยไม่ยำเกรง เห็นทีคงจะมีเพียงสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เสียแล้ว
ยอดฝีมือ! ฮ่าๆๆๆ...
เหลิ่งเถิงกับขู่เถิงมองนายท่านของตนเองเพลี่ยงพล้ำ ภายในใจถึงขั้นหัวเราะจนหงายหลัง ทว่าบนใบหน้ากลับตีหน้าบึ้งตึง ช่างเป็การทรมานพวกเขาทั้งสองเหลือเกิน
ดวงตาดอกท้อของอินจิ่วพลันถลึงจ้อง กระดูกบนมือถูกกำจนเกิดเสียงดังกร๊อบ เขาแค่นแต่ละคำออกมาจากซอกฟันว่า
“ข้ากลัวว่าเ้าคงไม่มีความอดทนมากพอจะดูแลโรงสุราฟู่หยวน ให้ศิษย์พี่เช่นข้าดูแลเองจะดีกว่า”
เคอโยวหรานจดจ้องมือของอินจิ่วแล้วลอบบริภาษมารดาอยู่ภายในใจ
ให้ตาย บิดาเ้าเถิด ศิษย์พี่ที่เรียกขานกันเล่า? มิใช่ว่ามิอาจทำร้ายคนในสำนักเดียวกันงั้นหรือ? เหตุใดพอพูดจาไม่ลงรอยก็วางยาพิษเสียแล้ว แล้วนี่มันพิษอันใด? ต้องถอนพิษอย่างไรกัน?
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ภายในน้ำเต้ามียาใด 葫芦里卖的是什么药 หมายถึง ภายในใจของผู้อื่นมีแผนการหรือความคิดที่มิอาจล่วงรู้