ซูเฟยซื่อส่งสายตาซาบซึ้งให้ต่งชิงหว่านคราหนึ่ง ก่อนเอ่ยปากพูดช้าๆ “ทูลตอบพระสนม กระหม่อมเพียงขี่ได้เล็กน้อยเพคะ”
“อ้อ? ถ้าเช่นนั้นลงไปวิ่งสองรอบเป็อย่างไร? จะได้ไม่เปลืองชุดขี่ม้าที่ดีชุดนี้ของท่านอ๋องเก้าพันปี” ซูจิ้งโหยวแย้มสรวลราวกับบุปผชาติ ที่นาง้าคือคำตอบประโยคนี้ของซูเฟยซื่อ
เดิมคิดว่าซูเฟยซื่อจะไตร่ตรองเล็กน้อยค่อยกล่าวตกลง ไม่คิดว่านางจะพยักหน้าตอบรับทันที ทำให้ซูจิ้งโหยวกับนางแซ่หลี่ขมวดคิ้ว ตอบรับง่ายแบบนั้นเชียวหรือ?
แต่กระนั้นพวกนางก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอีก ซูจิ้งโหยวมองหมู่ข้าราชบริพารแวบหนึ่ง “ทหาร จูงม้าตัวหนึ่งมา”
ข้าราชบริพารเ่าั้ก็จูงม้ามา ทั้งยังจงใจเลือกม้าสูงใหญ่ ซูเฟยซื่อยืนอยู่ข้างตัวม้า กระทั่งศีรษะยังไม่เห็น ยิ่งอย่าว่าแต่ขึ้นขี่มันเลย
คราวนี้ทุกคนที่อยู่ข้างสนามต่างก็ครื้นเครง คิดอยากเห็นซูเฟยซื่อที่เพิ่งแสดงตัวโดดเด่นเมื่อครู่ ทำให้ตัวเองขายหน้าอย่างไรในตอนนี้
เพียงเห็นในสายตาของซูเฟยซื่อปราศจากความกลัว เอื้อมมือไปลูบขนม้า กระซิบข้างหูมันสักพัก ก่อนจะจับกดอานม้าอย่างดุดัน
ไม่รู้ว่าเป็พลังจากที่ไหน ถึงกับอาศัยพลังเพียงมือข้างเดียวก็ยกคนทั้งร่างขึ้น ทะยานสูงในอากาศเหยียบโกลนไว้
พลิกร่างขึ้นหลังม้า ท่าทางลื่นไหวดุจเมฆน้ำไหล
ไม่รอให้ทุกคนได้สติมีปฏิกิริยา เสียง “หยา” สดใสเสียงหนึ่งดังขึ้นทั่วสารทิศ
เพียงเห็นซูเฟยซื่อมือหนึ่งดึงบังเหียน มือหนึ่งควงแส้ราวกับดอกไม้ในม่านหมอก ทำให้คนมิอาจเห็นทิศทางของแส้ได้ชัดเจนนัก เพียงได้ยินเสียงแส้ดังก้องไม่หยุด เสียงแหลมััหูจนใจตระหนก
ซูเฟยซื่อเฆี่ยนม้าเร่งเร็วสุดขีด ก่อนจะยืนขึ้นบนหลังม้า เพียงเห็นนางค่อยๆ ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบไหล่มัน ด้วยท่าไก่ทองยืนขาเดียว
ความเร็วของม้ายังไม่ลดลง ร่างผอมบางของนางไหวเอนท่ามกลางสายลม ผู้คนข้างสนามต่างหายใจไม่เป็จังหวะ
แต่จู่ๆ ม้าพลันร้องเสียงแหบแห้งพลางเชิดหัวขึ้น ซูเฟยซื่อที่ยืนอยู่บนหลังถูกแรงประหลาดกระแสนี้โยนเหวี่ยงออกไป
สักครู่มีคนใกรีดร้อง บางคนใผุดลุกยืนหลังตรง
ตาทั้งคู่ของซูจิ้งโหยวจับจ้องม้าตัวนั้นนิ่ง นางบีบถ้วยชาในมือจนเกือบแหลก ด้วยกลัวว่าซูเฟยซื่อจะไม่ตาย
อวี้เสวียนจีย่นคิ้วตัดสินว่าควรลงมือหรือไม่ ทว่าขณะที่ซูเฟยซื่อถูกสลัดออกไปชั่วพริบตานั้น เขากลับเห็นนางยิ้มให้ชัดเจนแล้ว
หรือนี่จะเป็หนึ่งในกลอุบายของนาง?
“โอ้!”
