เมื่อถูกปราณปรภพกัดกร่อน ก็จะทำให้คนตายไปกลายเป็ซากศพแห้งๆ
ส่วนปราณหยินนั้น กลับสวยงามกว่าเล็กน้อย คือจะทำให้คนถูกแช่กลายเป็ก้อนน้ำแข็ง
แต่กระนั้น ไม่ว่าจะเป็แบบไหน จุดจบก็คือความตายอยู่ดี
“จงขับไล่ออกไป!”
หลงอวี้เห็นเช่นนั้นแล้ว ก็กัดฟัน เร่งเร้าพลังของสัญลักษณ์ัปรภพออกมา ทำให้ปราณแห่งปรภพรุกรานเข้าไปในร่างกายของหลิ่วยวน
พลังชีวิตภายในตัวของหลิ่วยวนกำลังไหลทะลักอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หลงอวี้ไม่มีเวลามาห่วงแล้วว่าจะทำให้ชีพจรของนางเกิดความเสียดายได้ มีเพียงการใช้วิธีที่ป่าเถื่อนเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ปราณปรภพขับไล่ปราณหยินภายในตัวนางไปได้
ยังดีที่หลงอวี้ตัดสินใจได้เร็ว ตอนที่หลิ่วยวนลมหายใจอ่อนลงและหัวใจเริ่มต้นช้าลง ในที่สุดปราณหยินภายในตัวนางทั้งหมดก็ถูกขับไล่ออกไปหมดแล้ว
ต่อจากนั้น หลงอวี้ก็ได้ดึงปราณปรภพในตัวของนางกลับออกมา จากนั้นก็ได้สร้างม่านพลังแห่งปราณปรภพชั้นหนึ่งขึ้นที่ผิวนอกของนาง ทำให้ปราณหยินไม่สามารถรุกรานเข้าไปในตัวนางได้อีก
เพื่อที่จะทำให้ตัวเองออกไปจากห้องศิลาที่ถูกผนึกแห่งนี้ได้ หลงอวี้ทุ่มสุดชีวิตแล้วเหมือนกัน
การสร้างม่านพลังขึ้นมาคุ้มครองหลิ่วยวนแทบจะใช้พลังที่เหลืออยู่ในตัวเขาจนหมดเกลี้ยงแล้ว!
แต่กระนั้นเขาก็ทำได้แค่กัดฟันแน่นและอดทนต่อไปจนกว่าหลิ่วยวนจะตื่นขึ้น ไม่อย่างนั้น หากม่านพลังคลายออก นางก็จะถูกปราณหยินรุกรานเข้าไปในร่างกายอีกครั้ง
หากเป็เช่นนั้น แม้แต่เทพเซียนก็ช่วยนางไม่ได้แล้ว!
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปช้าๆ
หลงอวี้นั้นรู้สึกร้อนรนอยู่ตลอดเวลา เขารู้สึกว่า พลังทั้งหมดในตัวเขาใกล้จะหมดแล้ว เขาเริ่มเวียนหัวมากขึ้นเรื่อยๆ!
หากเป็คนอื่น ถ้าไม่มีความ้าที่จะเอาชีวิตรอดแข็งแกร่งเท่าเขา คงไม่มีทางอดทนได้เหมือนกับเขาแน่
“หลิ่วยวน ยังไม่รีบตื่นขึ้นมาอีก!”
หลงอวี้กอดร่างกายอันบอบบางอ่อนนุ่มของหลิ่วยวนไว้เพื่อลองให้ความอบอุ่นกับนาง
ตอนนี้ร่างกายของหลิ่วยวนเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง แต่เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของหลงอวี้ ในที่สุดก็เริ่มอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
จิตสำนึกของนางเองค่อยๆ ฟื้นกลับขึ้นมา ร่างกายเริ่มอุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่กระนั้น เส้นผมและขนคิ้วกลายเป็สีขาวดุจหิมะ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้
หลิ่วยวนในตอนนี้ สวมเสื้อสีดำเอาไว้ เส้นผมสีขาวยาวถึงเอว แม้แต่คิ้วคู่งามของนางก็ยังกลายเป็สีหิมะไปด้วย
การกัดกร่อนของปราณหยินทำให้รูปลักษณ์ของนางเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง
นางจึงดูเ็ามากกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่เสน่ห์ที่มีต่อบุรุษเพศนั้น ไม่เพียงแต่จะไม่ลดน้อยลงเลยเท่านั้น แต่มันยิ่งทรงพลังมากกว่าเดิม!
