เหลือเพียงผมและห้องสีขาวเท่านั้น ทว่าอยู่ ๆ รู้สึกปวดฉี่ขึ้นมา อยากกดเรียกคุณพยาบาลเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าลองลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำเองดูบ้าง เป็การฝึกการเคลื่อนไหว ไม่นานนักสองเท้าของผมก็ถึงพื้น แล้วค่อย ๆ พยุงร่างกายให้ทรงตัวได้ หาที่เกาะให้มั่น แล้วย่างเท้า..
“ทำอะไรน่ะ?” เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมประตูห้องเปิดอ้า ร่างของคุณหมอนาวิน รีบวิ่งเข้ามาแล้วประคองตัวผมทันที สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเป็ห่วงผมอย่างมาก แต่มันไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนหมอที่ห่วงคนไข้ มือหนาแข็งแกร่งจับผมมั่น แล้วให้ผมนั่งลงยังเตียงเพื่อตั้งหลัก
“รู้ไหม ว่าหากพลาดล้มไปเพียงแค่ครั้งเดียว มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่เตียงของคุณ!” เขาชี้มือไปยังปุ่มกดเรียกพยาบาล แล้วหันมายังผมด้วยสายตาจริงจัง
“มีปุ่มกดเรียกขอความช่วยเหลือ ผมเชื่อว่าพยาบาลแจ้งคุณแล้ว ทำไมไม่กด” เอาจริงในตอนนั้น เขาพูดซะ ผมสำนึกผิดไม่ทันเลย
“ผมแค่ อยาก ไปเข้า ห้อง น้ำด้วย ตัวเอง”
“ไม่ได้!” เสียงเขาตอบทันควัน ภายใต้แว่นตาขนาดพอดี มองผมราวกับว่าโกรธมาก แต่มาคิดดูแล้ว ผมก็อาจจะผิดจริง ๆ เขาเป็หมอ ที่ผ่าตัดสมองผมเองกับมือ กว่าจะรอดชีวิตมาก็ไม่ใช่เื่ง่าย ๆ ผมประมาทเอง
“ผม ขอโทษ” ผมยอมรับผิดโดยไม่คิดหาคำแก้ตัว ครู่หนึ่งเขาจึงค่อย ๆ จับแขนผมเบา ๆ
“งั้นผมพาคุณเข้าห้องน้ำเอง” ผมไม่รู้ตัวหรอก ว่าตอนนั้นเผลอทำหน้ายังไง แต่คุณหมอก็ถามย้ำ
“คุณปวดฉี่ไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ..ครับ” ผมทิ้งแรงทั้งหมดให้คุณหมอพยุง การเคลื่อนไหวหลังการผ่าตัดศีรษะ ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะสมองเป็ส่วนสำคัญ ผมรู้และเข้าใจก็ตอนที่ร่างกาย ไม่ขยับไปตามความ้า มือของคุณหมอนาวินจับผมไว้อย่างแแ่ แล้วสั่งให้ผมเคลื่อนไหวช้า ๆ ค่อย ๆ ก้าวอย่างระวัง ทีละก้าว ทีละก้าว แม้ว่าห้องน้ำจะอยู่ไม่ไกล แต่กว่าจะเดินไปถึงต้องใช้เวลา
ระหว่างนั้นหัวใจผมรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด นี่มันความรู้สึกอะไรกันผมไม่มั่นใจ นับจากเกิดมาจนถึงตอนนี้ผมไม่เคยมีความรู้สึกนี้เลย ทว่าอยู่ ๆ ภาพเหตุการณ์ปริศนาบางอย่างก็ผุดขึ้นในสมองของผม
บ้านไม้ขนาดกลาง ที่ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำ มีเรือสัญจรไปมาเพื่อค้าขาย บริเวณบ้านร่มรื่น ผู้คนส่วนใหญ่ใช้จักรยานเป็พาหนะ ผมเห็นรถคันเก่าของคุณภูมิพล และเขาที่อยู่ในชุดข้าราชการตำรวจหยิบบางอย่างออกจากรถ แล้วเดินเข้ามาในบ้านไม้หลังนั้น ความรู้สึกส่วนลึกรับรู้ว่ามันเป็เรือนหอ
เรือนหอของคุณมยุรา กับคุณตำรวจภูมิพล ผมในชุดคนไข้ หันมองร่างของชายหนุ่มในชุดตำรวจ เดินถือดอกไม้เข้ามาในบ้าน ผมรีบเดินตามเขาไปในทันที ก่อนมองไปรอบ ๆ เห็นภาพแต่งงานของคุณตำรวจและคุณมยุรา ติดอยู่ที่ผนังราวสองสามภาพ เป็การแต่งงานที่เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้ต่างจากภาพแต่งงานของคนสมัยนี้เท่าไรนัก ข้าวของในบ้านส่วนใหญ่ทำจากไม้เนื้อดี ผ้าม่านสีขาวปลิวไสวเบา ๆ พร้อมแรงลมอ่อน ๆ