ไม่รู้ว่าใครส่งเสียงกรีดร้องใขึ้นมาก่อน ซูจิ้งโหยวใจนทำถ้วยชาในมือตกแตกไป
อวี้เสวียนจีตาสว่างวาบขึ้นทันใด นังหนูน้อยคนนี้ยิ่งดูยิ่งน่าสนใจ เขาปรบมือนำให้ทุกคนปรบมือตาม
เพียงเห็นม้าวิ่งตะบึงราวกับจะโผบิน ซูเฟยซื่อที่เพิ่งตกจากหลังม้ากำลังใช้เท้าข้างหนึ่งเกี่ยวบังเหียน คนทั้งร่างใช้ท่าร่างที่ยืดหยุ่นกว่าปกติพลิกกลับไปข้างลำตัวม้า
ร่างเบาดุจนกนางแอ่น ในความอ่อนโยนแฝงความแกร่งกล้า บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มไม่แยแส
ทักษะศิลปะการขี่ม้าดังกล่าว แม้แต่ผู้ชายที่ทำได้ยังไม่ค่อยมี ไม่คิดว่านางซึ่งเป็หญิงสาวในเรือนถึงกับสามารถทำได้ง่ายดาย ไหนเลยจะไม่ทำให้ผู้คนทอดถอนใจอย่างตกตะลึงได้
เสียงโห่ร้องเคล้าเสียงปรบมือดังขึ้นทั่วสารทิศ เห็นบรรลุเป้าหมาย ซูเฟยซื่อเท้าเกี่ยวไปด้านล่างทันที ร่างบางเหินขึ้นนั่งกลับลงบนหลังม้าอีกครั้ง คิดหยุดม้าคลายแส้ สิ้นสุดการแสดง
ดูเหมือนซูจิ้งโหยวมองออกถึงแผนการของนางแล้ว ขมวดคิ้วย่นทันที
ไม่ได้ ไม่อาจปล่อยให้ซูเฟยซื่อลงจากหลังม้าได้อย่างง่ายดายแบบนั้น มิฉะนั้นจะจัดการนางอีกก็ต้องหาโอกาสอื่นแล้ว
นางรีบแลกเปลี่ยนสายตากับข้าราชการบริพารจากพระราชวัง คนในวังเข้าใจความหมาย นิ้วมือใต้เสื้อคลุมก็ดีดหินก้อนหนึ่งใส่ขาม้า
ม้าเ็ปร้องโหยหวน ชั่วพริบตาสันดานบ้ากำเริบใหญ่ วิ่งไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง แทบจะอยากสลัดซูเฟยซื่อตกลงมา
เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ซูเฟยซื่อไม่ได้เตรียมตัวไว้สักนิด ได้แต่กอดคอม้าไว้แน่น
เดิมนางคิดว่าซูจิ้งโหยวจะไม่กล้าทำเื่โจ่งแจ้งแบบนั้นในที่สาธารณะ ไม่คิดว่า...
ดูไปแล้วอีกฝ่ายคง้าชีวิตของนางจริงๆ
เกิดเื่อะไรขึ้น? เห็นร่างผอมบางของซูเฟยซื่อหมอบแน่นกับหลังม้า เกรงว่าอาจถูกเหยียบตายภายใต้กีบม้าเวลาใดก็ได้ แต่สีหน้าของนางไม่ได้ดูเหมือนเป็เื่ที่เตรียมไว้ล่วงหน้า หรือจะมีใครบางคนคิดทำร้ายนาง?
นึกถึงตรงนี้ อวี้เสวียนจีไม่สนใจแววตาของคนอื่น เพียงโผร่างคิดขึ้นขี่ม้าของซูเฟยซื่อ ช่วยนางควบคุม
ไม่คิดว่าซูเฟยซื่อจะไม่รับการช่วยเหลือจากเขา ฉวยดึงมีดสั้นจากเอวของเขาแล้วผลักอีกฝ่ายไป “ท่านอ๋องเก้าพันปีเป็พระกายาอันสูงส่ง ถ้าเกิดความผิดพลาด เกรงว่าหม่อมฉันคงแบกรับไม่ไหวเ้าค่ะ”
นางรู้ว่าอวี้เสวียนจีคิดลงมือช่วยนาง เพียงแต่สถานะของอวี้เสวียนจีนั้นพิเศษ ทั้งเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่แน่นอน ไม่แน่ใจว่าช่วยนางแล้วยังกลายเป็ปัญหาใหญ่เื่หนึ่งหรือไม่ ดังนั้นนางช่วยเหลือตัวเองน่าจะดีกว่า
มองย้อนกลับไปในชีวิตก่อนหน้านี้ ไม่ว่าม้าจะมีนิสัยก้าวร้าวโหดร้ายเพียงใด ในที่สุดต่างถูกนางปราบพยศควบคุมจนเชื่อง นี่เป็แค่เื่เล็กน้อย
