“แกกลับมาแบบนี้ ทำงานที่ไร่เสร็จแล้วหรือไง!” สวีเจาตี้ถลึงตาจ้องลูกชายคนรอง
ซย่าหู่นั่งลงบนเก้าอี้และเอนหลังพิงพนักพิง ก่อนจะกล่าวว่า “ทำเสร็จแล้วๆ พ่อกับเมียผมกำลังตามหลังมา พวกเขากลับบ้านกันหมดแล้ว...ซานนีเอาน้ำให้หน่อยสิ ฉันหิวน้ำจะตายอยู่แล้ว”
ซย่าซานนีรินน้ำให้พี่ชายคนรองอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็ได้ยินพี่รองถามเธอว่า “สายโทรศัพท์จากปักกิ่งนั่นใช่พี่หญิงใหญ่ของเราหรือเปล่า? พี่โทรมาหาเธอเพราะเื่อะไร?”
สวีเจาตี้อดไม่ได้ที่จะตำหนิซย่าหู่ “แกรีบกลับมาขนาดนี้ทำไมกัน? ไม่รู้หรือไงว่าเมียตัวเองกำลังท้องโตอยู่? ทำไมไม่รู้จักประคองเมียแกเสียบ้างเลย”
ซย่าหู่กล่าวอย่างไม่สนใจ “ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่มีขาเดินมาเองสักหน่อย”
สวีเจาตี้ชี้หน้าซย่าหู่แล้วพูดว่า “แต่เด็กที่เธออุ้มท้องอยู่นั่น มันคือหลานคนโตของตระกูลซย่าเชียวนะ!” พอสวีเจาตี้พูดมาถึงตรงนี้ก็โกรธมากเห็นอยู่ชัดๆ ว่าลูกชายคนโตอย่างซย่าหลงแต่งงานเร็วกว่าซย่าหู่ถึงสองปี แต่สะใภ้รองกลับใกล้จะคลอดลูกแล้ว ขณะที่สะใภ้ใหญ่ยังไม่มีวี่แววใดๆ ให้เห็นเลยสักนิด! เธอสงสัยเหลือเกินว่าลูกชายคนโตน่าจะแต่งงานกับแม่ไก่ที่ไม่อาจวางไข่ได้เสียแล้ว!
ซย่าหู่เบะปากไม่ได้กล่าวอันใดต่อ จากนั้นเขาก็หันไปมองซย่าซานนีและถามคำถามเดิมว่า “นี่ ฉันถามเธออยู่นะ พี่หญิงใหญ่โทรมาหาเธอเพราะมีเื่อะไรหรือ?”
ซย่าซานนีตอบ “พี่หญิงใหญ่โทรมาชวนฉันไปปักกิ่ง...”
เธอยังไม่ทันพูดจบซย่าหู่ก็ขัดจังหวะการพูดของเธอแล้ว เขากล่าวอย่างไม่พอใจว่า “ไม่สิ เธอมีดีอะไรพี่ถึงต้องให้แกไปปักกิ่งด้วยเล่า? ฉันเป็น้องชายของพี่นะ ทำไมพี่ถึงไม่ให้ฉันไป?”
ซย่าซานนีทนไม่ไหวจึงตอกกับซย่าหู่ไปว่า “พี่รอง พี่หญิงใหญ่ให้ฉันไปปักกิ่งเพื่อช่วยดูแลลูกๆ ให้น่ะสิ! พี่ช่วยพี่หญิงใหญ่ดูแลลูกได้หรือไง?”
แน่นอนว่าซย่าหู่ย่อมทำไม่ได้อยู่แล้ว
ซย่าหู่มีท่าทางอึกอัก ก่อนจะหุบปากลงในที่สุด
แต่จู่ๆ สวีเจาตี้ก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอดวงตาเป็ประกายแล้วปรบมือขึ้นมา “ใช่แล้ว! ให้ซย่าหู่หรือซย่าหลงไปเมืองหลวงก็ได้นี่นา จากนั้นค่อยให้พี่สาวของพวกแกยกงานที่หาได้ให้กับน้องชายตัวเอง เช่นนี้เธอก็อยู่บ้านดูแลลูกๆ ได้แล้วมิใช่หรือ?”
