บทที่ 171 ข่าวดี
ท้องฟ้าเหนือจวนเสวี่ยเทียน พลังกระบี่ไหลพริ้วในแนวนอนราวกับม่านเพลิงขนาดใหญ่ที่ลุกโชน จากนั้นก็กลายเป็เม็ดฝนส่องสว่างทั่วท้องฟ้า น่าตกตะลึง
เวลานี้เป็เวลากลางคืน ฉากกระบวนท่ากระบี่ครั้งนี้ยิ่งใหญ่มากจนทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างไสวราวกับกลางวัน
“หือ? ใครเป็คนสร้างกระแสกระบี่ที่ทรงพลังนี้กัน?”
“จวนเสวี่ยเทียนมีพยัคฆ์หมอบัซ่อนอยู่จริงแท้ วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ!"
กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ตื่นตระหนกกับฝนกระบี่อันทรงพลัง เดินออกจากลานบ้านของพวกเขาทีละคน ก่อนจะหยุดดูปราณกระบี่อันดุร้ายที่ประดับอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน
คนเหล่านี้อาจเป็คนสำคัญในสำนักใหญ่ หรืออาจเป็ลูกหลานของตระกูลขุนนาง แต่ละคนมีสถานะสูงส่ง แต่พอเห็นภาพตรงหน้านี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้
เพราะด้วยสายตาของพวกเขาแล้ว ย่อมมองเห็นได้ว่าพลังของฝนกระบี่นี้แข็งแกร่งเพียงใด มันไม่ธรรมดาเลยสักนิด
แม้ว่าปราณกระบี่จะค่อยๆ หายไป แต่ความร้อนที่ปล่อยออกมายังคงปกคลุมท้องฟ้ายามค่ำคืน ท้องฟ้าที่มืดมิดจึงดูเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงและมีคลื่นสีแดงกระเพื่อมอยู่จางๆ
“ใครพักอยู่ที่ลานด้านนั้นกัน? เขาใช้ปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นได้อย่างไร?” หลายคนตกตะลึง พากันจ้องมองไปยังลานที่หรูหราที่สุดนั้น
ในขณะเดียวกัน ฉู่อวิ๋นเองก็ใเช่นกัน เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและจ้องมองไปที่กระบี่หลี่หั่วในมืออย่างว่างเปล่า
“มัน...สำเร็จหรือ?!” ฉู่อวิ๋นอึ้งกิ่มกี่ จากนั้นเขาก็ดีใจมาก ริมฝีปากยกยิ้มและะโบอกโยวกู่จือ “นี่ ผู้าุโ แบบนี้หรือ? ดูเหมือนว่าข้าจะปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของวิภาสบังเหินออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจล่ะ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โยวกูจื่อก็ล้มลงทันที ไข่มุกะเิไทวะร่วงลงกับพื้นเสียงดัง “กริ๊ก”
เด็กคนนี้ใจร้ายเกินไปแล้ว? ไม่ได้ตั้งใจนั่นหมายความว่าอย่างไร?
หลิงเฟิงเองก็พูดไม่ออก ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ อยู่ตรงนั้น เขาคิดกับตัวเองว่า “ข้าแค่ให้คำแนะนำแบบส่งๆ ไปเองนะ เ้าเด็กไม่น้อยนี่กลับ...ได้รับแรงกระตุ้นขึ้นมาในทันที ทั้งยังเข้าใจความหมายที่แท้จริงของวิชากระบี่ในคราวเดียว?”
