วิชาแพทย์ของนางสูงส่ง ใช้เวลาไม่นานก็จะสามารถแย่งคนเจ็บจากคนร่วมอาชีพมาได้แล้ว ถึงยามนั้นก็จะมีศัตรูมากมาย มีศัตรูล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งยังอาจถูกคนร่วมอาชีพร่วมมือกันต่อต้าน
อีกประการสกุลหลี่ก็ไร้อำนาจไร้อิทธิพล นางเป็เพียงสตรีผู้หนึ่งหากคนเจ็บให้นางตรวจรักษา นางก็ไม่มีสิทธิ์ใดไปปฏิเสธ ทั้งไม่มีความสามารถใดที่จะปกป้องตนเองด้วย
ภายใต้การปกครองระบอบศักดินาของแคว้นต้าโจว หากนาง้ามีชีวิตยืนยาว และอยากให้สกุลหลี่ได้มีวันมั่งคั่ง นางก็จำเป็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวเข้าไว้
อย่าว่าแต่เปิดร้านยาเลย กระทั่งเื่หนังสือรับรองวิชาแพทย์ที่ได้มายามนี้ นางก็จะไม่ป่าวประกาศออกไปด้วย
เมื่อหลี่อิงฮว๋าสงบจิตใจลงได้แล้ว จึงบอกกับพี่น้องทั้งสามว่า “การเปิดร้านยาไม่ใช่เื่ง่ายๆ”
หลี่ฝูคังถามว่า “แต่บ้านเราก็ลองทำดูได้นี่ ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าได้หรือไม่”
หลี่หรูอี้จึงพูดสิ่งที่นางคิดไว้ในใจออกไปจนหมด
เด็กชายสกุลหลี่ทั้งสี่ได้ฟังก็พากันมีสีหน้าปลง คิดในใจว่าถ้าน้องสาวเป็ชายก็คงดี หากยามนี้ข้าเป็ขุนนางชั้นสูงก็จะช่วยเป็แรงหนุนให้กับน้องสาวได้
“หรูอี้ช่างคิดการได้รอบด้านนัก” จ้าวซื่อนึกไม่ถึงว่าบุตรีสุดที่รักจะไตร่ตรองได้รอบคอบและมองการณ์ไกลถึงเพียงนี้ มีความคิดอ่านที่เป็ผู้ใหญ่ยิ่งนัก “เช่นนั้นพวกเราก็จะฟังเ้า จะไม่แพร่งพรายเื่นี้ออกไป”
“ลูกรัก เ้ารีบเก็บทรัพย์สมบัติเหล่านี้เอาไว้ให้ดี วันหน้าจะได้เป็สินติดตัวยามแต่งงานของเ้า” หลี่ซานเป็คนหัวรั้นอย่างยิ่งและหัวโบราณเป็ที่สุด กระทั่งมีความคิดอ่านเช่นเกษตรผู้ต้อยต่ำอย่างแรงกล้า แต่เขากลับไม่เหมือนบิดาเรือนอื่นที่ล้วนเอาของดีที่บุตรสาวได้มาไปยกให้บุตรชาย
สี่พี่น้องสกุลหลี่เอาเงินยัดใส่ในมือหลี่หรูอี้ แล้วเอาของกำนัลทั้งหมดไปไว้ที่ห้องนอนของนาง
หลี่หรูอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หนังสือสองหีบนี้เอาไปเก็บไว้ที่ห้องของพวกพี่เถิด พวกพี่จะได้หยิบมาอ่านได้สะดวก”
“ขอบใจน้องสาว” สี่พี่น้องสกุลหลี่ยกหนังสือหนักๆ สองหีบใหญ่กลับห้องของตน แล้วหยิบหนังสือออกมาอ่าน
หลี่หรูอี้เอ่ยกับหลี่ซานสามีภรรยาว่า “ท่านพ่อท่านแม่เ้าคะ ข้ามีความคิดอย่างหนึ่ง แต่ก่อนเงินทองของเราไม่พอจะทำให้สิ่งที่คิดเป็จริงได้ ทว่ายามนี้เรามีเงินแล้ว ข้าอยากจะหารือกับพวกท่าน พวกเราไปซื้อเรือนที่ตัวอำเภอฉางผิงเถิดเ้าค่ะ ดังนี้แล้วเรือนของเราก็จะอยู่ใกล้กับจวนของพี่เจียง พวกพี่ชายจะได้ไปหาพี่เจียงได้ทุกวันเ้าค่ะ”
หลี่ซานอดพูดไม่ได้ว่า “ลูกสาว พวกเรามีเรือนอาศัยอยู่แล้ว เหตุใดเ้าไม่ซื้อที่ดินเล่า?”
