“เยี่ยเฉินเฟิง เ้ามีเงินอยู่ตั้งสามแสนตำลึงแท้ๆ ทำไมถึงปล่อยให้ข้าอับอายต่อหน้าซีหย่าด้วยเล่า เ้าจงใจสินะ”
หลังจากไป๋ซีหย่าแยกทางไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของจีชิงเสวี่ยก็เลือนหายโดยพลัน นางมองเยี่ยเฉินเฟิงด้วยความแค้นเคือง ซักไซ้เขาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เ้าคงลืมอะไรไปนะจีชิงเสวี่ย เงินสามแสนตำลึงนั่นเป็ของข้าแล้ว ข้าจะเอาไปใช้จ่ายอย่างไรก็เป็เื่ของข้า อีกอย่างเ้าก็ยังติดหนี้ข้าอยู่เจ็ดแสนตำลึง ดังนั้นช่วยเก็บนิสัยคุณหนูเอาแต่ใจของเ้าไปซะ ไม่อย่างนั้นข้าอาจจะผิดสัญญาไม่ร่วมเล่นละครกับเ้าต่อก็ได้”
เยี่ยเฉินเฟิงตอกกลับอย่างเ็า เขาไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่ายเพียงเพราะฐานะและรูปโฉมเลยแม้แต่น้อย
“เ้ามัน...”
จีชิงเสวี่ยถูกเยี่ยเฉินเฟิงตอกกลับจนพูดอะไรไม่ออก ดวงตากลมโตคู่สวยเต็มไปด้วยเพลิงโทสะลุกโชน
“ยังมีอีกเื่ ถ้าพรุ่งนี้เ้าอยากส่งของขวัญให้พวกเขาก็หาวิธีเอาเองละกัน ข้าไม่มีเงินเหลือมากพอจะไปซื้อให้เ้าหรอกนะ”
พอพูดจบประโยค เยี่ยเฉินเฟิงก็หันหลังเดินกลับไปทางบ้านดินของตนทันที เมินเฉยจีชิงเสวี่ยที่ยืนกัดฟันกรอดๆอยู่อย่างสิ้นเชิง
“เยี่ยเฉินเฟิง ข้าเกลียดเ้าที่สุดเลย!”
จีชิงเสวี่ยเปรียบดังแก้วตาดวงใจของตระกูลจี นางไม่เคยถูกใครเมินเฉยใส่เช่นนี้มาก่อน สายตามองตามแผ่นหลังของเยี่ยเฉินเฟิงที่เดินจากไปพร้อมกับกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโกรธ
แต่พอคิดถึงสภาพการณ์ปัจจุบันของตัวเองประกอบกับเจียงซานสุ่ยที่น่ารังเกียจผู้นั้น จีชิงเสวี่ยทำได้เพียงอดกลั้นความโกรธเคือง วางทิ้งศักดิ์ศรีและเกียรติยศ เดินตามเยี่ยเฉินเฟิงกลับไปที่บ้านดินโกโรโกโสอย่างสงบปากสงบคำ
ค่ำคืนอ้างว้าง แสงจันทร์เย็นกระจ่างสาดส่องไปทั่วเมืองไป๋ตี้ ประกายสีเงินจางๆช่วยให้คูเมืองที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาได้บ้าง
หลังจากกลับมาถึงบ้านดินแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็ตรงไปที่ห้องข้างๆ ปิดประตูมิดชิด หยิบผลึกิญญาระดับต่ำออกมา ใช้ทักษะกลืนิญญาเริ่มต้นดูดซับพลังิญญาภายในผลึก เพื่อทะลวงผ่านเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับสี่
ส่วนจีชิงเสวี่ยที่กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงก็ไม่ได้ไปรบกวนเขา หลังจากกลับมาถึงบ้านดินนางก็ขังตัวเองไว้ในห้อง แม้แต่ข้าวเย็นก็ไม่ยอมออกมากิน
ความมืดโรยตัวปกคลุมหนาขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เยี่ยเฉินเฟิงกำลังบ่มเพาะพลังในภาวะเงียบสงบ ประสาทััเฉียบไวของเขาก็จับสังเกตได้ถึงกลิ่นอายของแขกแปลกหน้าสามคน ที่กำลังลักลอบย่องเบาเข้ามาในบ้านดิน และเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ห้องตรงกลางอย่างช้าๆ
