ภายใต้การชี้นำของซีเยว่ ท้ายที่สุดแล้วมู่เฟิงก็ต้องออกไปยังร้านว่านเป่าอีกครั้งและซื้อวัตถุดิบยาขั้นหนึ่งมาเป็จำนวนมาก ทำให้เด็กหนุ่มต้องเสียเงินไปหลายพันเหรียญตำลึงทอง นอกจากนี้เขายังต้องซื้อเตาหลอมโอสถจากร้านว่านเป่ากลับมาอีกด้วย ซึ่งเตาหลอมโอสถนี้เป็เพียงเตาสำเร็จรูปที่ยังไม่ได้รับการสลักลาย ดังนั้นตัวยาที่จะหลอมออกมาจึงมีเพียงตัวยาที่ต่ำกว่าขั้นสามเท่านั้น
เตาหลอมนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก มันมีความสูงเพียงครึ่งเมตร ผิวของเตาหลอมทั้งหมดเป็สีดำล้วนและมีสามขา เนื่องจากขนาดของมันไม่ได้ใหญ่มาก ดังนั้นจึงสามารถยัดมันเข้าไปในแหวนเฉียนคุนได้
หลังจากหาซื้อวัตถุดิบตัวยาและเตาหลอมโอสถกลับมาได้แล้ว ซีเยว่ก็ทำการสลักลายเส้นเครื่องมือขั้นสามและลายเส้นไฟหลอมลงไปบนตัวเตาหลอม หลังจากสลักลายเส้นไฟหลอมลงไปบนเตาหลอมแล้ว ต่อให้เป็ตัวยาขั้นสี่มู่เฟิงก็สามารถใช้เตาหลอมโอสถนี้หลอมมันออกมาได้
มู่เฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องฝึกฝน ตรงหน้าของเขาคือเตาหลอมโอสถ เขาโยนต้นสมุนไพรสีเขียวต้นหนึ่งเข้าไปในเตาหลอม จากนั้นมือทั้งสองข้างก็ส่งพลังปราณเข้าไป
ฉับพลันนั้นได้ปรากฏเปลวเพลิงสีแดงลุกโชนขึ้นอยู่ภายในเตาหลอมโอสถ
ตูม…!
เมื่อเปลวเพลิงลุกโชนขึ้น กระบวนการกลั่นวัตถุดิบตัวยาให้กลายเป็เม็ดยาก็เริ่มต้นขึ้น ทว่าเพียงไม่นานช่องระบายความร้อนของเตาหลอมก็มีควันโขมงพ่นออกมา ในขณะที่ต้นสมุนไพรก็ถูกแผดเผาจนกลายเป็ถ่านดำสนิท
“เ้าเด็กบื้อ อุณหภูมิสูงเกินไปแล้ว การกลั่นตัวยาต้องใช้ไฟต่ำที่สุด จากนั้นค่อยเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นทีละนิดต่างหาก”
ซีเยว่คอยชี้แนะเด็กหนุ่มอยู่ด้านข้าง เมื่อนางเห็นกลุ่มควันโขมงลอยออกมา หญิงสาวก็เขกลงบนศีรษะของมู่เฟิงอย่างแรงก่อนจะกัดฟันพูด
“เพิ่งหลอมครั้งแรก ผิดพลาดก็ไม่เป็ไร เดี๋ยวข้าลองใหม่”
มู่เฟิงทำได้เพียงหัวเราะแห้งๆ ด้วยความเก้อเขิน จากนั้นเขาก็โยนสมุนไพรต้นที่สองลงไปในเตาหลอมโอสถและทำการหลอมใหม่อีกครั้ง แต่สุดท้ายต้นสมุนไพรก็ยังถูกเผาจนกลายเป็ถ่านดำเหมือนเดิม เพียงแค่ไม่รุนแรงเหมือนครั้งแรกเท่านั้น
“เฮ้อ ข้าละเหลือเชื่อเลย”
มู่เฟิงแค่นเสียงออกมาอย่างหงุดหงิดกับผลลัพธ์ที่ได้ แต่เขายังคงพยายามต่อไป เด็กหนุ่มโยนต้นสมุนไพรลงไปในเตาหลอมโอสถอีกครั้ง