คิ้วขาวดุจหิมะ ทำให้นางดูเ็าและเหินห่างอย่างบอกไม่ถูก
ความเหินห่างทำให้นางมีเสน่ห์อันเป็เอกลักษณ์น่าหลงใหลเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง
หลังจากที่อุณหภูมิร่างกายของนางค่อยๆ อุ่นขึ้น ในที่สุดนางก็ได้ลืมตา พบว่าหลงอวี้ที่กำลังโอบอุ้มนางไว้ในอ้อมกอด!
นางหน้าถอดสีทันที แต่ก็พบว่าร่างกายของตนกำลังอ่อนแรงอย่างมาก แค่แรงจะผลักหลงอวี้ยังไม่มีเลย
ร่างกายที่ถูกปราณหยินกัดกร่อน มีสภาพคล้ายกับคนที่เพิ่งฟื้นจากอาการป่วยหนัก ทำให้หลิ่วยวนในตอนนี้มีสภาพอ่อนแอสุดขีด
“เ้า... เราอยู่ที่ไหนกัน?”
หลิ่วยวนขมวดคิ้ว ััพิเศษของผู้หญิงทำให้นางััได้ถึงบรรยากาศอันแปลกประหลาดรอบตัว
ห้องศิลาถูกปิดผนึกไว้อย่างสมบูรณ์
หลงอวี้อุ้มนางเอาไว้อย่างแแ่ ผิวนอกของนางมีม่านพลังปราณปรภพชั้นหนึ่งห่อหุ้มไว้ คอยปกป้องนางจากปราณหยินภายในห้อง
ประสาทััอันเฉียบคมของนางนั้นทำให้นางััได้ว่า สภาพของหลงอวี้ตอนนี้เองก็ย่ำแย่มากเหมือนกัน บางทีนางแค่โจมตีออกไปส่งสักครั้งอาจจะสามารถสังหารหลงอวี้ได้แล้ว
แต่ว่า หากตอนนี้นางฆ่าหลงอวี้ นางเองก็ไม่มีทางรอดด้วยแน่นอน!
นางไม่ได้โง่ ย่อมไม่มีทางทำเช่นนั้นอยู่แล้ว
นางรู้ว่า หลงอวี้ต้องมีเหตุผลสำคัญแน่ถึงได้ปกป้องนางไว้ ไม่อย่างนั้นแค่อีกฝ่ายไม่ลงมือฆ่านางก็นับว่าไม่เลวแล้ว จะช่วยเหลือนางอีกทำไม?
“เ้าไม่ต้องขยับ ฟังข้าพูด”
เสียงพูดของหลงอวี้นั้นแ่เบาอย่างมาก เพราะเขาไม่้าเอาพลังงานที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดมาสิ้นเปลือง
“พวกเราตอนนี้ติดอยู่ในห้องศิลาที่ถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ กำแพงห้องแข็งมาก ข้าหาวิธีออกไปไม่ได้ บนกำแพงทั้งสี่ทิศมีเศษชิ้นส่วนจันทราสี่ชิ้น สามารถบรรจุลมปราณเข้าไปและกดเข้าไปในผนังได้ ซึ่งต้องกดเข้าไปพร้อมกันทั้งหมด ข้าคนเดียวไม่อาจทำได้ ข้าจะให้เ้ากดหนึ่งในนั้น เราร่วมมือกัน ลองกดพร้อมกันทั้งหมดดู!”
“เ้าอย่าคิดทำอะไรอื่นเด็ดขาด หากไม่มีข้า เ้ามีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งชั่วยามแน่ ลองคิดดูให้ดี”
พอหลงอวี้กล่าวจบก็รอฟังคำตอบจากหลิ่วยวน
เขาพยายามพูดให้สั้นที่สุด แต่สิ่งที่ต้องพูดเขาก็พูดหมดแล้ว ขอเพียงหลิ่วยวนไม่โง่ นางต้องเข้าใจความหมายของเขาแน่!
“ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว เริ่มเลยเถอะ”
แค่การพูดคุยก็เป็เื่ยากสำหรับหลิ่วยวนตอนนี้แล้ว แต่นางก็รีบตัดสินใจทันที
นางเชื่อว่าหลงอวี้ไม่ได้หลอกลวงนาง
ถึงอย่างไรนางก็หมดสติไปค่อนข้างนาน หากหลงอวี้คิดจะทำอะไรไม่ดีกับนาง ไม่ว่าเื่อะไรก็สามารถทำได้ทั้งนั้น
หลงอวี้ในตอนนี้มีท่าทางเหมือนจะทนได้อีกไม่นานมากแล้ว นางเองก็ไม่ยอมเสียเวลาเช่นกัน!
“ดี อย่างนั้นเ้ารับผิดชอบฝั่งนี้ ถ่ายเทลมปราณเข้าไปแล้วกดมันเข้ากำแพง”
หลงอวี้ยื่นมือออกไปชี้ทางเศษชิ้นส่วนจันทราที่อยู่ใกล้มากที่สุด แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อืม”
หลิ่วยวนพยักหน้า ฝืนยืนขึ้นอย่างยากลำบาก เส้นผมสีขาวที่ยาวถึงเอวของนางนั้น ขับความลี้ลับพิสดารของดวงตาที่ราวกับดวงดาวของนางให้โดดเด่นขึ้น
เส้นผมของข้าเปลี่ยนเป็สีขาวหมดเลยหรือ
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาสนใจเื่นั้น!
นางดึงสติกลับมา จากนั้นก็เริ่มสงสัยว่า ให้นางรับผิดชอบแค่ฝั่งเดียว แล้วหลงอวี้จะกดอีกสามฝั่งที่เหลือได้อย่างไร?
นางลองปล่อยลมปราณออกจากร่างกายดูก็พบว่า ทันทีที่ลมปราณถูกปล่อย มันก็ถูกปราณหยินภายในห้องกัดกินไปหมดทันที ไม่มีทางกดเศษชิ้นส่วนจากระยะไกลได้เลย!
แต่เพียงไม่นานนางก็ได้คำตอบ
“เ้าทนไว้ครู่หนึ่งนะ!”
พอหลงอวี้พูดจบ เขาก็ได้สลายม่านพลังปราณปรภพที่ห่อหุ้มตัวหลิ่วยวนไว้ทันที จากนั้นก็ดีดตัวไปทางกำแพงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับนาง กดเศษชิ้นส่วนบนกำแพงลงไปอย่างง่ายดาย
เมื่อไม่มีม่านพลังปราณปรภพคุ้มกันแล้ว ปราณหยินก็เริ่มรุกรานเข้าไปในตัวหลิ่วยวนอีกครั้ง
ครั้งนี้นางไม่ได้หมดสติ จึงสามารถกัดฟันใช้พลังทั้งหมดที่มีออกมาต้านทานการรุกรานของปราณหยินได้!
ขณะเดียวกันนางก็ได้รวบรวมลมปราณมาไว้ที่นิ้วมืออันขาวผ่องแล้วกดลงไปบนเศษชิ้นส่วน
ต่อจากนั้นนางก็ได้เหลือบไปสังเกตดูหลงอวี้อย่างละเอียด
นางมองเห็นหลงอวี้ใช้มือหนึ่งกดกำแพง อีกมือหนึ่งชี้นิ้วออกมาสองนิ้ว ปล่อยคลื่นพลังสีดำอันลี้ลับพิสดารสายหนึ่งออกมาจากนิ้ว มันก็สามารถส่งไปถึงกำแพงอีกสองฝั่งได้!
หลังจากนั้นคลื่นพลังสีดำทะมึนสองสายก็ได้กดเศษชิ้นส่วนบนกำแพงทั้งสองฝั่งลงไป!