อัจฉริยะ นี่คืออัจฉริยะนักกระบี่ของจริง
นี่คือสิ่งที่หลิงเฟิงกำลังคิดอยู่ในขณะนี้ เพราะถึงแม้จะมีพร์ที่โดดเด่น แต่เขาคิดว่าเขาทำไม่ได้ ภายในเวลาเพียงครึ่งวัน อีกฝ่ายกลับใช้วิชากระบี่โบราณได้เชี่ยวชาญถึงขั้นนี้
โยวกู่จือที่กลับมามีสติอีกครั้งก็พูดอย่างจริงจัง “อะแฮ่ม นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็ของวิชาวิภาสบังเหิน แต่นี่เป็เพียงการแนะนำนะ เ้าหนู ฝึกฝนให้หนักเล่า”
“ขอรับ” ฉู่อวิ๋นพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วและพึมพำกับตัวเอง “ตอนนี้ ดูเหมือนว่าข้าจะได้ััถึงความก้าวหน้าในขอบเขตแห่งกระบี่ผ่านวิชากระบี่นี้ ข้าอยากจะดูให้ละเอียดขึ้นหน่อย”
หลังจากพูดจบ ฉู่อวิ๋นก็นั่งลงตรงจุดนั้น จ้องมองที่กระบี่และครุ่นคิดอย่างหนัก ดูคล้ายตัดขาดจากโลกภายนอกและหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเดียว ทำให้หลิงเฟิงและโยวกู่จือมองหน้ากัน
“อัจฉริยะคลั่งกระบี่”
หนึ่งคนและหนึ่งร่างิญญาของตระกูลหลิงพูดพร้อมกันและติดป้ายกำกับให้ฉู่อวิ๋น
หลังจากนั้น โยวกู่จือและหลิงเฟิงก็ปล่อยให้ฉู่อวิ๋นคิดเกี่ยวกับมันตามลำพัง ไม่เข้าไปรบกวนเขา
ทันใดนั้น สวนก็เงียบลงในทันที มีเพียงเสียงใบไม้ไหวเท่านั้น
ในความเป็จริง ฉู่อวิ๋นรู้ว่าั้แ่เข้าสู่ขอบเขตจิตไหวกระบี่ อย่างดีที่สุด เขาก็ทำได้เพียงเคลื่อนไหวกระบวนท่าของกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อาจกล่าวได้ว่าสนใจเพียง “รูปแบบ” เท่านั้น
แต่ถ้า้าใช้พลังของวิชากระบี่อย่างแท้จริง ต้องเชี่ยวชาญเื่ “พลัง” ด้วย
ไม่นานมานี้ สาเหตุที่เขาไม่สามารถใช้พลังของ “วิภาสบังเหิน” ได้ ก็เพราะเขาเข้มงวดเกินไป สนใจเพียงกระบวนท่าที่บันทึกไว้ในม้วนหนังสือเท่านั้น
และเมื่อฉู่อวิ๋นรู้ว่าวิชากระบี่นี้ถูกสร้างขึ้นในวันที่ฝนตก เขาก็จินตนาการว่าตัวเองอยู่ในวันที่ฝนกำลังตกหนักนั้น
ดังนั้น แม้ว่าชิ้นส่วนของม้วนหนังสือจะได้รับความเสียหาย แต่ด้วยจินตนาการของเขา ฉู่อวิ๋นจึงสามารถฝึกฝนวิชากระบี่วิภาสบังเหินนี้ได้สำเร็จแม้ไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
ต้องบอกว่า การที่ฉู่อวิ๋นเข้าใจเื่พวกนี้ได้นั้น เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากหลิงเฟิง นี่มันน่าทึ่งมาก
ในความเป็จริง สิ่งที่ฉู่อวิ๋นไม่รู้ก็คือเขาได้ััระดับที่สองของขอบเขตแห่งกระบี่แล้ว นั่นคือจิตเจตนาแห่งกระบี่
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ตะวันลาจันทรารอน วันประกาศคู่แต่งงานก็ใกล้เข้ามาทุกที
นั่นคืออีกสามวันข้างหน้า ฉู่อวิ๋นพยายามไปเยือนเรือนกลิ่นกำจรอีกครั้ง แต่พ่อบ้านมักจะปฏิเสธว่าเพื่อปกป้องเ้าสาว จึงไม่ให้เขาเข้าไป
ดังนั้น แม้ว่าฉู่อวิ๋นจะไม่พอใจ แต่เขาทำได้เพียงกลับไปรอข่าวที่จวนเสวี่ยเทียนเท่านั้น
แน่นอนว่า่นี้ เขาได้ฝึกฝน “วิภาสบังเหิน” ไปแล้วในระดับเล็กๆ ทำให้ทุกคนในตระกูลหลิงประหลาดใจ ความเร็วในการเข้าใจที่รวดเร็วนี้ เกินไปแล้วจริงๆ
ไม่เพียงเท่านั้น ฉู่อวิ๋นยังคิดพึ่งตัวเองที่อยู่ในฐานะนักพรติญญา เรียนรู้ทักษะลับของการฝึกฝนทางิญญาของตระกูลหลิงจากโยวกู่จือ ขอบเขติญญา
กระบวนท่านี้ คือเกราะโปร่งใสที่หลิงเฟิงใช้ในการประชันห้าั มันสามารถนำออกมาใช้ได้ตาม้า ไม่เพียงแต่ใช้สำหรับการป้องกันเท่านั้น แต่ยังมีพลังโจมตีที่ดีอีกด้วย
แต่อย่างไรเสีย ฉู่อวิ๋นก็ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนทางิญญาแต่กำเนิด ดังนั้นความเร็วในการฝึกฝนของเขาในด้านนี้จึงด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย
หลังจากการฝึกฝนอยู่สามวัน เขาก็สามารถควบคุมได้เพียงเกราะโปร่งแสงเพื่อป้องกันเท่านั้น ไม่ได้มีพลังมหาศาลอันใด
แต่ด้วยการฝึกฝนทางิญญาในระดับยี่สิบของเขา เมื่อเขาใช้ขอบเขติญญานี้ พลังการป้องกันนี่ก็เทียบได้กับกระบวนท่าป้องกันของวิชากระบี่ดาวตก
และในวันสุดท้าย เมื่อฉู่อวิ๋นฝึกฝนอย่างตั้งใจ ในที่สุดก็ได้รับข่าวดี!