หลังจากที่ต้นสมุนไพรต้องเสียเปล่าไปมากกว่าสิบต้น ในที่สุดมู่เฟิงก็สามารถกลั่นวัตถุดิบให้กลายเป็ตัวยาได้ในที่สุด โดยตัวยาที่อยู่ภายในเตาหลอมโอสถนั้นกำลังถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังปราณ
“รักษาอุณหภูมิเอาไว้ก่อน ปล่อยให้เปลวไฟกำจัดสิ่งสกปรกที่เจือปนอยู่ในตัวยาออก และค่อยๆ ลดอุณหภูมิลงในตอนท้าย จากนั้นก็ใช้พลังปราณควบแน่นมันให้กลายเป็เม็ดยา”
ซีเยว่คอยชี้แนะอยู่ด้านข้าง ในขณะที่มู่เฟิงก็ทำตามคำแนะนำของซีเยว่อย่างว่าง่าย เขาพยายามรักษาความแรงของเปลวไฟให้สม่ำเสมอเพื่อกรองสิ่งสกปรกบนตัวยาให้มันระเหยออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็เริ่มลดอุณหภูมิลง ตัวยาที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพลังปราณจึงเริ่มควบแน่นขึ้นเป็เม็ดยาสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือ
ขั้นตอนสุดท้าย สลักลายเส้นโอสถ!
การสลักลายเส้นโอสถนั้นไม่ได้เป็การสลักลายลงบนเม็ดยาโดยตรง แต่เป็การสลักลายเส้นบนเตาหลอมโอสถที่มีเม็ดยาอยู่ภายในนั้น
มู่เฟิงหยิบมีดสลักธรรมดาออกมา เขานำปลายมีดแตะลงบนแก่นหมึก และเริ่มวาดลายเส้นโอสถลงบนพื้นผิวของเตาหลอมโอสถ ลายเส้นที่เสร็จสมบูรณ์เปล่งแสงสีโลหิตออกมา ตัวยาที่เขาหลอมในครั้งนี้คือยารักษาอาการาเ็
หลังจากเด็กหนุ่มวาดลายเส้นโอรสลงบนเตาหลอมเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นภายในเตาหลอมก็เกิดแสงสีโลหิตเปล่งประกายออกมาห่อหุ้มเม็ดยาเอาไว้ จากนั้นบนพื้นผิวของเม็ดยาก็ค่อยๆ ปรากฏลายเส้นโอสถขึ้น เท่านี้ก็ถือว่าเสร็จสิ้นกระบวนการหลอมโอสถแล้ว
“สำเร็จ!”
มู่เฟิงรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง เขาเคาะมือลงบนเตาหลอม จากนั้นเม็ดยาก็ลอยออกมาและตกลงบนฝ่ามือของเขา มันยังคงมีความร้อนเล็กน้อย
มู่เฟิงก้มมองเม็ดยาสีดำในมือ ก่อนจะหันไปหาซีเยว่และถามขึ้นว่า “เยว่เอ๋อร์ เ้าเห็นหรือไม่ว่าข้าทำสำเร็จแล้ว?”
ใบหน้าของซีเยว่มืดครึ้มลง นางมองไปยังเม็ดยาสีดำในมือของมู่เฟิง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาดว่า “เ้าว่าอย่างไรล่ะ?”
เมื่อมู่เฟิงเห็นรอยยิ้มของนาง ในใจของเขาก็รู้สึกเย็นะเืขึ้นมาทันที
โป๊ก!
