เื่ราวั้แ่เล็กไปถึงใหญ่ที่หลงเซี่ยวอวี่บอกกับนางไว้มากมาย
บอกไว้อย่างชัดเจนกระทั่งเื่เล็กๆ น้อยๆ อย่างการกินและนอน
บอกว่าควรทานอาหารสามมื้อต่อวัน ไม่ควรน้อยกว่านั้น
เพราะนางไม่มีสิ่งที่ชอบทำเป็พิเศษ ชอบเพียงการนอนเฉยๆ อยู่บนเตียง หากไม่มีอะไรทำ นางจะไม่ตื่นจนกว่าตะวันโด่งฟ้า [1] ดังนั้นจึงอดมื้อเช้าเสมอ
ยังมีเื่การนอน เขาบอกว่ายามนอนในตอนค่ำคืน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนอนบนเตียงหยกเหมันต์ ไม่เพียงแค่เขาพูดจึงต้องทำเท่านั้น แต่ยังเป็เพราะเตียงใหญ่ที่นางเคยใช้นอนถูกรื้อเผาไปแล้ว
เขาบอกว่าไม่ต้องกลัวไทเฮาจะสร้างเื่ยุ่งยากลำบากใจให้อีกครั้ง เขาจะเข้าไปกราบทูลเื่นี้ต่อเสด็จพ่อไว้ให้ หากไม่้าพบฮ่องเต้ ก็สามารถไปเข้าเฝ้าฮองเฮาได้โดยตรง
เพราะสำหรับนางในยามนี้ฮองเฮาดูเหมือนจะมีประโยชน์มากกว่าฮ่องเต้
ทุกคนทราบดีว่าในวังหลวง ฮองเฮากับไทเฮาเป็น้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไทเฮามักจะฟังคำแนะนำของฮองเฮา แต่ยามนี้ฮองเฮาฟังนางมู่จื่อหลิง ความลึกลับของเื่นี้ชัดเจนยิ่งนัก
...ส่วนองค์หญิงอันหย่านั้นไม่จำเป็ต้องสนใจเลย
จวนฉีอ๋องมีการป้องกันเข้มงวด ไม่มีคนสามารถเข้ามาส่งเสียงน่ารำคาญรบกวนนางถึงจวนอ๋องได้
เขากล่าวว่า หากไม่มีเื่ใดก็อย่าเที่ยวเล่นไปทั่ว ต้องระวังตัวยามออกนอกจวน
หากมีปัญหาใดให้ไปหาเล่อเทียน หากมีบางอย่างที่ต้องจัดการก็ส่งต่อให้กุ่ยเม่ย
เขาบอกว่า เื่โรคระบาดหากทำดีที่สุดแล้ว แต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ฮ่องเต้จะไม่ตำหนิหรือทำอะไรนาง
สิ่งสำคัญที่สุดคือดูแลตนเองให้ดี อย่าป่วย อย่าให้ตนเองลำบากเพียงเพื่อช่วยผู้อื่น
สิ่งที่บอกมา...ช่างมีมากมายหลายเื่
กล่าวได้ว่า เมื่อครู่นี้หลงเซี่ยวอวี่พูดไม่หยุดมาตลอดทาง เว้นแต่ในยามที่นางผงกหัวและพูดว่า ‘ได้’ ก็ไม่มีการเอ่ยแทรกใดๆ อีกแม้เพียงครึ่งคำ
ดังนั้น แม้ว่านางจะรู้สึกไม่พอใจกับข้อเรียกร้องไร้สาระของเขาอยู่ในใจ นางก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พูดว่า ‘ไม่’
นางอยากรู้เหมือนกันว่าเหตุใดเขาถึงยอมให้นางนอนบนเตียงหยกเหมันต์ แต่เขาไม่เปิดโอกาสให้นางซักถาม
จนสุดท้ายนางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ฟังเสียงเขากระซิบข้างหูจนเกิดความง่วง
แต่ทุกครั้งที่นางลดเปลือกตาที่หนักอึ้งลง กำลังจะหลับตา เขาก็กัดติ่งหูนางอีกครั้งเพื่อปลุกนาง