“ฮ่าๆ ผู้มีพระคุณ! สำเร็จแล้ว พวกเราสำเร็จแล้ว!”
หลิงจื้อรีบวิ่งเข้าไปในสวน ใบหน้าของเขาดูน่าประหลาดใจ หายใจไม่ทั่วท้อง
ผู้เฒ่าหลิงคนนี้ไม่ได้อ่อนแอในการฝึกตน เขาจะหมดลมหายใจลงจริงๆ หลังจากวิ่งไปเพียงไม่กี่ก้าวได้อย่างไร นี่แสดงว่าในยามนี้เขาตื่นเต้นมาก!
“ท่านผู้เฒ่า ค่อยๆ พูดเถอะ ไม่ต้องรีบร้อน!” ฉู่อวิ๋นวางกระบี่ลงแล้วเดินเข้าไปช่วยหลิงจื้อทันที หัวใจของเขาเริ่มเต้นรัวขึ้นมา
ข่าวดี? จะเป็ข่าวดีอันใดได้อีก?!
ในเวลานี้ หลิงจื้อตบไหล่ฉู่อวิ๋นแล้วหัวเราะ “ฮ่าๆ! วันนี้ข้าไปเยี่ยมฉู่เจิ้นหนานมา เขาบอกกับข้าว่าว่าตระกูลฉู่ได้ตัดสินใจแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลหลิงของเราแล้ว!”
“กล่าวคือ พรุ่งนี้เขาจะประกาศคู่แต่งงานในการประชุมที่ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอ จากนั้น ถ้าเราปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ได้ ท่านก็สามารถพาพี่สาวเ้าหนีไปได้!”
เมื่อฉู่อวิ๋นได้ยินสิ่งนี้ เขาก็อึ้งไปทันที ใบหน้าของเขาแข็งค้าง พูดอะไรไม่ออก
จากนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นเทา รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก!
เขารอถึงแล้ว... เขาทำสำเร็จแล้ว! ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ!
หลังจากผ่านความยากลำบากมามากมาย ตลอดทางพานพบอันตรายมาจนถึงเมืองชุยเสวี่ย อดทนต่อความอัปยศอดสูและภาระอันหนักอึ้ง ปิดบังตัวตนของตนเองถึงสองครั้ง และพยายามดิ้นรนที่จะเข้าใกล้ฉู่ซินเหยา เพียงเพื่อขอให้ได้พบนาง และพานางหนีไป
กระทั่งที่ว่า เขาได้เผชิญหน้าแบบตัวต่อตัวกับฉู่เจิ้นหนานและเชื้อสายหลักของตระกูลฉู่ อาจกล่าวได้ว่าเป็ประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นจนเขาเกือบจะเปิดเผยตัวตนออกไป และไปเดินเล่นอยู่หน้าประตูผี
แต่ยามนี้ฟ้ามีตา ในที่สุดเมฆาก็แจ่มใส จันทราก็แจ่มแจ้ง! มองเห็นความหวังที่จะช่วยเหลือพี่ซินเหยาแล้ว!
ไม่ นี่ไม่ใช่ความหวัง แต่เป็ความจริง! เพราะฉู่เจิ้นหนานตกลงที่จะแต่งงานแล้ว แผนในวันพรุ่งนี้ย่อมสามารถดำเนินการได้โดยไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ!