“อาหารพร้อมแล้วนะคะ” ร่างของคุณมยุราเดินออกมาจากครัว จังหวะนั้นผมถูกดูดเข้าไปในร่างของเธออีกครั้ง ยังคงรับรู้เพียงแค่ความรู้สึก ไม่สามารถบังคับกายและคำพูดของเธอได้ เป็เพียงแค่ผู้เฝ้ามองดูเท่านั้น
สายตาของมยุรา มองตรงไปยังดอกไม้ในมือของสามี หัวใจของเธอเบ่งบานออกมา เพราะคิดว่าดอกไม้นั้นเป็ของของเธอ มยุราเดินเข้าไปหาเขาแล้วยิ้มอ่อน หยิบกระเป๋าทำงาน และกล่องอาหารกลางวันออกจากมือเขาเพื่อนำไปเก็บ
“วันนี้มีต้มมะระ ของโปรดคุณน่ะ”
“ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน” เขาพูดด้วยสีหน้าราบเรียบแล้วเดินขึ้นชั้นสองไปพร้อมดอกไม้ในมือ มยุราหันมองร่างของชายหนุ่มผู้เป็สามี รู้แล้วว่าดอกไม้นั้นไม่ได้มีไว้สำหรับเธอ ทว่าอาจเป็ของใครบางคน
‘ถ้าให้เดา ก็คงของพรรณี’ ผมที่อยู่ในร่างมยุราพึมพำเบา ๆ ทว่ากลับรับรู้ความเ็ปของมยุราได้เป็อย่างดี
‘คุณให้เขาหากินเองก็ได้ คุณจะไปตั้งโต๊ะให้เขาทำไม? ทำตัวแบบนี้ ก็ให้หากินเองจบเื่!” ผมพยายามเป่าหูมยุรา แต่ดูเหมือนเธอไม่ได้ยินอะไร ยังเดินเข้าไปในครัวแล้วตักต้มมะระที่ตั้งใจทำใส่ถ้วย พร้อมควันโชยฟุ้งขึ้นมา ก่อนจะหันไปตักข้าวร้อน ๆ ใส่จาน ทุกอย่างในครัวดูสะอาดสะอ้าน เรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว ผ้าม่านยังคงปลิวสไวเบา ๆ พร้อมเสียงฝีเท้าของเขาลงมาจากชั้นบน
มยุรายังคงมีสีหน้าเปื้อนยิ้ม ไม่เอ่ยถามถึงกุหลาบดอกนั้นให้เขาอึดอัดใจ คุณภูมิพลเดินมาถึงก็ย่อตัวลงนั่ง ตักอาการฝีมือภรรยากิน ท่ามกลางบรรยากาศเรียบง่าย ทว่าแฝงไปด้วยความอึดอัด ผมมองใบหน้าเขาผ่านมุมมองของมยุรา พบว่าเขาดูไม่มีความสุข และมยุราดูเหมือนรู้ เธอจึงเลือกที่จะลุกขึ้นไปตักน้ำมาให้ แล้วเดินออกจากครัวไปอย่างเงียบ ๆ ซึ่งเป็เวลาที่ผมเองก็หลุดออกจากร่างของเธอ แล้วนั่งมองคุณภูมิพลกินอาหาร
‘ไม่รักผู้หญิง แล้วตบแต่งมาทำไมวะ?’ ผมถามเขาลอย ๆ ขณะที่เขาตักอาการกิน โดยไม่รับรู้ว่ามีผมนั่งอยู่ตรงนั้น
‘กินข้าวฝีมือเขาอะ เอ่ยชมเขาสักคำไม่เป็หรือไง หรือไม่ก็เอ่ยคำว่าขอบคุณสักครั้ง พูดให้กำลังใจกันเป็บ้างไหม’ ผมนึกต่อว่าเขา ก่อนมยุราจะเดินเข้ามาพร้อมการ์ดงานแต่ง
“วันที่ 14 นี้ เป็งานแต่งงานของลูกสาวผู้ใหญ่เสรี คุณว่างไหมคะ”
“ไม่ว่าง” เขาตอบทันที ท่าทีห่างเหินทำให้ผมรู้สึกสงสารคุณมยุราอย่างบอกไม่ถูก มองปราดเดียวก็รู้ว่าเธอเป็คนดีและใจเย็นแค่ไหน ขนาดผมเป็ผู้ชายแท้ ๆ ยังแทบทนพฤติกรรมของคุณภูมิพลไม่ไหว
“ไม่เป็ไรค่ะ ฉันจะบอกคุณพ่อว่าคุณติดธุระ” เขาเงียบ ท่ามกลางสายตาของมยุราที่มองเขาด้วยสายตาสั่นไหว ให้ตายเถอะ ผมไม่เคยเห็นสายตาน่าสงสารจากใครเท่านี้มาก่อน
‘ขอต่อยสักหมัดได้ไหม’ ผมหันไปหาเขาแล้วคิดในใจ
“พรุ่งนี้ไม่ต้องทำอาหารกลางวันให้ผม ผมจะหาซื้อกินแถวที่ทำงาน”
