5
“มึงว่าไงนะ?!”
“เบาๆ” ผมตีแขนขนุนในตอนที่มันะโออกมาเสียงดังจนทำให้คนรอบ ๆ ข้างหันมามองเราสองคนกันเป็ตาเดียว แต่ขนุนก็ดูไม่ได้สะทกสะท้านสักเท่าไร มันยังคงจ้องมาทางผมอย่างคาดคั้นเหมือนเดิม
“ไหนมึงบอกว่าจะเอาไปทิ้งไง”
“เื่มันยาว”
“กูก็เห็นมึงเอาแต่พูดว่าไม่เชื่อ ๆ สุดท้ายมึงก็เอาเห็ดมาทำอาหารให้พี่อูนกิน!” ขนุนพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลง แต่ก็ยังใส่อารมณ์ในการพูดจนดูเหมือนมันกำลังตะคอกผมอยู่ ซึ่งผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ายอมรับ
ตอนนี้ผมกับขนุนกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่โรงอาหารของตึกคณะที่มีเด็กในคณะเราเดินไปเดินมากันให้ควั่ก พอผมเล่าเื่ที่ตัดสินใจจะเอาเห็ดยามาบูฯไปทำอาหารให้พี่อูนกิน ขนุนมันก็เริ่มเสียงดังขึ้นมาจนผมต้องคอยห้ามมันอยู่ตลอด และมันก็เอาแต่พูดแซะผมเื่ที่ผมบอกมันว่าไม่เชื่อ แต่สุดท้ายก็เอาเห็ดไปทำอาหารให้คนที่ชอบอยู่ดี
“อย่างน้อยมันก็ดีกว่าเอาไปทิ้งนะ” ผมแก้ตัว
“ยอมรับมาเถอะว่ามึงก็แอบเชื่อ!”
“เออ มันก็นิดนึง”
“แล้วมึงไม่กลัวพี่อูนเขารู้แล้วเขาเอาไปบอกพี่ปรงเหรอ เื่ที่มึงคืนเห็ดพี่ปรงไม่หมดแล้วแอบเอากลับไปด้วยน่ะ” ขนุนกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงปกติแล้ว แต่ผมก็ยังคงมองไปรอบ ๆ ตัวว่ามีใครกำลังสนใจสิ่งที่พวกเราสองคนคุยกันอยู่หรือเปล่า เพราะคนส่วนใหญ่ในโรงอาหารนี้ก็เป็คนในคณะที่คุ้นหน้ากันทั้งนั้น
“ถ้ากูพูดไปแล้วมึงจะต้องชมว่ากูฉลาดแน่”
“ว่า”
“กูเอาเห็ดยามาบูฯไปหั่นรวมกับเห็ดเข็มทองแล้วเอาไปใส่ในไข่ ทอดเป็ไข่เจียวเห็ดเข็มทอง พี่อูนไม่มีทางรู้แน่ว่าตัวเองกินเห็ดยามาบูเข้าไป” ผมตอบกลับไปอย่างภาคภูมิใจในความแยบยลของแผนตัวเอง เห็ดยามาบูฯจะมีลักษณะเป็เส้นสีขาว ๆ คล้ายกับเห็ดเข็มทอง เพียงแต่มีเส้นที่เล็กกว่า ผมจึงเอาไปหั่นให้ละเอียดประมาณนึง แล้วเอาไปผสมกับเห็ดเข็มทอง
“กูว่าพี่เขารู้”
“ให้กำลังใจกูหน่อยก็ไม่ได้”
“มันแปลกั้แ่มึงทำอาหารมาให้เขากินแล้ว”
“กูเอาใส่กล่องพลาสติกมา กูจะบอกเขาว่ากูซื้อมาจากร้านข้าวร้านประจำที่กูชอบกิน” ผมพูดพร้อมกับยกถุงที่มีกล่องข้าวอยู่ในนั้นให้ขนุนดู เมื่อเช้าผมไปซื้อข้าวที่ร้านประจำที่อยู่ใต้หอ ก็เลยขอกล่องกับถุงจากป้าเขามาด้วย เพื่อเอาข้าวไข่เจียวที่ผมทำมาให้พี่อูนย้ายไปใส่ไว้ในกล่องนั้น มันจะได้ดูเหมือนผมซื้อมา
“รอบคอบจริง ๆ นะมึง”
“แน่นอน”
“แล้วทำไมต้องเป็วันนี้วะ”