ครั้งแล้วครั้งเล่า การเดินทางไกลจากเมืองหลวงไปยังเมืองหลงอัน ด้วยคำพูดที่ดูเหมือนสั้นแต่เคร่งขรึมของเขา ทำให้การเดินทางเป็เื่ยากลำบาก แต่กลับมีความสุข
ยามนึกถึงเื่ใหญ่และเล็กที่หลงเซี่ยวอวี่พูดออกมา หัวใจของมู่จื่อหลิงทั้งอบอุ่นและอ่อนหวาน ในขณะเดียวกันอารมณ์ของนางก็ซับซ้อนจนพูดไม่ออก
นางไม่เคยรู้เลยว่าฉีอ๋องผู้นิ่งเฉยเ็าเสมอมาจะมี่เวลาจู้จี้จุกจิกอยู่เช่นกัน เขาพูดบางสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับสถานะอันสูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของตนอย่างสิ้นเชิง
เขาสามารถให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเื่ที่ไม่สำคัญอะไรได้ ทั้งยังพูดทุกอย่างอย่างจริงจัง ไม่มีความคลุมเครือเลย ทำราวกับนางเป็เด็กที่ยังไม่รู้จักโลก
ขณะที่มู่จื่อหลิงกำลังนึกถึงสิ่งที่เขาพูดพล่ามระหว่างทาง หลงเซี่ยวอวี่ก็เหยียดนิ้วสวยของเขาออก ค่อยๆ เชิดคางเนียนราวผิวหยกของนางขึ้น จ้องนางอยู่ครู่หนึ่ง
เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่จ้องมองนางเงียบๆ มองอย่างละเอียด จับจ้องทุกส่วน
มองนางอย่างตั้งใจและจริงจัง ไม่พลาดทุกส่วนสวยงามบนใบหน้าที่ทำให้เขาหลงใหลอย่างสุดซึ้ง
ดูเหมือนไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เพียงพอ
ดวงตาใสของนางเต็มไปด้วยภาพสะท้อนของเขา โลกของนางถูกโดยเขาเพียงผู้เดียว...และเขาก็เช่นกัน
......
หลี่ซินหย่วนที่ไม่รู้ว่าเขาได้จัดการกับสิ่งที่เขาคิดว่าเป็ ‘ฝุ่น’ บนร่างกายออกเรียบร้อยเมื่อใด ได้ย้ายไปด้านข้างเล่อเทียนอย่างเงียบๆ
ยามมองภาพอบอุ่นงดงามตรงนั้น สองมือของเขากำแน่น ก่อนจะยกมือขึ้นทาบอกด้วยความอิจฉา พูดด้วยเสียงต่ำว่า “เสี่ยวเทียนเทียน ดูสิ พวกเขาหวานมาก...เมื่อใดเ้าจะทำเช่นนี้กับข้าบ้าง”
ในขณะที่พูดออกมาหลี่ซินหย่วนก็หลับตาฝันอย่างโหยหา หันหน้าไปทางเล่อเทียน เตรียมพิงไหล่ของเขา
เล่อเทียนใกับการเกาะติดดั่งขนมหนิวผีถังอีกครั้ง แต่เนื่องจากเมื่อครู่เขาได้รับคำเตือนจากผู้สูงศักดิ์ แม้ว่าเขาจะถูกทำร้ายจนตาย เขาก็ไม่กล้ารบกวนความอบอุ่นอ่อนหวานของพวกเขา
ดังนั้นเล่อเทียนผู้น่าสงสารจึงกลืนคำพูดน่ารำคาญที่กำลังจะออกจากปากลงไป บังคับให้กลืนกลับเข้าไปในท้อง ก่อนจะกลายเป็แสงวาบผ่านเนื่องจากเขาะโขึ้นไปที่ต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง
หัวของหลี่ซินหย่วนไม่ได้ซบอยู่บนไหล่เล่อเทียนอย่างที่เขา้า เนื่องจากเล่อเทียนเคลื่อนไหวเร็วเกินไป เขาจึงเซจนเกือบเสียหลัก
แม้ว่าหลี่ซินหย่วนจะหน้าด้านหน้าทน เหมือนไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่เขาก็เหมือนกับเล่อเทียน เขากลัวฉีอ๋องผู้ไร้สิ่งใดมาเทียบเทียมได้
ดังนั้นยามเห็นเล่อเทียนวิ่งหนีไป เขาจึงไม่กล้าะโอีก ทำเพียงกระทืบเท้าด้วยความโกรธ แกว่งแขนไปมาแล้ววิ่งไปยืนใต้ต้นไม้
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปทำตัวราวกับลูกสะใภ้ตัวน้อยผู้ถูกกระทำ ปากแดงตุ้งติ้งขบเม้มอย่างเย้ายวน วางมือบนสะโพก จ้องมองเล่อเทียนที่ยืนอยู่บนต้นไม้สูงด้วยสายตาขุ่นเคือง
ในยามนี้เล่อเทียนจะกล้ามองเทพเ้าแห่งความชั่วร้ายอย่างหลี่ซินหย่วนอีกได้อย่างไร เขากลัวว่าหากจ้องมอง เขาจะไม่สามารถปราบปรามอารมณ์หุนหันพลันแล่นในใจได้ จนพุ่งตรงไปต่อสู้กับเขา
ดังนั้นเล่อเทียนที่ตระหนักรู้ในตนเอง จึงทำเพียงหลับตา ไม่หันมอง เอนกายบนกิ่งไม้อย่างสง่างาม หลับตาพักสมอง
ในทางกลับกัน ทางด้านพวกหลงเซี่ยวอวี่
หลังจากนั้นไม่นาน
ดวงตาสีเข้มลึกราวกับท้องทะเลอันลึกล้ำของหลงเซี่ยวอวี่ กำลังเปล่งประกายแวววาว มีร่องรอยของความจริงจังบนใบหน้าหล่อเหลา เขากล่าวว่า “มู่มู่ สิ่งเ่าั้สำคัญมาก เ้าห้ามลืม แต่ยังมีอีกอย่างที่สำคัญกว่าทั้งยังต้องทำทุกวัน”
ยามเห็นท่าทางจริงจังของเขา มู่จื่อหลิงจึงกลั้นหายใจและตั้งสมาธิ จริงจังมากขึ้น ขนตายาวกระพือเบาๆ ก่อนถามด้วยความงุนงงว่า “เื่อะไร?”
เขาชอบแววตาจริงจังของหญิงตัวเล็กผู้นี้จริงๆ...หลงเซี่ยวอวี่ยื่นมือออกมาจับใบหน้าเล็กของนางอย่างเบามือ
จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลง หว่างคิ้วของทั้งสองชนกัน ปลายจมูกของเขาชนกับปลายจมูกของนาง นิ้วหัวแม่มือลูบแก้มอ่อนนุ่มของนางอย่างแ่เบา
เ้ามารร้ายผู้นี้...ทำตัวจริงจังในที่สาธารณะไม่ได้เลยหรือ? จิตใต้สำนึกของมู่จื่อหลิงอยากจะผลักเขาออกไป แต่ไม่อาจสั่นคลอนเขาได้เลย
ในยามนี้มู่จื่อหลิงไม่รู้ว่ายังมีสิ่งที่ไร้ยางอายมากกว่านี้อีก
แล้วเื่ที่สำคัญกว่านั้นเล่า? ทั้งยังทำท่าทางจริงจัง? มู่จื่อหลิงจ้องมองเขาอย่างกระตือรือร้น มีประกายความโศกเศร้าอยู่ในดวงตาซึ่งไม่สามารถสลัดออกได้
นางอดกลั้นถามอีกครั้งอย่างจริงจัง “ยังมีเื่สำคัญใดอีกหรือไม่?”