“ข้ากำลังคิดหนักเื่ทรัพยากรในการฝึกฝนมีไม่พอ พวกเ้าก็เอามาประเคนให้ข้าถึงที่เชียวนะ” ดวงตาที่ปิดสนิทของเยี่ยเฉินเฟิงเบิกโพลง มุมปากยกโค้งเป็รอยยิ้มเ็า
“นั่นใคร”
ทว่าเยี่ยเฉินเฟิงยังไม่ทันได้ออกโรง จีชิงเสวี่ยที่ข่มตานอนไม่หลับเพราะโทสะยังลุกโชนอยู่ในใจก็รับรู้ถึงสัญญาณอันตราย นางรีบสวมใส่เสื้อผ้าอย่างว่องไวและพุ่งทะยานออกมานอกห้อง เข้าต่อสู้อย่างดุเดือดกับคนชุดดำทั้งสามซึ่งพกกริชเป็อาวุธ
แม้จะสู้กันแบบสามรุมหนึ่ง แต่ด้วยพร์ขั้นสูงที่มีนางจึงทะลวงผ่านสู่เขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหกนานแล้ว ประกอบกับจิตอสูรระดับสูงอย่างวิหคน้ำแข็ง ประมือกันเพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถหยุดยั้งการโจมตีจากทั้งสามได้อย่างสมบูรณ์แบบ นางเป็ฝ่ายที่อยู่เหนือกว่าได้ในทันที
“กี๊ซ!”
วิหคน้ำแข็งสยายปีกโผทะยานขึ้นฟ้าพร้อมแผดเสียงคำราม มันบินฉวัดเฉวียนอย่างสง่างามท่ามกลางความมืดยามราตรี หลบหลีกการโจมตีของคนทั้งสามได้อย่างคล่องแคล่ว ปีกที่คมกริบดุจใบมีดกรีดผ่านหน้าอกของคนชุดดำ เืสีสดจำนวนมากไหลทะลักออกจากปากแผล
“ถอยก่อน!”
เมื่อตระหนักได้ว่าจีชิงเสวี่ยน่ากลัวขนาดไหน คนชุดดำที่เตรียมตัวมาสังหารเยี่ยเฉินเฟิงก็บังเกิดความคิดจะถอยหนีทันที พวกเขาอดทนต่อความเ็ปของาแและรีบเผ่นหนีออกไปจากรั้วบ้านด้วยความเร็วสูง ก่อนจะหายตัวไปท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน
“ฮึ ไอ้พวกขี้ขลาด”
จีชิงเสวี่ยพบว่าในระหว่างที่นางกำลังต่อสู้ประมือกับคนชุดดำทั้งสามเยี่ยเฉินเฟิงไม่เคยโผล่หัวออกมาเลยสักครั้ง คิดไปว่าเขาคงหวาดกลัวจนไม่กล้าโผล่หน้าออกมา ในใจยิ่งรู้สึกดูแคลนอีกฝ่ายมากกว่าเดิม
จีชิงเสวี่ยไม่รู้เลยสักนิดว่าเยี่ยเฉินเฟิงไม่ได้อยู่ในห้องตั้งนานแล้ว เขาแอบหนีออกมาจากห้องและซ่อนตัวอยู่ด้านนอก เพื่อดักฆ่าคนทั้งสามและแย่งชิงจิตอสูรของพวกเขา
“เวรเอ๊ย ดวงซวยชะมัด ทำไมที่บ้านของไอ้เด็กนั่นถึงมียัยหนูที่ร้ายกาจขนาดนั้นอยู่ด้วยล่ะ หากไม่ใช่เพราะเผ่นหนีออกมาทัน วันนี้คงได้กลายเป็ปุ๋ยฝังดินอยู่ที่นั่นเป็แน่”
หนึ่งในคนชุดดำสบถด่าออกมาชุดใหญ่ มือข้างหนึ่งกุมหน้าอกที่มีแผลโชกเืเอาไว้
“ลูกพี่ ในเมื่อวันนี้พวกเราสังหารเ้าเยี่ยเฉินเฟิงนั่นไม่สำเร็จ เราควรจะกลับไปรายงานนายน้อยตี๋อย่างไรดีเล่า”
“เฮ้อ พอกลับไปถึงคฤหาสน์ตระกูลตี๋ พวกเราคงต้องรายงานเื่ทุกอย่างตามความเป็จริง หวังว่านายน้อยตี๋จะเห็นแก่ความจงรักภักดีที่พวกเรามี ยกค่าตอบแทนบางส่วนให้ไปรักษาาแไม่มากก็น้อย”
“อะไรกัน พวกเ้ายังคิดว่าจะได้กลับไปอีกเรอะ?”