“ก็วันนี้พี่อูนเขามีงานต้องทำทั้งวัน กูคิดว่าเขาน่าจะไม่มีเวลาออกมาซื้อข้าวกิน กูก็เลยซื้อมาฝากเขา แล้วก็ถือเป็คำขอบคุณที่เขามาช่วยงานกูวันนั้นด้วย”
“พอเป็เื่นี้แล้วทุ่มเทจังนะมึง”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ตอนแรกผมก็ตั้งใจว่าจะเอาเห็ดไปทิ้งอย่างที่คุยกับขนุนไว้นั่นแหละ แต่เป็เพราะวันนั้นพี่อูนเขามาคุยกับผมเื่เห็ด ที่เขาบอกผมว่าถ้ามีคนเอาเห็ดมาให้เขากิน เขาก็คงมองว่ามันน่ารักดี มันทำให้ผมเปลี่ยนใจและเอาเห็ดมาทำอาหารให้เขากินในที่สุด ถึงแม้ว่าจะต้องเสี่ยงโดนพี่ปรงด่าอีกรอบ ผมก็ยอม
“เออ แล้วมึงได้ไปดูผักที่ปลูกไปยัง วันนี้มันต้องมีต้นอ่อนขึ้นแล้วเปล่า” ขนุนหันมาถามผมหลังจากที่เราเงียบกันไปพักใหญ่ พอพูดถึงผักแล้วผมก็ลืมไปเลยว่าวันนี้จะต้องเข้าไปดูความคืบหน้า
“เดี๋ยวสักพักก็ว่าจะเข้าไปดู”
“ขอให้โชคดีและไม่ต้องปลูกรอบที่หกจ้า”
“ถ้างั้นกูฝากมึงเอาข้าวไปวางที่ห้องภาคให้หน่อยได้ไหม กูเขียนกระดาษติดไว้แล้วว่าให้พี่อูน” ผมพูดพร้อมกับยื่นถุงใส่กล่องข้าวไปให้ขนุน ถ้าผมเป็คนเอาไปวางไว้เอง จะต้องมีคนในภาคสงสัยแน่ ๆ ว่าทำไมผมถึงซื้อข้าวมาให้พี่อูน และที่สำคัญคือพี่ปรงเขาอาจจะจับสังเกตได้ ถ้าเกิดเขารู้ว่าผมไม่ได้คืนเห็ดเขาทั้งหมด คราวนี้เขาคงไม่ยอมใจอ่อนให้ผมแน่ ๆ
“ทำไมต้องเป็กูล่ะ”
“มึงสนิทกับพี่อูนไง จะได้ดูไม่น่าสงสัย”
“กูไปสนิทกับเขาตอนไหนก่อน”
“มึง ช่วยกูหน่อยดิ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนและส่งสายตาขอร้องไปให้เพื่อนรักที่ยังคงมองมาทางผมอย่างชั่งใจ จนในที่สุดขนุนก็ยอมรับถุงข้าวกล่องไปถือไว้แล้วตอบกลับมา
“เออ ก็ได้วะ”
“เพื่อนที่ดี”
“ชดใช้ให้ที่กูยุให้มึงไปขโมยเห็ดจนเกือบซวยไง”
ผมพยักหน้ารับและไม่ได้ตอบอะไรกลับไปต่อจากนั้น เพราะมันถึงเวลาที่ขนุนจะต้องเข้าไปเรียนต่อตอนบ่าย ส่วนวันนี้ผมก็มีเวลาว่างจนถึงเย็น ๆ ก็เลยตั้งใจว่าจะเข้าไปดูผักในฟาร์มว่าโตบ้างหรือยัง
ขนุนเดินแยกตัวขึ้นไปบนตึกคณะพร้อมกับถุงกล่องข้าว ส่วนผมก็เดินแยกตัวออกไปอีกทางเพื่อเข้าไปในฟาร์มของคณะ วันนี้เป็วันที่อากาศไม่ค่อยเป็ใจต่อการทำสวนเลยสักนิด อากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้เหงื่อผมออกทันทีที่ก้าวพ้นชายคา และแดดก็แรงมากจนผมรู้สึกแสบผิวไปหมด ผมหวังว่าวันนี้ผมคงไม่ต้องทำอะไรนอกจากไปตรวจดูความเรียบร้อยนะ เพราะถ้าวันนี้ผมต้องปลูกผักใหม่ทั้งหมดก็คงร้อนตายคาแปลงผักแน่ ๆ