จ้าวซื่อนิ่งฟังสองพ่อลูกสนทนากัน
สิบกว่าปีก่อน ครั้งจ้าวซื่อยังเป็แม่นางน้อย สกุลจ้าวอาศัยอยู่ในตัวตำบล บิดามารดาของนางบอกนางไม่รู้กี่หนว่า ค่าใช้จ่ายในตัวตำบลมากกว่าในหมู่บ้าน แต่ก็มีข้อดีกว่าในหมู่บ้านมากนัก
เื่ที่บิดามารดาของจ้าวซื่อภาคภูมิใจที่สุด ครั้งที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ก็คือ การพาครอบครัวย้ายจากหมู่บ้านหลี่ไปอยู่ที่ตัวตำบล
ครานี้หลี่หรูอี้บอกว่า จะย้ายบ้านไปอยู่ในตัวอำเภอ ซึ่งตัวอำเภอฉางผิงนั้นเจริญกว่าที่ตำบลจินจีเสียอีก
จ้าวซื่อเห็นด้วยกับหลี่หรูอี้เป็ร้อยหน แต่เื่การค้าของครอบครัวจะทำอย่างไร พอไปที่ตัวอำเภอแล้วจะยังค้าขายได้อีกหรือไม่
หลี่หรูอี้ย้อนถามว่า “ที่ดิน?”
หลี่ซานกล่าวว่า “ลูกสาว หากเ้าซื้อที่ดินก็จะให้พวกทำไร่ทำนาเช่าได้ ทุกปีก็จะได้ข้าว แต่พอเอาเงินไปซื้อเรือนให้พวกเราอยู่เอง กลับไม่ได้ค่าเช่าเรือนนะ”
“ท่านพ่อเ้าค่ะ ท่านยึดติดกับเื่ซื้อที่ดินเสียจริงๆ นะเ้าคะ”
หลี่ซานเอ่ยอย่างมีอารมณ์ว่า “ก็ใช่น่ะสิ ครอบครัวเรามีคนตั้งมากมาย อย่างน้อยต้องมีที่ดินหนึ่งร้อยหมู่[1] จึงจะดี”
จ้าวซื่อรู้สึกว่าตนเองแทบตามความคิดของบุตรสาวไม่ทัน จึงได้แต่สูดหายใจเข้าลึกๆ คราวหนึ่ง แล้วบอกว่า “หรูอี้ แม่ฟังว่าเ้าจะไปซื้อเรือนในตัวอำเภอ แล้วโรงเต้าหู้ในเรือนนี้เล่าจะทำอย่างไร”
“ในตัวอำเภอก็เปิดโรงเต้าหู้ได้นี่เ้าคะ” หลี่หรูอี้คิดมาก่อนหน้านี้แล้ว ครอบครัวของนางรู้จักกับนายอำเภอห่าวในตัวอำเภอ ทั้งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจียงชิงอวิ๋น และตอนนี้ก็ยังได้รู้จักกับจวนเยี่ยนอ๋อง จึงสามารถไปเปิดโรงเต้าหู้ในอำเภอฉางผิงได้
หลี่ซานถามว่า “โรงเต้าหู้ใหญ่โตเพียงนั้นจะไปเปิดในตัวอำเภอได้อย่างไร”
หลี่หรูอี้เคยไปสอบถามมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงบอกว่า “ในตัวอำเภอมีคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีเรือนชั้นนอกชั้นในสี่ห้าชั้น พวกเราไปซื้อเรือนเช่นนั้นได้เ้าค่ะ”
หลี่ซานปากอ้าตาค้าง เห็นได้ชัดว่าถูกความคิดก้าวหน้าของหลี่หรูอี้ทำเอาใไปหมดแล้ว “นั่นต้องใช้เงินทองสักกี่มากน้อย?”