ในตอนที่ทั้งสามคนตั้งท่าจะหลบหนีกลับทางคฤหาสน์ตระกูลตี๋ เสียงที่ราวกับปีศาจร้ายก็ดังขึ้นกระทบโสตประสาทของพวกเขา
เมื่อน้ำเสียงเย็นเฉียบดังขึ้นที่ข้างหู หัวใจของคนชุดดำทั้งสามก็กระตุกวูบ ขณะที่พวกเขาหันหน้ากลับไปมองต้นเสียงก็พบกับเงาร่างที่ไล่กวดตามมาอย่างว่องไวราวกับเสือชีตาห์ ก่อนจะวิ่งมาดักขวางทางกลับของพวกเขา
“เ้าเป็ใคร?”
คนชุดดำทั้งสามตั้งท่าระแวดระวังอย่างสุดขีด สายตามองดูเงาร่างที่ยืนดักทางหนีของพวกเขาพร้อมเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“พวกเ้าอยากสังหารข้านักไม่ใช่หรือ? ทำไมพอมาให้เจอจริงๆ ถึงจำกันไม่ได้ล่ะ?”
เยี่ยเฉินเฟิงยืนเอามือไพล่หลัง เขาอาศัยแสงจันทร์กระจ่างกวาดสายตามองคนทั้งสามอย่างเฉยชา
“เ้าคือเยี่ยเฉินเฟิง!” คนชุดดำทั้งสามพูดพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย สีหน้าตื่นตะลึงคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
เพราะหากยึดตามข้อมูลที่ตี๋วั่นเสียนบอกกับพวกเขา เยี่ยเฉินเฟิงเป็แค่ขยะไร้ค่าที่ไม่มีแม้แต่จิตอสูร ไม่ควรค่าแก่การหวาดกลัวเลยสักนิด
“มิผิด เป็ข้าเอง”
เยี่ยเฉินเฟิงไพล่สองมือไว้ข้างหลัง ขณะก้าวเดินอย่างมีจังหวะจะโคนทีละก้าวไปทางคนเ่าั้
“ในเมื่อเ้าอยากตายมากนัก พวกข้าก็จะสนองให้”
แม้การปรากฏตัวของเยี่ยเฉินเฟิงจะดูผิดปกติมาก แต่พวกเขาก็ไม่เหลือทางให้ถอยหนีอีกแล้ว ทุกคนต่างรวมร่างเข้ากับจิตอสูรของตัวเองเพื่อเพิ่มพลังิญญาให้สูงขึ้น หยิบกริชอันแหลมคมออกมาจากอกเสื้อ พุ่งจู่โจมไปทางเยี่ยเฉินเฟิงหมายจะปลิดชีพอีกฝ่าย
ทั้งสามคนเป็ผู้ใช้อสูริญญาระดับห้า เมื่อหลอมรวมกับจิตอสูรแล้วความเร็วในการจู่โจมของพวกเขาก็พุ่งสูงขึ้นมาก เพียงพริบตาเดียวก็สามารถมาโผล่ตรงหน้าของเยี่ยเฉินเฟิงได้แล้ว
กริชทั้งสามเล่มที่ห่อหุ้มด้วยพลังิญญาสีขาวเล็งโจมตีไปที่หน้าอกของเยี่ยเฉินเฟิง หมายจะแทงทะลุหน้าอกของเขาเพื่อปลิดชีพลงในกระบวนท่าเดียว
“ตายซะ!”