“พลังสีดำอันลี้ลับพิสดารแบบนี้ มีมันคนเดียวที่อยู่ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสักครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็พลังแบบไหนกันแน่ ถึงกับสามารถทำให้ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของปรภพภูมิ...”
หลิ่วยวนครุ่นคิดไปพลาง คอยระวังเื่ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เมื่อเศษชิ้นส่วนจันทราทั้งสี่ชิ้นถูกกดลงไปแล้ว ห้องศิลาก็เกิดการสั่นะเืขึ้นทันที!
ต่อจากนั้นปราณหยินอันเข้มข้นภายในห้องก็ราวกับถูกบางสิ่งดึงดูด มันได้ลอยไปรวมกันในใจกลางของห้องศิลา
“มีความเคลื่อนไหวแล้ว”
หลงอวี้มีสีหน้ายินดี แต่พลังทั้งหมดภายในตัวเขาตอนนี้ได้ถูกเผาผลาญจนไม่เหลือแล้ว มีสภาพค่อนข้างย่ำแย่มากจริงๆ!
ยังดีที่เขารู้ว่าหลิ่วยวนในตอนนี้ไม่เหลือพลังต่อสู้อยู่เลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องระวังหลิ่วยวนไว้ด้วยแล้ว
ทั้งสองคนได้แยกกันยืนอยู่ริมกำแพงคนละฝั่งกัน ต่างก็มองไปยังใจกลางของห้องศิลา
ปราณหยินภายในห้องศิลาแห่งนี้ได้ลอยไปรวมตัวกันที่ใจกลางของห้อง จากนั้นก็เริ่มอัดแน่นจนค่อยๆ ก่อตัวเป็วัตถุชิ้นหนึ่ง!
“มันคืออะไรกันนะ?”
หลงอวี้รู้สึกตื่นเต้น มองสำรวจดูอย่างละเอียด
ปราณหยินทั้งหมดอัดแน่นจนก่อตัวขึ้นกลายเป็แผ่นศิลาขาดหายไปหลายมุม!
“เป็แผ่นศิลาอย่างนั้นเหรอ!”
หลงอวี้และหลิ่วยวนตะลึงงันไปพร้อมกัน
แผ่นศิลาชิ้นนี้สูงราวครึ่งจ้าง หรือก็คือสูงถึงประมาณคอของหลงอวี้ แผ่ปราณหยินอันมหาศาลไร้ที่สิ้นสุดออกมา ตั้งตระหง่านอยู่ในใจกลางห้องทั้งอย่างนั้น
เมื่อแผ่นศิลาก่อตัว เศษชิ้นส่วนจันทราทั้งสี่ชิ้นที่เสียบอยู่ในกำแพงได้สลายกลายเป็ปราณหยินไปทั้งหมด ก่อนจะลอยมารวมตัวกันบนแผ่นศิลาชิ้นนี้ แล้วแปรเปลี่ยนกลายเป็ส่วนมุมของแผ่นศิลาสี่มุม
ปราณหยินทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็แผ่นศิลาชิ้นหนึ่งขึ้นหรือนี่!
‘แผ่นศิลาชิ้นนี้ คงจะเป็สภาพสมบูรณ์ของเศษชิ้นส่วนจันทราสินะ? หากได้มา คงจะบรรลุพลังที่ร้ายกาจสุดขีดจากในนี้ได้แน่!’
หลงอวี้คิดในใจเช่นนั้น เงยหน้ามองหลิ่วยวน พบว่าอีกฝ่ายเองก็กำลังมองมาทางเขาเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่า ทั้งสองคนมีความคิดแบบเดียวกันอยู่!
แต่ทั้งสองตอนนี้ต่างก็ไม่สามารถใช้พลังได้อย่างสิ้นเชิง และไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า ได้แต่ระแวงกันเองเท่านั้น
แม้หลงอวี้เพิ่งจะช่วยชีวิตหลิ่วยวนไว้เมื่อครู่นี้ แต่ใครจะรู้ว่าหลิ่วยวนจะเนรคุณหรือเปล่า?