ความจริงหลักการของการฝึกม้ากับหลักการดำรงชีวิตก็คล้ายคลึงกัน ในเมื่อมันโหดร้าย เ้าก็ยิ่งต้องโหดร้ายกว่ามัน
เพียงแต่ผู้ที่ตัดใจได้เด็ดขาดจึงจะได้รับชัยชนะในท้ายสุด
ซูเฟยซื่อยกมือขึ้นจ้วงมีดสั้นใส่หลังม้าอย่างดุดัน นี่เป็ม้าดีตัวหนึ่ง นางจึงให้โอกาสมัน ไม่มีดาบเดียวคร่าชีวิต แต่หากมันไม่รู้จักกาลเทศะ เช่นนั้นก็อย่าโทษนางใจอำมหิตลงมือเหี้ยมโหดเลย
ทันใดนั้น เืสีแดงสดพลันปลิวว่อนในอากาศ ม้าคำรามโหยหวนเสียงหนึ่ง กระทืบกลับไปมาสองก้าวแล้ว ถึงกับคุกเข่าลงอย่างเชื่อฟัง
ทั่วสารทิศโห่ร้องวุ่นวาย ศิลปะการฝึกม้ารุนแรงเช่นนี้ แทบทำให้แนวสันหลังพวกเขาเย็นวาบ
ซูเฟยซื่อพลิกตัวลงจากหลังม้า กลับพบว่ามีสายตาร้อนรุ่มกระแสหนึ่งพุ่งมาถึงข้างหลังนาง
หันไปดู จึงเห็นซ่งหลิงซิวกำลังจับจ้องตนด้วยสายตาลึกซึ้ง ทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างไม่อาจห้าม
ที่แย่ก็คือ ชาติก่อนที่นางเคยฝึกม้านับไม่ถ้วนเพื่อซ่งหลิงซิว ศิลปะการฝึกม้าของนาง เขาย่อมรู้จักดีที่สุด นอกจากนี้วันนี้นางฝึกม้าต่อหน้าเขา ถ้าบังเอิญจำได้...
“คุณหนูสามเฉลียวฉลาดตามคาด ข้าเพียงชี้แนะประโยคหนึ่ง เ้าก็เข้าใจแล้ว มีดสั้นเล่มนี้ก็ให้เ้าเถิด” อวี้เสวียนจีเห็นทุกอย่างในสายตา ก็ยิ่งรู้สึกว่าเกมรอบนี้น่าสนุก จึงเอ่ยปากในเวลาที่เหมาะสม
ซูเฟยซื่ออดทอดถอนใจไม่ได้ อวี้เสวียนจีเป็คนฉลาดมากจริงๆ แต่คนฉลาดแบบนี้ ตนเองไหนเลยสามารถปิดบังเขาได้อีก?
“หม่อมฉันขอบพระคุณท่านอ๋องเก้าพันปีที่ช่วยชีวิตไว้เ้าค่ะ” ซูเฟยซื่อคุกเข่าลงตามประเพณี ถวายบังคมอีกครั้ง
ในเมื่ออวี้เสวียนจียินดีช่วยนาง หากไม่ไปตามกระแสดำเนินต่อไปก็คงไม่ได้
สองคนหนึ่งร้องหนึ่งรับ ทุกคนรีบคิดว่ามีดสั้นในมือของซูเฟยซื่อเป็อวี้เสวียนจีให้ ทั้งทักษะศิลปะการฝึกม้าของนางเมื่อครู่ก็เป็อวี้เสวียนจีสั่งสอน ทั้งที่เขากับนางต่างไม่มีความสัมพันธ์กันสักนิด
ก็ใช่ หญิงสาวในเรือนคนหนึ่งจะมีวิธีการเด็ดเดี่ยวอำมหิตแบบนี้ได้อย่างไร
เมื่อรู้สึกถึงแววตาของซ่งหลิงซิวหายไป ซูเฟยซื่อจึงโล่งอกไปได้
เดิมคิดว่าละครดำเนินมาถึงตรงนี้ก็นับว่าแสดงจบลงแล้ว ไม่คิดว่าจู่ๆ ซูจิ้งโหยวจะแสดงบทพี่ผู้เมตตาวิ่งพุ่งมากอดนางเข้าในอ้อมแขน “น้องสามเ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่? ม้านั่นเกิดบ้าคลั่ง แทบทำให้พี่ใหญ่ใแทบตาย”
เพียงเห็นขอบตาซูจิ้งโหยวแดงเล็กน้อย น้ำตาคลอ กระทั่งซูเฟยซื่อก็อดทอดถอนใจชื่นชมไม่ได้ว่าแสดงได้ดี นางดึงร่างออกมาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากว่า “พระสนมวางใจ หม่อมฉันไม่เป็ไรเพคะ”