“ทานตะวัน” ใครบางคนวิ่งสวนออกมาจากฟาร์มและมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม คนตรงหน้าของผมคือลูกพีช เป็เพื่อนที่เรียนภาคเดียวกันกับผม แต่เราก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไร เขาเป็คนที่ขี้โกงมาก ๆ หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม แถมยังเรียนเก่งมากอีกต่างหาก ซึ่งนั่นก็ทำให้เพื่อน ๆ ในภาคมักจะเข้าหาเขาตลอด เขาเลยดูเป็คนที่อยู่คนละระดับกับผมไปเลย
“ว่าไง” ผมตอบกลับไปหลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายวิ่งเข้ามาหาผมด้วยความร้อนใจ ลูกพีชหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้วหายใจหอบเหนื่อยเหมือนคนที่เพิ่งไปวิ่งสี่คูณร้อยมา
“เรากำลังจะไปหาทานตะวันอยู่พอดี”
“มีอะไรหรือเปล่า”
“วันนี้อาจารย์ลงมาดูผักในแปลง อาจารย์ถามหาทานตะวันด้วย เพราะเหมือนว่าผักของทานตะวันจะไม่ขึ้นอีกแล้ว” ลูกพีชพูดพร้อมกับชี้เข้าไปยังแปลงผักที่มีคนยืนมุงกันอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งคนพวกนั้นก็น่าจะเป็เพื่อน ๆ ในภาคของผมนี่แหละ ทำไมผมถึงไม่รู้นะว่าวันนี้อาจารย์จะลงมาตรวจแปลงผัก
“แล้วอาจารย์ว่าอะไรไหม”
“เราว่าทานตะวันรีบไปคุยกับอาจารย์ก่อนดีกว่า เขาไม่ว่าหรอก แต่ก็คงอยากรู้เหตุผลว่าทำไมทานตะวันปลูกผักไม่ขึ้นสักที นี่ก็รอบที่หกแล้วไม่ใช่เหรอ” ลูกพีชถามด้วยสีหน้าที่ดูเป็ห่วง ผมจึงแสร้งยิ้มตอบกลับไป
“งั้นเดี๋ยวเราไปคุยกับอาจารย์ก่อนนะ”
ผมรีบวิ่งเข้าไปในฟาร์มหลังจากที่ได้ฟังข่าวร้าย พอได้มารู้ว่าผักที่ผมปลูกรอบที่ห้าไม่ขึ้นอีกแล้ว มันก็ทำให้ผมรู้สึกใจเสียขึ้นมา แต่ก็พยายามจะเก็บอาการเอาไว้ก่อน เพราะผมคิดว่าที่อาจารย์อยากคุยกับผมเพราะอาจารย์คงอยากจะหาทางช่วย เขาคงสงสาร สมเพช เวทนาผมเต็มทนแล้วล่ะ คนอะไรปลูกผักมาห้ารอบแล้วไม่ขึ้นสักรอบ
ทันทีที่อาจารย์เห็นผมปรากฏตัวขึ้น เขาก็รีบกวักมือเรียกผมให้เข้าไปหาเขาทันที ตอนนี้เขากำลังยืนดูผักของเพื่อนคนอื่นในบริเวณใกล้ ๆ กัน เพื่อนหลายคนส่งงานไปแล้ว บางส่วนก็กำลังรอให้ผักโตเต็มที่เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตไปส่ง คงเหลือแค่ผมคนเดียวแล้วล่ะที่ยังไม่ผ่านขั้นตอนการปลูกเลย
“ทานตะวัน มาพอดีเลย” อาจารย์เดินไปทางแปลงผักของผมที่อยู่ด้านหน้าสุดในบรรดาแปลงของเพื่อน ๆ อาจารย์ใช้ปลายปากกาเขี่ยดินในกระถางที่ผมใช้ปลูกผักไปมา ก่อนจะคว้านเอาเมล็ดพันธุ์ที่ผมฝังกลบไว้ขึ้นมา “ทำไมมันเป็แบบนี้”