หลี่หรูอี้ตอบว่า “สองสามร้อยตำลึงเงินกระมังเ้าคะ”
หลี่ซานรู้สึกว่าหายใจค่อนข้างลำบากขึ้นมาทันใด เอาแต่ส่ายหน้าเป็กลองป๋องแป๋ง “จะได้การได้อย่างไร แพงเกินไป แพงเลยเถิดไปแล้ว ไม่กี่วันก่อนสามร้อยตำลึงเงินยังซื้อที่ดินได้หนึ่งร้อยหมู่ทีเดียว”
อย่าว่าแต่หลี่ซานเลย แม้แต่จ้าวซื่อก็ยังรู้สึกว่าแพงเกินไป ต้องรู้เสียก่อนว่า ครานั้นสกุลจ้าวซื้อเรือนใหญ่ที่มีเรือนนอกในสองชั้น มีห้องสิบห้องราคาแค่ห้าสิบตำลึงเงินเท่านั้น
“เช่นนั้นพวกเราก็สามารถซื้อเรือนที่อยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอ หนึ่งร้อยตำลึงก็พอเ้าค่ะ ดังนี้แล้วพวกเราก็จะได้เป็เพื่อนบ้านกับพี่เจียงอย่างไรเล่าเ้าคะ”
จวนตระกูลเจียงอยู่ห่างจากประตูอำเภอฉางผิงเป็ระยะทางสามลี้
ครั้งหลี่หรูอี้ไปที่จวนเจียงคราก่อน ก็ไปสอบถามมาเรียบร้อยแล้ว หากจะซื้อเรือนใหญ่ที่มีชั้นนอกในสี่หรือห้าชั้นที่อยู่ใกล้ๆ จวนเจียง ต้องใช้เงินหนึ่งร้อยกว่าตำลึงเงิน หากซื้อแต่ที่ดินและสร้างเรือนเองก็เป็เงินแปดสิบตำลึงเงิน
หลี่หรูอี้รู้อยู่แล้วว่าบิดามารดาต้องไม่เห็นด้วย นี่จึงเป็กลยุทธ์ของนางที่จะพูดถึงที่แพงกว่าก่อนค่อยพูดถึงที่ถูกกว่า ดังนี้แล้วบิดามารดาก็จะรู้สึกว่าราคาถูกเสียอย่างยิ่งนั่นเอง
ปรากฏว่าเมื่อจ้าวซื่อได้ยินว่า หนึ่งร้อยตำลึงเงินก็พยักหน้าด้วยใจเต้นแรง บอกหลี่ซานในทันใดว่า “แค่ประตูตัวอำเภอกั้น เรือนข้างในประตูอำเภอราคาสามร้อยตำลึง แต่เรือนนอกประตูอำเภอแค่หนึ่งร้อยตำลึง น้อยลงไปทันทีตั้งสองร้อยตำลึง บ้านเราก็ซื้อเรือนที่อยู่นอกประตูตัวอำเภอเถิด”
หลี่ซานพึมพำ “หนึ่งร้อยตำลึงเงินซื้อที่ดินสามสิบสามหมู่ ได้ที่นาดี ที่นาดีทีเดียวนะ”
หลี่หรูอี้ดื่มน้ำชาไปอึกหนึ่งเพื่อล้างคอ เอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “อ้อ... ใช่ ระหว่างตัวอำเภอกับจวนเยี่ยนอ๋อง มีสำนักศึกษาอยู่สามแห่งด้วยเ้าค่ะ วันหน้าพวกพี่ๆ จะได้ไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาได้นะเ้าค่ะ”
สำนักศึกษาชิงซงที่อำเภอซั่ง มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในแถบตำบลจินจี แต่เมื่อเทียบกับสำนักศึกษาของทางการแห่งเมืองเยี่ยน และสำนักศึกษาเป่ยซาน สำนักศึกษาเป่ยฮว๋าของเอกชนแล้ว ก็นับว่ายังด้อยกว่ามากมายนัก
สำนักศึกษาชิงซงอยู่ห่างจากเมืองเยี่ยน อาจารย์ที่มาสอนก็สอบได้ในลำดับที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับสำนักศึกษาหลายแห่งแล้วจึงมีค่าเล่าเรียนที่ถูกที่สุด