ซย่าซานนีพูดไม่ออก “…” เธอรู้สึกว่าแม่ของเธอช่างคิดเพ้อฝันเสียจริง
“แกทำสีหน้าแบบนี้หมายความว่ายังไง? ทำไม แกคิดว่าพี่สาวของแกจะไม่พอใจงั้นสินะ?” สวีเจาตี้หัวเราะเยาะหนึ่งทีแล้วกล่าวต่อว่า “เธอมีอะไรต้องไม่พอใจกันเล่า ตอนนั้นหากมิใช่เพราะฉันจงใจบีบบังคับซ่งหานเจียงล่ะก็ พี่สาวของแกจะได้คู่ครองที่ดีขนาดนี้หรือเปล่า? ถ้าไม่ใช่เพราะฉันตอนนี้เธอก็คงอยู่อย่างอดๆ อยากๆ ที่ชนบทเหมือนกับพวกเราแล้ว”
“แต่ว่าพี่หญิงใหญ่ไม่ได้บอกว่าหางานประเภทไหนได้นี่นา? หากที่นั่นเขารับแต่คนงานผู้หญิงเล่า?” ซย่าซานนีหยุดพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวต่อว่า “อีกอย่างพี่หญิงใหญ่ก็พูดเองว่าเธอกลัวว่าแม่สามีจะไม่ชอบที่เธอกินอยู่ที่บ้านสามีโดยไม่จ่ายเงินพี่ถึงได้ออกมาหางานทำ ถ้าแม่ให้พี่ใหญ่กับพี่รองไปทำงานแทนพี่หญิงใหญ่ล่ะก็แล้วพี่หญิงใหญ่จะดิ้นรนทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร? สุดท้ายไม่ใช่ว่าพี่ก็ยังต้องกินอยู่โดยเปล่าประโยชน์ที่บ้านแม่สามีต่อไปงั้นหรือ?”
“เธอดั้นด้นไปเมืองหลวงเพื่อจะมีชีวิตที่ดีขึ้นนี่นา หรือว่าการที่จะให้เธอช่วยเกื้อกูลน้องชายไปด้วย มันไม่ใช่เื่ที่ควรทำหรือไง!” ซย่าหู่พูดออกมาตามความจริง
หากสามารถไปปักกิ่งได้จริงๆ ใครบ้างจะอยากอยู่ลำบากที่ชนบทกันเล่า? ซย่าหู่คิดอยากจะเป็คนเมืองมาตั้งนานแล้ว
ซย่าซานนีโกรธจนหน้าแดง ปีนั้นที่พี่เขยยังสอบติดมหาวิทยาลัยไม่ได้และเขาก็อาศัยอยู่กับพี่สาวคนโตของเธอที่หมู่บ้านแห่งนี้ พี่เขยเป็นักวิชาการที่อ่อนแอเขาไม่มีคุณสมบัติในการทำงานร่วมกันกับกลุ่มคนใช้แรงงาน ชีวิตในแต่ละวันของพี่หญิงใหญ่ผ่านไปด้วยความยากลำบาก เธอไม่เคยเห็นพี่ชายคนรองคนนี้จะยื่นมือช่วยเหลือพี่หญิงใหญ่เลยสักครั้ง ทว่าตอนนี้เขากลับมีหน้ามาพูดว่าพี่หญิงใหญ่เป็พี่สาวก็ต้องเกื้อกูลน้องชายอีกน่ะหรือ!
ซย่าซานนีกำลังจะตอกกลับพี่ชายคนรอง ทว่าซย่าตัวจินผู้เป็บิดาของเธอกับพี่สะใภ้รองหยางเสี่ยวเจียวดันกลับมาถึงบ้านเสียก่อน
ซย่าซานนีมองไปที่ท้องโตๆ ของหยางเสี่ยวเจียว ทันใดนั้นเธอก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาก่อนจะกล่าวว่า “พี่รอง ถ้าพี่ไปปักกิ่งแล้วพี่สะใภ้รองจะทำอย่างไรเล่า?”