“พี่หญิง…”
ยามนี้ ฉู่อวิ๋นนึกถึงความทุกข์ทรมานที่เขาต้องทนผ่านมาตลอดทาง เส้นทางที่เปื้อนไปด้วยหยาดเืหลายพันลี้
เมื่อนึกถึงเสียงของฉู่ซินเหยา ฉู่อวิ๋นก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง เขากระแอมเรียกสติจนเจ็บจมูก ฟันกระทบกันอย่างตื่นเต้น
ไม่เพียงเท่านั้น ที่หางตาของเขายังหลั่งน้ำตาลูกผู้ออกมาให้เห็น
นี่คือน้ำตาแห่งความปิติยินดี น้ำตาแห่งความสุขหลังความทุกข์ทรมาน
“ผู้เฒ่าหลิง! ท่านไม่ได้ปดข้าใช่ไหม? นี่... เป็ความจริงหรือ?” ดวงตาของฉู่อวิ๋นเป็ประกาย น้ำตาสีใสไหลอาบใบหน้าคมคร้าม เขาถามอย่างหวาดหวั่น ด้วยกลัวว่านี่จะเป็เพียงความฝัน
“จริงแท้แน่นอน!” หลิงจื้อพยักหน้าย้ำๆ และะเืใจอย่างยิ่ง ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาได้รู้จากปากของโยวกู่จือถึงสิ่งเลวร้ายที่ฉู่อวิ๋นต้องเผชิญ
หากเปลี่ยนเป็ชายหนุ่มคนอื่น ไม่มีทางอดทนรอดมาได้แน่ เพราะพวกเขาไม่มีศรัทธาและความเพียรพยายามมากขนาดนี้
เพื่อเห็นแก่คนที่ชิดใกล้กับเขาที่สุด เขาเต็มใจเสี่ยงชีวิต เสียงเป็เสี่ยงตาย ต่อสู้กับสัตว์ปีศาจและสัตว์อสูรด้วยกระบี่ที่มีเพียงเล่มเดียว ต่อสู้กับเหล่าจอมยุทธ์ บุกเข้าถ้ำเสือ และไม่กลัวอำนาจอันใด ใครจะสามารถทำอย่างเขาได้อีก?
ต้องรู้ว่า แม้ฉู่อวิ๋นจะโชคหล่นทับ แต่ตอนนี้เขาอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น
นับเป็ความขมขื่นที่ไม่อาจจินตนาการได้ สำหรับชายหนุ่มที่ต้องอดทนมากมายถึงเพียงนี้
“แกร๊ง-”
กระบี่ยาวในมือของเขาหลุดลงพื้น ฉู่อวิ๋นพูดละล่ำละลักอย่างตื่นเต้น “ท่านผู้เฒ่า ขอบคุณมากที่ท่านช่วยข้า! ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก!"
ฉู่อวิ๋นเข้าใจดีถึงเหตุผล ว่าที่เขาสามารถช่วยเหลือพี่ซินเหยาได้ในตอนนี้นั้นล้วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิงทั้งสิ้น เขารู้สึกขอบคุณจากใจจริง
แต่ผู้เฒ่าหลิงเพียงแค่โบกมืออย่างสบายๆ และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้มีพระคุณ ไม่ต้องสุภาพไปหรอก ท่านช่วยตระกูลเราตามหาบรรพบุรุษ นี่เป็ความชอบที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก! พวกเราสมควรช่วยท่านอยู่แล้ว”
ในเวลานี้ โยวกู่จือและหลิงเฟิงก็เข้ามาหยิบยกหัวข้อนี้มาพูด ก่อนฉู่อวิ๋นจะเริ่มสงบอารมณ์ที่กระวนกระวายใจลง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉู่อวิ๋นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ผู้เฒ่าหลิง ฉู่เจิ้นหนานไม่แน่ใจเกี่ยวกับคู่แต่งงานมาตลอด ทำไมถึงได้ร่าเริงและเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ได้เล่า?”
“ฮ๋าๆ แผนของข้าย่อมต้องได้ผลอยู่แล้ว! เพราะตระกูลเสวี่ย ตระกูลตงฟาง และตระกูลหลิงของเราล้วนมีอำนาจทัดเทียมกัน ขอเพียงแค่พี่สาวของท่านเปิดปากเลือกตระกูลหลิง ผลลัพธ์จะออกมาในทันที”
โยวกู่จือพูดก่อน ทำให้หลิงจื้อยิ้ม แล้วพูดต่อ “คำพูดของคุณหนูฉู่น่าจะมีน้ำหนักอยู่บ้าง แต่ฉู่เจิ้นหนานสามารถตกลงยินยอมได้ในวันสุดท้ายนี้ ข้าผู้เฒ่าผลงามคับฟ้า[1]ยิ่งนัก!"