สำนักศึกษาเมืองเยี่ยนเป็ที่ที่เหล่าบุตรหลานขุนนางในรัศมีหนึ่งร้อยลี้มาเล่าเรียนกัน และเหล่าอาจารย์ก็มีความสามารถในการถ่ายทอดวิชาความรู้ได้เยี่ยมยอดกว่าที่สำนักศึกษาชิงซงมากทีเดียว เหตุเพราะที่นั่นมีบัณฑิตชั้นสูง[2] เป็อาจารย์ หรืออย่างรองลงมาก็เป็บัณฑิตชั้นจวี่เหริน
อาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาเป่ยซานและสำนักศึกษาเป่ยฮว๋าล้วนเป็บัณฑิตชั้นสูง ส่วนอาจารย์ก็ล้วนเป็บัณฑิตชั้นจวี่เหรินทั้งสิ้น คุณสมบัติของอาจารย์ดีเด่นกว่าที่สำนักศึกษาชิงซงมากนัก ศิษย์สำนักล้วนเป็บุตรหลานของบ้านเรือนที่ร่ำรวยสูงศักดิ์และตระกูลที่ชำนาญด้านบุ๋น
จางซิ่วไฉซึ่งเป็อาจารย์ของเด็กชายสกุลหลี่ทั้งสี่ ก็เป็ศิษย์ของสำนักศึกษาเป่ยซานนี่เอง
ก่อนนี้อย่าว่าแต่สำนักศึกษาเมืองเยี่ยน สำนักศึกษาเป่ยซาน หรือสำนักศึกษาเป่ยฮว๋าเลย แม้แต่สำนักศึกษาชิงซง คนบ้านหลี่ก็ยังไม่กล้านึกถึง
ดวงตาของจ้าวซื่อเป็ประกายขึ้นมาทันใด เอ่ยเสียงสูงด้วยความตื่นเต้นว่า “หรูอี้ เ้าพูดถูกต้องเป็ที่สุด พวกเราจะไปซื้อเรือนที่นอกตัวอำเภอฉางผิง และไปเป็เพื่อนบ้านของชิงอวิ๋น วันหน้าพวกพี่ๆ ของเ้าก็จะได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาที่นั่นด้วย!”
หากเด็กชายสกุลหลี่ทั้งสี่คนได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาเป่ยซาน หรือสำนักศึกษาเป่ยฮว๋า ก็จะทำให้มีโอกาสมากขึ้นยามที่ไปสอบบัณฑิตชั้นซิ่วไฉ และยังได้รู้จักสหายคนอื่นๆ ในสำนักอีกด้วย ซึ่งมีประโยชน์ต่อความก้าวหน้าในภายภาคหน้าอย่างยิ่ง
หลี่ซานเห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจของภรรยาที่รัก หนำซ้ำบุตรสาวก็เป็คนออกเงิน จึงพยักหน้าเห็นด้วย แต่ว่า… คำต่อไปนี้ก็ยังต้องพูดเอาไว้ก่อน “ข้าได้ยินมาว่า ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาชิงซงแพงมาก ฉะนั้นที่สำนักศึกษาในอำเภอฉางผิงย่อมต้องแพงยิ่งกว่านั้น”
หลี่หรูอี้ดีใจยิ่งนักที่หลี่ซานยอมเห็นด้วยว่าจะซื้อเรือนใหม่ใกล้ๆ ตัวอำเภอ เพื่อไม่ให้เขาเป็ห่วง นางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มไปว่า “พอพวกเราซื้อเรือนแล้ว ก็ยังคงเหลือเงินอีกตั้งมากมาย เพียงพอให้พี่ๆ เล่าเรียนที่สำนักศึกษาได้หลายปี พวกเราก็ยังคงค้าขายต่อไป ย่อมหาเงินได้อีกมาก ไม่ต้องเป็กังวลหรอกเ้าค่ะ”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] หมู่ เป็หน่วยวัดพื้นที่ของจีน 1 หมู่เท่ากับ 60 ตารางจั้ง หรือประมาณ 666.667 ตารางเมตร 15 หมู่ = 1 เฮคเตอร์
[2] บัณฑิตชั้นสูง (进士) ถือเป็คุณวุฒิขั้นสุงสุดของระบบการสอบเคอจวี่ (科举) หรือการสอบเข้ารับราชการของจีนสมัยโบราณ ซึ่งเมื่อสอบผ่านระดับนี้จะสามารถเข้าสอบจอหงวนได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้