“โอ๊ย”
หยกเทพชูร่ากระแทกลงบนหัวของมู่เฟิงอย่างแรง
“งั้นเ้าก็กินเข้าไปเองเสียสิ เ้าหลอมอะไรออกมา ยาของเ้าเป็ยารักษาคนแน่รึ ข้าดูแล้วมันควรจะเป็ยาพิษเสียมากกว่า”
ท่าทางของซีเยว่ในตอนนี้ดูราวกับแม่เสือตัวน้อย นางชี้นิ้วมาทางมู่เฟิงก่อนจะด่าเขาด้วยความโมโห ทว่าท่าทางเกรี้ยวกราดของนางเช่นนี้ก็ดูน่ารักมากเช่นกัน
“กินก็กินสิ ข้าไม่เชื่อหรอกว่ามันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แม้รูปลักษณ์ของมันจะดูน่าเกลียดไปเสียหน่อย แต่ข้าเชื่อว่ามันยังมีประโยชน์อยู่ เ้าอย่าได้ตัดสินเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกของมันสิ”
มู่เฟิงยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะส่งเม็ดยาในมือเข้าปากตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากเม็ดยาถูกกลืนลงไป สีหน้าของมู่เฟิงก็เปลี่ยนไปในทันที
เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกไปนอกห้องฝึกด้วยใบหน้าเขียวคล้ำขณะใช้มือปิดปากของตัวเองไปด้วย เมื่อมาถึงด้านนอกเขาก็อาเจียนออกมาทันที เด็กหนุ่มอาเจียนทั้งอาหารและเม็ดยาที่เพิ่งกินเข้าไปออกมาจนหมด
“คุณชาย ท่านเป็อะไรไปเ้าคะ?”
เมื่อเห็นฉากนี้มู่หลานก็รีบเข้าไปช่วยลูบหลังให้กับมู่เฟิง หลังจากมู่เฟิงอาเจียนออกมาจนหมดแล้ว สีหน้าของเขาถึงได้ดีขึ้น
“คุณชาย ท่านกินของแสลงลงไปหรือเ้าคะ?”
มู่หลานถามด้วยความเป็ห่วง
“มะ ไม่เป็อะไรแล้ว เสี่ยวหลาน เ้าไปทำงานของเ้าเถอะ”
มู่เฟิงลูบท้องของตัวเอง ก่อนจะยิ้มแหยออกมาด้วยความอับอาย
สถานการณ์เช่นนี้เขาจะพูดอะไรได้ จะให้เขาบอกอีกฝ่ายว่า ‘ข้าเพิ่งกินยาที่ข้าหลอมขึ้นมาเอง’ อย่างนั้นหรือ?
มู่เฟิงถอนหายใจ จากนั้นเขาก็กลับไปยังห้องฝึกฝนก่อนจะปิดประตู เด็กหนุ่มยังคงไม่ยอมแพ้ เขานำต้นสมุนไพรออกมาและเริ่มทำการหลอมโอสถอีกครั้ง
เพราะมีซีเยว่คอยชี้แนะ มู่เฟิงจึงก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว หลังจากผ่านไปหนึ่งยามกับการหลอมเม็ดยาที่ไร้ประโยชน์ออกมาหลายเม็ด ในที่สุดเขาก็สามารถหลอมเม็ดยาที่สมบูรณ์ออกมาได้สำเร็จ
หลังจากทดลองกินมันเข้าไปแล้ว คราวนี้มันก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงเหมือนคราวแรกอีก ภายใต้ฤทธิ์ยา าแขนาดเล็กบนร่างกายก็เริ่มสมานตัวและหายดีอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ เยว่เอ๋อร์ ข้าทำสำเร็จแล้ว”
เมื่อก้มมองาแขนาดเล็กบนฝ่ามือของตัวเอง มู่เฟิงก็หัวเราะออกมาอย่างตื่นเต้น เขาหยิบหยกเทพชูร่าที่มีซีเยว่อยู่ในนั้นขึ้นจูบมันอย่างแรง
ใบหน้าของซีเยว่ที่อยู่ภายในหยกเทพชูร่ามีร่องรอยของความเขินอายปรากฏให้เห็นเล็กน้อย เพียงแต่มู่เฟิงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่เปี่ยมเสน่ห์ของนางในตอนนี้ได้
“เ้าลองหลอมโอสถตัวอื่นต่อเถอะ”
ซีเยว่กล่าวขึ้น
มู่เฟิงพยักหน้า จากนั้นเด็กหนุ่มก็ทุ่มเทเวลาให้กับการหลอมโอสถจนลืมเวลากินเวลานอนไปเสียสนิท
สามวันให้หลัง วัตถุดิบตัวยาที่มู่เฟิงซื้อมาก็ถูกนำไปกลั่นเป็เม็ดยาจนหมดสิ้น
มู่เฟิงมองดูขวดหยกมากกว่าสิบขวดที่วางอยู่บนพื้นข้างกายเขา รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่มีร่องรอยของความเหนื่อยล้าของเด็กหนุ่ม
เม็ดยาในขวดยาเหล่านี้คือยารักษาอาการาเ็และยาบ่มเพาะพลังปราณขั้นหนึ่ง
มู่เฟิงเอนกายนอนลงบนพื้น ความเหนื่อยล้าทำให้เขาหลับลึกไปโดยไม่รู้ตัว เพราะเด็กหนุ่มไม่ได้นอนมาสามวันเต็ม ดังนั้นร่างกายของเขาจึงอ่อนเพลียมาก
ซีเยว่ใช้พลังิญญาของตัวเองควบคุมผ้านวมที่อยู่ด้านข้างให้ลอยมาคลุมกายของมู่เฟิงอย่างแ่เบา นางใช้ฝ่ามือลูบไล้โครงหน้าของเด็กหนุ่ม มุมปากของหญิงสาวเผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่มู่เฟิงไม่เคยเห็นออกมา รอยยิ้มนี้ทำให้ใบหน้าของนางดูงดงามพริ้มเพรายิ่งขึ้น...