“ไม่สิ ฉันไปปักกิ่งแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่สะใภ้รองของเธอกัน?” ซย่าหู่กล่าวต่อ “ฉันว่าเธอคงไม่อยากให้ฉันไปปักกิ่งล่ะสิท่า?”
ซย่าซานนีกลืนโทสะลงท้องแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “อีกเดือนสองเดือนพี่สะใภ้รองก็จะคลอดแล้ว พี่จะไม่อยู่ข้างกายพี่สะใภ้รองหรือ?”
ซย่าหู่พูดอย่างไม่สนใจเลยสักนิด “เธอเป็คนคลอดลูก ไม่ใช่ฉันคลอดลูกสักหน่อย ทำไมฉันต้องอยู่เป็เพื่อนเธอด้วย?”
ซย่าซานนีมองพี่สะใภ้รองที่ตอนนี้มีสีหน้าซีดลงเรื่อยๆ ก่อนสีหน้าของเธอจะเปลี่ยนเป็สีแดง เธอโกรธจนน้ำตาแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว เธอะโขึ้นมาด้วยเสียงดังลั่น “ซย่าหู่! นี่นายกำลังพูดอะไรฮะ!”
ซย่าหู่หันกลับไปทางต้นเสียง ตอนนี้เขาเห็นว่าภรรยาของตนกำลังทำสีหน้าไม่พอใจมากซึ่งท่าทางนี้ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เขาเริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยังปากแข็งต่อ “ฉันไปเมืองหลวงก็ดีต่อเธอเหมือนกัน รอฉันหาเงินที่ปักกิ่งได้แล้ว ฉันค่อยมารับเธอไปอยู่ที่ปักกิ่งก็ได้ จากนั้นเธอก็จะได้กลายเป็คนในเมืองหลวงแล้ว”
หยางเสี่ยวเจียวไม่เหมือนกับซย่าหู่เธอเคยเรียนหนังสือมาก่อน ใครเล่าจะไม่รู้ว่าเมืองหลวงนั้นดีเพียงใด แต่หากทุกคนใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงได้ง่ายขนาดนั้น คนอื่นเขาจะไม่แห่ไปอยู่เมืองหลวงกันหมดแล้วหรือ? ขนาดพี่หญิงใหญ่ที่มีสามีมีทะเบียนบ้านอยู่ในเมืองหลวงแถมไปอยู่ที่เมืองหลวงตั้งสองปี พี่เขาก็ยังไม่สามารถย้ายทะเบียนบ้านไปที่เมืองหลวงได้เลย!
จะว่าไปแล้วคนนิสัยโลเลอย่างซย่าหู่ หากปล่อยเขาไปที่เมืองหลวงขึ้นมาจริงๆ การไปอยู่เมืองหลวงครั้งหนึ่งต้องใช้เวลาสองถึงสามปี คนนิสัยเช่นนี้จะห้ามตนเองไม่ให้ไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นตอนอยู่ข้างนอกได้งั้นหรือ?
“นายอย่าแม้แต่จะคิด! ฉันบอกนายไว้เลยนะ ฉันไม่ยอมเด็ดขาด!” หยางเสี่ยวเจียวถลึงตาจ้องซย่าหู่
ซย่าหู่เริ่มร้อนใจขึ้นมา เขาลุกยืนขึ้นยืนแล้วโต้กลับ “พอเธอบอกว่าไม่เห็นด้วย คนอื่นก็ต้องไม่เห็นด้วยงั้นหรือ? เธอเป็ใครกันฮะ?”
“เลิกเถียงกันได้แล้ว!” สวีเจาตี้มองไปทางหยางเสี่ยวเจียว จากนั้นก็หันไปมองลูกชายคนรองของตนแล้วถอนหายใจ “เสี่ยวหู่ ภรรยาของลูกพูดถูก ลูกอย่าไปปักกิ่งเลย”
หยางเสี่ยวเจียวเชิดหน้าขึ้นอย่างได้ใจ เธอเหลือบมองซย่าหู่และกุมท้องพลางส่งเสียง ‘ฮึ’ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินตรงกลับเข้าห้องของตนเองไป
ซย่าหู่ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ เขาเอ่ยขึ้น “แม่!”