การปลูกผักลงในกระถางด้วยเมล็ดพันธุ์มีขั้นตอนที่ยุ่งยากและละเอียดอ่อน การฝังกลบเมล็ดพันธุ์จะต้องไม่ฝังลึกเกินไป เพราะจะทำให้ต้นไม่สามารถแทงลำต้นขึ้นมาเหนือหน้าดินได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรฝังเมล็ดพันธุ์ให้ตื้นจนเกินไป เพราะจะทำให้ต้นที่โผล่พ้นดินมีความเอนเอียง ซึ่งเมล็ดพันธุ์ของผมที่อาจารย์ยกขึ้นมาให้ดู มันมีลักษณะเป็เส้น ๆ เหมือนว่าต้นอ่อนมันกำลังจะเกิด แต่มันก็เน่าตายอยู่ใต้ดินไปเสียก่อน เพราะต้นมันไม่สามารถโผล่ขึ้นมาพ้นดินเพื่อรับแสงแดดได้
ผมค่อนข้างแน่ใจว่าครั้งล่าสุดที่ผมมาปลูกผักรอบที่ห้าพร้อมกับขนุน ผมตรวจดูทุกกระถางแล้วว่าตัวเองไม่ได้หยอดเมล็ดพันธุ์ลึกจนเกินไป แล้วผมก็เป็คนหยอดเองหมดทุกกระถาง ไม่เข้าใจว่าผมมันถึงยังเกิดเื่แบบนี้ขึ้นอีก
ผมยังพลาดตรงไหนไปอีกหรือเปล่า
“ผมก็ทำตามที่อาจารย์บอกทุกอย่างเลยนะครับ” ผมตอบกลับไปโดยหลบสายตาของอาจารย์ ซึ่งเพื่อน ๆ ที่ยืนล้อมรอบทั้งผมและอาจารย์อยู่ก็กำลังมองมาทางนี้ด้วยเหมือนกัน
“ครั้งที่แล้วก็หยอดเมล็ดตื้นเกินไปจนต้นมันล้มหมด พอมารอบนี้ก็หยอดลึกเกินจนต้นมันโตขึ้นมาเหนือดินไม่ได้ อาจารย์บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าเวลาขุดหลุมให้ใช้ข้อนิ้ววัด”
“ผมใช้นิ้ววัดทุกหลุมเลยนะครับ”
“แล้วทำไมมันยังเป็แบบนี้อยู่ล่ะ”
“…”
บอกตามตรงว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้จะตอบคำถามอาจารย์ยังไง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงปลูกต้นไม้ไม่ขึ้นสักที จนเพื่อนคนอื่นทำใกล้จะเสร็จพร้อมส่งกันหมดทุกคนแล้ว มีแต่ผมคนเดียวที่ยังมีปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน
“เธอจะปลูกแบบนี้ไปอีกกี่รอบกัน หืม”
“เดี๋ยววันนี้ผมจะปลูกใหม่เลยครับ”
“รอบนี้มันจะเป็รอบสุดท้ายของเธอแล้วนะทานตะวัน ผักสลัดมันต้องใช้เวลาโตอย่างน้อย 30-45 วัน ตอนนี้เธอเหลือเวลาอยู่แค่สองเดือนก่อนสอบปลายภาค ถ้ารอบที่หกเธอยังไม่ปลูกอีกจะทำยังไง”
“ผมก็คงต้องยอมรับผลของมันครับ” ผมตอบกลับไปก่อนจะก้มหน้างุดลงมองปลายเท้า ตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา ไม่ใช่เพราะว่าผมถูกอาจารย์ดุ แต่เป็เพราะว่าผมเริ่มท้อกับการพยายามจะปลูกผักแล้ว
หรือจริง ๆ แล้วคณะนี้อาจจะไม่เหมาะกับผม
“เธอเป็คนเก่งนะทานตะวัน อาจารย์เชื่อว่าเื่ทฤษฎีต่าง ๆ เธอก็คงรู้หมด แต่อาจารย์ไม่เข้าใจว่าทำไมพอถึงเวลาปฏิบัติจริงเธอถึงทำไม่ได้” อาจารย์พูดพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาคงผิดหวังกับผมมาก เพราะเห็นว่าผมเรียนเก่ง ก็คงคาดหวังให้ผลงานออกมาดี แต่กลายเป็ว่าผมทำอะไรไม่ได้เื่เลย