“นอนหลับให้สบายเถอะ สักวันหนึ่งเ้าจะกลายเป็คนที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกนี้ ข้าจะคอยอยู่เคียงข้างเ้าเอง ท่านป้าซิน ท่านวางใจเถิด ข้าจะดูแลเฟิงเป็อย่างดีเอง...”
การนอนหลับครั้งนี้กินเวลานานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน เช้าตรู่ของวันถัดมา มู่เฟิงที่ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมานั่งก่อนจะบิดี้เี เขาก้มมองผ้านวมบนกาย จากนั้นใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา เด็กหนุ่มหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและเดินออกจากห้องฝึก เขา้าจะออกไปฝึกทักษะวิชาดาบเสียหน่อยเพื่อเป็การยืดเส้นยืดสาย จากนั้นเขาก็จะฝึกวิชาดรรชนีทองคำตัดสะบั้นต่อ
หลังจากแช่นิ้วลงไปในน้ำที่ผสมด้วยหญ้ากระดูกเสืออีกครั้ง ิัชั้นนอกของนิ้วทั้งสองก็ลอกออก นิ้วขาวผ่องของเขามีแสงส่องประกายออกมาเล็กน้อยราวกับพื้นผิวของโลหะ
เมื่อเห็นดังนั้น มู่เฟิงก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีเป็อย่างยิ่ง
จากนั้นเขาก็เดินไปทางเป้าฝึกทันที พลังปราณภายในร่างถูกรวบรวมมาไว้ที่นิ้วทั้งสอง จากนั้นเขาก็ตวัดนิ้วออกมา
พรึ่บ! พรึ่บ!
ปราณดรรชนีสีทองทั้งสองสายที่มีความยาวสามนิ้วพุ่งเข้าหาเสาที่เป็เป้าฝึกในทันที
ฉึก! ฉึก!
เสาที่แข็งแรงราวกับเหล็กกล้าถูกปราณดรรชนีเจาะทะลวงจนกลายเป็รูขนาดเล็กสองรู เหมือนว่าพลังในการเจาะทะลวงของมันจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก
“ในที่สุดก็สามารถฝึกวิชาดรรชนีทองคำตัดสะบั้นสำเร็จแล้ว”
มู่เฟิงมองไปที่นิ้วมือของตัวก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
ทักษะวิชาดรรชนีนี้อยู่ในระดับธาตุทองขั้นสูง มู่เฟิงใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนก็สามารถฝึกฝนจนบรรลุระดับสมบูรณ์ได้สำเร็จ หากว่าเื่นี้แพร่ออกไป เกรงว่าคงมีผู้คนตกตะลึงจำนวนไม่น้อย
แน่นอนว่าในตอนนี้พลังปราณของเขายังคงมีอย่างจำกัด แต่หากระดับวรยุทธ์ของเขาเพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับหนิงกังแล้ว เมื่อเขาแสดงวิชานี้ออกมา อานุภาพของมันคงทำให้ผู้คนหวาดผวาเป็แน่ เพราะแม้กระทั่งเหล็กกล้ามันยังสามารถทะลวงผ่านได้