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนก็สับสน ฉู่อวิ๋นถามทันที “ท่านผู้เฒ่า ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“ความจริงแล้ว มันง่ายมาก” หลิงจื้อดูมั่นใจ ราวกับว่าเขาได้เห็นทุกอย่างแล้ว และพูดว่า “เหตุผลที่ฉู่เจิ้นหนานไม่ยอมตัดสินใจ ก็เพราะว่าทั้งสามตระกูลล้วนยังไม่ได้ส่งของหมั้นครั้งสุดท้าย”
“เมื่อสักครู่นี้ ฉู่เจิ้นหนานบอกข้าว่าฉู่ซินเหยาชอบพอตระกูลหลิง เขายังคิดว่าผลลัพธ์ของการแต่งงานครั้งนี้เป็สิ่งที่ดี จึงขอของหมั้นครั้งสุดท้ายจากข้า”
“ข้าเลยโยนวงแหวนอวกาศออกไป มีสมบัติมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ในนั้น มันกระแทกเข้าที่หน้าของเขา ทำให้เขายิ้มกว้างจนหุบไม่ลง เลยตัดสินใจให้แต่งงานในทันที”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ฉู่อวิ๋นก็กำหมัดแน่น รู้สึกโกรธแค้นอยู่ในใจ จิ้งจอกเฒ่าตัวนี้คิดเพียงแต่จะเอาของล้ำค่าจริงๆ
ชั้นต่ำเกินไปแล้ว!
ทันใดนั้น ฉู่อวิ๋นก็ยกมือขึ้นมาประคองอีกครั้งแล้วพูดว่า “ท่านผู้เฒ่า ตระกูลหลิงของท่านเสียสละของล้ำค่าพวกนั้นไปอย่างเสียเปล่า หากภายหน้ามีโอกาส ข้าจะนำมาคืนให้ท่านอย่างแน่นอน”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้เปล่งออกไป หลิงเฟิง หลิงจื้อและโยวกู่จือต่างก็หัวเราะลั่น ไม่ได้จริงจังกับเื่นี้เลย
ในหมู่พวกเขา หลิงเฟิงตบไหล่ฉู่อวิ๋นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เ้าเด็กไม่น้อย! เ้าจะเอาอะไรมาให้พวกข้าเล่า? เ้าคือผู้มีพระคุณของเรา เหตุใดต้องใส่ใจเื่เล็กน้อยพวกนี้ด้วย?”
“อีกอย่าง ข้าว่านะ เ้าคงจะแอบรักพี่สาวไม่แท้ของตนเองแน่แล้วกระมัง? จากนี้ไป ยามเ้ากับแม่นางฉู่คบหากันแล้วก็อย่าลืมมาเยี่ยมพวกข้านะ! ฮ่าๆๆ!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น โยวกู่จือและหลิงจื้อก็หัวเราะออกมาตามๆ กัน ทั้งสวนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะชอบใจ
“เ้า... เ้าหน้าผี เ้าพูดอะไรน่ะ?!” ใบหน้าของฉู่อวิ๋นเปลี่ยนเป็สีแดง เขาหยิบกระบี่ขึ้นมาอีกครั้งและไม่สนใจหลิงเฟิงอีก ดูค่อนข้างเขินอาย ทำให้ทุกคนยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ
“แอบรัก? ข้า... ข้าแอบรักพี่ซินเหยา?”
ฉู่อวิ๋นแอบคิดอยู่ในใจ ตระหนักถึงปัญหานี้เป็ครั้งแรก
เขาชอบฉู่ซินเหยาหรือ?
แต่ก่อนที่ฉู่อวิ๋นจะสามารถหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ได้ เขาก็ถูกลากไปที่ห้องโถงเพื่อดื่มสุราตามคำชวนของคนตระกูลหลิง บอกกันว่าไม่เมาไม่กลับ
กลางคืนเย็นย่ำ ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า
ในห้องโถงมีเสียงชนแก้วและเสียงหัวเราะดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนต่างก็มีความหวังอยู่ในใจ ริมฝีปากที่ดื่มสุรากล้อมแกล้มยิ้มแย้ม รอวันแต่งงานที่กำลังจะมาถึง
ในท้ายที่สุด หลิงเฟิงและหลิงจื้อต่างก็เมามาย และขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้องกันหมด ในขณะที่โยวกู่จื่อเองก็ซ่อนตัวหลับลึกอยู่ในไข่มุกะเิไทวะ
ฉู่อวิ๋นเป็เพียงคนเดียวที่ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ
“ขอเพียงรอถึงพรุ่งนี้ได้อย่างปลอดภัย พวกเราก็จะสามารถปิดฟ้าข้ามสมุทรได้!”
ยามนี้ ฉู่อวิ๋นนอนอยู่บนหลังคาโดยเอามือรองศีรษะ จ้องมองไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวังอันไม่มีที่สิ้นสุด
----------
[1] เป็คำชมเชยที่บรรยายถึงบุคคลผู้มีคุณูปการยิ่งใหญ่และไม่อาจลืมเลือนได้