“แต่ว่าซื้อเขามันแพง ไม่สู้ทำเองถูกกว่า สะอาดกว่า” เขานิ่งเงียบไม่ตอบ ส่วนเธอเองก็เงียบแล้วเดินจากไป ผมพยายามเดินตามเธอ ทว่าเหมือนถูกดูดไว้กับที่ ให้นั่งมองกิริยาของคุณภูมิพล ที่แสดงออกว่าอึดอัดอยู่ตลอดเวลา ก่อนเขาวางช้อนแล้วลุกขึ้น เดินตรงไปยังปฏิทิน ผมไม่รีรอรีบเดินเข้าไปใกล้ แล้วเห็นรอยหมึกที่ขีดฆ่าด้วยปากกา
‘วันที่ 7 พฤศจิกายน 2515’ ผมเข้าใจแล้วว่า ทำไมบ้านเมือง การแต่งกายและชีวิตความเป็อยู่ของพวกเขา แตกต่างจากยุคปัจจุบัน แต่สิ่งที่ผมไม่เข้าใจ ทำไมผมต้องมารับรู้เื่ราวของพวกเขาด้วย ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับผมซะหน่อย
“คุณอาคิราห์ ให้ผมเข้าไปด้วยไหม?” อยู่ ๆ เสียงของคุณหมอนาวินก็ดังขึ้น ผมได้สติกลับมาพร้อมความงุนงง ทำไมเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที ทั้งที่เหมือนผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นหลายชั่วโมง
“ผมเข้าไปเองได้”
“ผมจับไว้ดีกว่า” ว่าแล้วคุณหมอก็หันหน้าออก ให้ผมทำธุระ อันที่จริง ผมก็ไม่ได้อายอะไร ผู้ชายด้วยกันฉี่ข้างกันจนเป็เื่ปกติ เสร็จแล้วคุณหมอก็พาผมเดินกลับมาที่เตียงนอน
“ดูจากการเคลื่อนไหวของคุณแล้ว อาการค่อย ๆ ดีขึ้นมากกว่าที่ผมประเมินไว้นะ” เขาพูดพลางก้มลงแตะแท็บแล็ต ใบหน้าของเขาเหมือนกับคุณภูมิพลอย่างกับแกะ ไม่ว่าจะเป็การก้มหน้า เงยหน้า หรือแม้แต่ตอนนิ่วหน้า
“คุณ หมอ มี ญาติ ที่ชื่อว่า ภูมิพลไหมครับ” ดูเหมือนคำถามของผมทำให้คุณหมอชะงักนิ่งไปเหมือนกัน
“ไม่มีครับ” เขาตอบสั้น ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเื่
“สัปดาห์หน้าผมจะเริ่มต้นวางแผนการกายภาพให้คุณ เตรียมตัวไว้ด้วยนะครับ” เขายิ้มอบอุ่นแล้วเบี่ยงกายเดินจากไป ทั้งรูปร่าง ผิวพรรณ หรือแม้แต่กิริยา ทุกอย่างเหมือนกับคุณภูมิพล ที่คิดยังไงก็ไม่มีทางปฏิเสธได้เลย ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวกัน
เวลาผ่านไปอาการผมดีขึ้นในทุกวัน พูดคล่องขึ้น ตอบโต้ได้มากขึ้น ทว่ายังต้องกายภาพตามแผนการรักษาของคุณหมออย่างใกล้ชิด อุปกรณ์กายภาพชนิดต่าง ๆ ถูดจัดหามาให้ถึงห้อง ด้วยคำสั่งของคุณวิภาวี ผู้ซึ่งออกคำสั่งทุกอย่างแม้แต่คุณพ่อก็ไม่กล้าเอ่ยห้าม
การกายภาพก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็การฝึกการเคลื่อนไหวต่าง ๆ คุณหมอนาวินบอกว่าร่างกายผมฟื้นตัวเร็ว ไม่นานก็จะกลับมาเป็ปกติ เพราะหลังจากการผ่าตัดผมไม่มีอาการแทรกซ้อนใด ๆ ให้น่ากังวล
“ค่อย ๆ ก้าวเท้าช้า ๆ” น้ำเสียงนุ่มนวลอบอุ่น บอกผมอยู่ข้าง ๆ ขณะสอนให้ผมฝึกก้าวขากับอุปกรณ์ช่วยเดิน หลายวันนี้ คุณหมอใช้เวลาอยู่กับผมมากขึ้น ทว่าเป็ผมเองที่หัวใจเริ่มหวั่นไหวแปลก ๆ จึงไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้เขาเท่าไร
“วันพรุ่งนี้ ให้คุณพยาบาลมากายภาพผมแทนก็ได้นะครับ” หลังจากจบการกายภาพของวันนี้แล้ว ผมเอ่ยขึ้น ก่อนเขายิ้มแล้วเดินเข้ามาหา จ้องมองผมนิ่ง ดวงตาคมเข้ม ริมฝีปากและผิวหน้าละเอียดของเขาทำผมเกือบลืมหายใจ จนต้องหันหน้าหนีไปทางอื่น