นอกจากกินและนอนซึ่งเป็สิ่งที่ต้องทำทุกวัน นางก็ไม่รู้ว่าในแต่ละวันยังต้องทำอะไรอีก
เขาอธิบายมาตั้งเยอะแล้ว เหตุใดยังไม่พออีก? มู่จื่อหลิงรู้สึกหดหู่ใจ
แต่ยามนี้เขาดูจริงจังมาก มันต้องเป็เื่ใหญ่แน่เลยใช่ไหม? แต่เขาได้กล่าวถึงหลายสิ่งหลายอย่าง เพิ่มอีกหนึ่งอย่างก็ไม่เป็ไร
แต่ใครจะรู้ ในยามที่มู่จื่อหลิงรู้ว่าเื่สำคัญที่หลงเซี่ยวอวี่พูดถึงคือสิ่งใด นางแทบจะกัดลิ้นตาย!
“สิ่งสำคัญคือ...” ริมฝีปากสีชมพูบางเบาของหลงเซี่ยวอวี่เม้มเล็กน้อย น้ำเสียงไม่เร่งรีบหรือเชื่องช้าเกินไป ใช้เวลาพักหนึ่งในการกล่าวเน้นทีละคำว่า “ต้องคิดถึงเปิ่นหวาง ต้องคิดถึงทุกวัน”
...อะไรนะ? ดวงตาของมู่จื่อหลิงเบิกกว้างทันที นางไม่สามารถตอบสนองได้ชั่วขณะหนึ่ง
แต่ก่อนที่นางจะทันได้ตอบกลับ หลงเซี่ยวอวี่ก็กดจูบนางอย่างแม่นยำ
จูบนี้แแ่ มีเสน่ห์และอ้อยอิ่ง ยากที่จะแยกจากกัน ราวกับจะแฝงไปด้วยความคิดถึงและความไม่เต็มใจอย่างแรงกล้าเข้าไปด้วย...
ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเพียงใดกว่าที่เขาจะปล่อยนางออกอย่างไม่เต็มใจ
ลมหายใจของเขายุ่งเหยิงนิดหน่อย ดวงตางดงามเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ในหัวของนางเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ใบหน้าของนางแดงก่ำจากเสน่ห์เหลือจะพรรณนาของเขา
เขายื่นมือจับใบหน้าแดงระเรื่อของนางอย่างนุ่มนวล ใช้นิ้วหัวแม่มือขนาดใหญ่ที่อ่อนนุ่ม ค่อยๆ เช็ดด้ายเงินสีขาวที่ติดมุมปากนางออก พูดเบาๆ ว่า “มู่มู่คนโง่ จำไว้ว่าการคิดถึงเปิ่นหวางเป็สิ่งสำคัญที่ต้องทำทุกวัน”
เสียงของเขามีเสน่ห์เย้ายวนดึงดูดใจ ลมหายใจอุ่นๆ รดแ่เบาบนใบหน้าของนาง เขามองเข้าไปในดวงตาลึกล้ำของนางด้วยพลังอำนาจที่ไม่มีใครเทียบได้
ไฉนมารร้ายผู้นี้จึงไม่ทำอะไรตามปกติบ้างนะ เื่นี้เป็เื่สำคัญที่เขาจะบอกแน่หรือ? ไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ...มู่จื่อหลิงมองเขาโดยไม่พูดอะไร ด้วยนางพูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง
เมื่อไม่ได้ยินคำตอบจากนาง หลงเซี่ยวอวี่จึงย้ำเบาๆ “เข้าใจไหม?”
มู่จื่อหลิงแอบกัดฟันอย่างลับๆ ใจนางอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ภายใต้ดวงตากดดันที่ดูอันตรายของเขา นางถูกบังคับให้พยักหน้า ทั้งยังเอ่ยย้ำซ้ำไปซ้ำมา “ได้ ข้าจะทำ” ไม่ว่านางจะคิดถึงเื่นี้ทุกวันหรือไม่ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่มารร้ายผู้นี้ควรกล่าวถึงไม่ใช่หรือ บอกให้คิดถึงทุกวันหรือ ช่างหลงตนเองและเอาแต่ใจยิ่งนัก
แน่นอนว่ามู่จื่อหลิงไม่กล้าพูดประโยคสุดท้ายออกมา ต่อให้ทุบตีจนตายก็ไม่พูด
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ตะวันโด่งฟ้า (日上三竿) เป็สำนวน มีความหมายว่า เวลาสายจนเกือบเที่ยง ส่วนมากใช้บรรยายการตื่นสาย