เยี่ยเฉินเฟิงไม่คิดจะหลบหลีกการโจมตีปลิดชีพของทั้งสามคนตรงหน้า ิัทั่วร่างของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย พลังมากกว่าสองพันห้าร้อยจินไหลทะลักเข้าสู่หมัดของเขา
เพียงเสียง “กร๊อบ” ดังขึ้น
หมัดที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าหวาดกลัวของเยี่ยเฉินเฟิงได้ทุบทำลายกริชอันแหลมคมจนแหลกเป็จุณ และโจมตีใส่หน้าอกของคนชุดดำโดยตรงจนกระดูกซี่โครงหักทะลุออกมา ร่างกายปลิดปลิวดั่งว่าวที่หลุดจากสายป่าน ร่วงหล่นจากกลางฟากฟ้าตกกระแทกสู่พื้นดินสภาพเป็ตายไม่อาจทราบ
แต่สำหรับเยี่ยเฉินเฟิงที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพดาราหกชีพจรสำเร็จถึงระดับหลอมเืเนื้อขั้นแยกย่อยแล้วนั้น จะมีิัที่แข็งแรงทนทานเป็อย่างมาก กริชแหลมคมสองเล่มนั้นจึงทำได้เพียงแค่ฝากรอยแผลถากๆ ไว้บนผิวของเขาเท่านั้น ไม่สามารถสร้างความเสียหายใดใดต่อร่างกายเขาได้เลย
ขณะที่คนชุดดำทั้งสองกำลังหวาดกลัวร่างกายที่พลังป้องกันสูงจนน่ากลัวของเยี่ยเฉินเฟิง สองฝ่ามือที่เต็มไปด้วยแรงกดดันอันแข็งแกร่งก็ประทับหนักๆ ลงไปที่หน้าอกของพวกเขา ส่งผลให้หน้าอกของพวกเขายุบลงไปเป็แอ่ง ร่างทรุดลงไปนอนกับพื้นสูญสิ้นสติสัมปชัญญะ
เขาอาศัยเพียงแค่พลังกายก็สามารถขยี้คนทั้งสามจนสภาพปางตายได้ เยี่ยเฉินเฟิงรีบเดินเข้าไปหาคนเ่าั้ โคจรทักษะกลืนิญญากลืนกินจิตอสูรของพวกเขาทั้งสาม
“พลังิญญาเหล่านี้บริสุทธิ์มาก”
ััได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังิญญาในร่างกาย เยี่ยเฉินเฟิงจึงระบายยิ้มบางๆ บนใบหน้า
“เอ๊ะ สามพันตำลึง”
หลังจากจัดการปลิดชีพพวกเขาแล้ว ในตอนที่กำลังขุดหลุมเตรียมอำพรางศพ เยี่ยเฉินเฟิงก็บังเอิญเจอตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงจำนวนสามใบจากร่างของพวกเขา
ซึ่งเงินจำนวนสามพันตำลึงนี้ก็ช่วยแก้ปัญหาเร่งด่วนของเขาได้พอดิบพอดีเลย
หลังจากกลบฝังร่างไร้ิญญาของคนพวกนั้นแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็รีบกลับไปที่ห้องข้างๆ ของบ้านดินทันที เขาอาบน้ำชำระล้างคราบเืออกจนสะอาด และเริ่มต้นควบคุมไข่โลหิตให้ดูดซับพลังิญญาบริสุทธิ์ภายในร่างกาย เตรียมตัวรับการทะลวงผ่านเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับสี่