ซย่าซานนีถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเงียบๆ หลังจากที่พี่เขยสอบติดมหาวิทยาลัยและได้พาพี่หญิงใหญ่กลับบ้านที่ปักกิ่ง พี่สะใภ้รองก็แต่งเข้ามาที่ตระกูล พ่อของหยางเสี่ยวเจียวเป็ทหารผ่านศึก ทุกเดือนจะได้รับเงินอุดหนุนหลายสิบหยวน ดังนั้นครอบครัวของเธอจึงฐานะดีมาก หากมิใช่เพราะตระกูลหยางเห็นว่าบ้านตระกูลซย่ามีซ่งหานเจียงเป็ลูกเขย ก็คงไม่ยอมให้ลูกสาวแต่งเข้าตระกูลซย่าหรอก
เวลาที่หยางเสี่ยวเจียวกลับบ้านมารดาแต่ละครั้งก็มักจะนำของดีๆ กลับมาด้วยตลอดแถมในท้องยังอุ้มหลานคนสำคัญของตระกูลซย่าไว้อีกด้วย เพราะเหตุนี้คำพูดของเธอในตระกูลซย่าจึงมีน้ำหนักมากพอตัว ทางด้านสวีเจาตี้ที่เป็แม่สามีเองก็ฝากความหวังของตนไว้ที่สะใภ้รองคนนี้ด้วยเช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซย่าหลงกับเฮ่อเหมียวผู้เป็ภรรยาก็กลับมาถึงบ้านแล้ว สวีเจาตี้บอกความคิดของตนให้ซย่าหลงฟังทันทีแต่เธอกลับต้องประหลาดใจ เพราะซย่าหลงดันปฏิเสธความคิดนี้
สวีเจาตี้ไม่เข้าใจ “เพราะอะไรกัน?”
ซย่าหลงมีนิสัยเรียบง่ายกว่าซย่าหู่ เขาคิดว่าปักกิ่งนั้นอยู่ห่างไกลจากบ้านมากทั้งยังไม่ใช่สถานที่ที่เขาคุ้นเคย หากเขาอยากหาใครสักคนมาเล่นไพ่ด้วยก็คงไม่ได้ดังนั้นเขาจึงไม่อยากไปที่นั่น แต่เขาไม่อาจพูดเช่นนี้ได้เพราะมันจะดูเหมือนเขาเป็คนขี้ขลาด เขาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงกล่าวว่า “แม่ ผมยังอยากมีลูกชายกับภรรยาอยู่นะ ถ้าผมไปที่นั่นแล้วเธอจะท้องได้อย่างไรเล่า?”
“ท้องอะไรกัน! เธอมันก็แค่แม่ไก่ที่ไม่อาจวางไข่ได้ก็เท่านั้น!” สวีเจาตี้ชี้หน้าเฮ่อเหมียวและก่นด่าเธอ
เฮ่อเหมียวก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
ซย่าหลงยืนยันคำเดิม “อย่างไรผมก็ไม่ไป”
สวีเจาตี้หงุดหงิดขึ้นมาแล้ว “พวกแกจะไม่ไปกันใช่ไหม? ได้ งั้นฉันไปเอง!” มันก็แค่งานดูแลเด็กไม่ใช่หรือไง เธอทำได้อยู่แล้ว! ถึงตอนนั้นเธอก็สามารถริบเงินที่ลูกสาวหามาได้ทั้งหมด!
ซย่าซานนีกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถูกบิดาที่เงียบมาโดยตลอดชิงพูดตัดหน้าไปก่อน
“ไร้สาระ!” ซย่าตัวจินกล่าวต่อ “สะใภ้รองใกล้จะคลอดแล้ว ถ้าเธอไปแล้ว ใครจะคอยดูแลเธอหลังคลอดกันเล่า? ซานนีพี่หญิงใหญ่ให้ลูกไป ลูกก็ไปเถอะ ลูกรีบกลับห้องไปเก็บข้าวของซะ!”
ซย่าซานนีะโโลดเต้นด้วยความดีใจ “เย้! ได้จ้ะพ่อ!”