และสำหรับหลิ่วยวนแล้ว การที่หลงอวี้ช่วยนางไว้ก็เพื่อที่จะให้นางช่วยกดเศษชิ้นส่วนบนกำแพงเท่านั้น เมื่อมีสมบัติล้ำค่าอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ ก็มีความเป็ไปได้สูงมากที่มันอาจจะลงมือกับนาง!
ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากภัยคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม ยังมีภัยคุกคามจากตัวแผ่นศิลาก้อนนั้นด้วย ถึงอย่างไรทั้งสองต่างก็ยังไม่รู้ว่าเ้าแผ่นศิลาชิ้นนี้คืออะไรกันแน่ หากเข้าใกล้แล้วจะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า?
แต่ในตอนที่ทั้งสองระแวงกันเองอยู่นั้น ก็มีเื่พิสดารเกิดขึ้น!
อยู่ๆ แผ่นศิลาชิ้นนั้นก็ลอยขึ้นแล้วบินมาหาทั้งสองพร้อมกัน!
“แผ่นศิลาแตกหักแล้ว!”
ทั้งสองต่างก็ตกตะลึงไปพร้อมกัน!
แผ่นศิลาที่อัดแน่นขึ้นจากปราณหยินชิ้นนั้น หักครึ่งจนกลายเป็สองชิ้นก่อนจะแยกกันลอยไปหาทั้งสองคน!
“ได้แล้ว!”
หลงอวี้ใจกล้ากว่านิดหน่อย พอเห็นเช่นนั้นก็ดีดตัวออกไปคว้าแผ่นศิลาครึ่งชิ้นไว้ในมือ!
“แผ่น์จันทรา!”
ทันทีที่แตะแผ่นศิลาครึ่งชิ้นแล้ว ในหัวของหลงอวี้ก็มีเสียงดังขึ้นทันที
แผ่น์จันทรา?
หลงอวี้ถือแผ่นศิลาครึ่งชิ้นเอาไว้อย่างแ่า ยืนขมวดคิ้วอยู่บนพื้น
แผ่นศิลาชิ้นนี้เกิดขึ้นมาจากปราณหยิน ดังนั้นคำว่า จันทรา”[1] ในชื่อจึงพอเข้าใจได้
แต่คำว่า “แผ่น์” มันหมายถึงอะไรกัน?
หรือว่า แผ่นศิลาจันทราเป็สมบัติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในฟ้าดินผืนนี้กัน?
“แผ่นศิลาที่ประณีตขนาดนี้ แม้จะไม่มีตัวอักษรอะไรสลักอยู่เลย แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เป็ของที่ถูกบรรจงสร้างขึ้น มันจะเป็ของที่เกิดตามธรรมชาติได้อย่างไร?”
หลงอวี้ครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
แต่หลังจากนั้นเขากลับนึกขึ้นได้ว่า ในแผ่นดินเทียนอวี้นี้ แม้แต่ยุทธภัณฑ์ที่ผู้ฝึกยุทธ์ใช้งานกันก็ยังสามารถสร้างสายสัมพันธ์กับผู้ใช้จนเกิดจิตสำนึกของตัวเองได้ หรือแม้แต่หมาป่าที่เกิดขึ้นจากการอัดแน่นของปราณหยินก็ยังมีจิตสำนึกของตัวเองเลย
ถ้าอย่างนั้น การที่ฟ้าดินผืนนี้จะมีจิตสำนึกเป็ของตัวเองด้วย และสามารถสร้างสมบัติเช่นแผ่นศิลาขึ้นมาได้ตามธรรมชาติ ก็ไม่ถือว่าเป็เื่แปลกอะไรน่ะสิ?
แม้วิธีคาดเดาแบบนี้มันยากจะยอมรับได้ก็ตาม แต่ในสายตาของหลงอวี้แล้ว นับเป็การอธิบายที่ค่อนข้างจะเหมาะสมที่สุดแล้ว!
......
[1] จันทราในที่นี้ใช้คำว่า ‘ไท่หยิน’ แปลตรงตัวว่าหยินสุดขั้ว เป็อีกชื่อเรียกหนึ่งของพระจันทร์เหมือนกับพระอาทิตย์ที่ใช้คำว่า ‘ไท่หยาง’ ที่แปลตรงตัวได้ว่าหยางสุดขั้ว