“…”
“ปรง เดี๋ยวอาจารย์ฝากให้ช่วยดูน้องหน่อยนะ” อาจารย์หันไปพูดกับใครบางคนที่ผมไม่ได้สังเกตเห็นการมีอยู่ของเขาในตอนแรก พอได้ยินอาจารย์พูดชื่อนั้นออกมา ผมก็รีบเงยหน้าขึ้นมองทันที
พี่ปรงยืนอยู่ด้านหลังของอาจารย์
แสดงว่าเขาก็ได้ยินที่อาจารย์พูดกับผมหมดแล้วสินะ
“ได้ครับ” เขาพยักหน้ารับและตอบกลับไป
“อีกสักสองสามวันค่อยมาปลูกใหม่ แล้วปรงดูให้อาจารย์ด้วยนะ หาสาเหตุให้หน่อยว่าทำไมน้องปลูกมาตั้งห้ารอบแล้วถึงไม่ขึ้นสักที น้องทำขั้นตอนไหนผิดยังไงก็ช่วยสอนน้องด้วย”
“ครับ”
“ถ้ามีอะไรอยากให้อาจารย์ช่วยก็มาหาอาจารย์ที่ห้องได้ตลอดเลยนะ” อาจารย์หันมาพูดทิ้งท้ายกับผมก่อนจะเดินออกจากฟาร์มไปทันที หลังจากนั้นเพื่อน ๆ คนอื่นก็เริ่มทยอยแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
ตรงนี้จึงเหลือแค่ผมที่ยังคงยืนมองกระถางต้นไม้ของตัวเองด้วยความสงสัย พอนึกย้อนกลับไปว่าวันนั้นผมทำอะไรบ้าง ผมก็ยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่าผมดูดีแล้วจริง ๆ ผมใช้นิ้วมือของผมวัดหลุมทุกหลุมก่อนหยอดเมล็ดจริง ๆ ไม่มีทางที่ผมจะขุดลึกเกินไปจนต้นมันโตไม่ได้ มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ
พูดตรง ๆ เลยนะว่าที่ผมเลือกมาเรียนภาคพืชผักก็เพราะว่ามันดูง่ายที่สุดแล้ว เื่ที่เรียนก็เกี่ยวกับผักรอบตัวที่เราก็เห็นกันอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่พอได้ลองมาปลูกเองแล้ว ผมถึงได้รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยสักนิด กว่าจะกลายมาเป็ผักสีเขียวที่หน้าตาน่ากินแบบที่เห็นในท้องตลาด มันจะต้องอาศัยความประณีตและความเอาใจใส่เป็อย่างมากเลย
“ใส่ไว้ หน้าแดงหมดแล้ว” พี่ปรงที่ยังคงยืนอยู่ตรงนี้ด้วยเหมือนกันหันมาพูดกับผม เขาถอดหมวกสีดำที่เขาสวมอยู่แล้วยื่นมาให้ผม แต่พอเห็นว่าผมไม่ยอมรับไปสักที เขาก็เลยจัดการวางหมวกนั้นลงบนหัวผมและสวมให้เรียบร้อย
“ผมไม่ได้ร้อนสักหน่อย” ผมพูดพร้อมกับพยายามดึงหมวกออก แต่พี่ปรงก็ยื่นมือมาวางบนหัวผมไว้เพื่อให้ผมถอดหมวกออกได้ พอเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะยอม ผมก็เลยเป็ฝ่ายยอมแพ้เขาไปก่อน
“ไม่ต้องเครียดหรอก ผักไม่โตก็แค่ปลูกใหม่”
“ผมปลูกมาห้ารอบละ”
“ก็ปลูกอีกได้”
“พี่ปรงไม่ต้องมาช่วยผมก็ได้นะ แค่นี้ผมก็สร้างเื่ให้พี่เยอะพอแล้ว” ผมพูดโดยไม่หันไปสบตากับร่างสูงที่ยืนห่างออกไปเพียงเล็กน้อย พี่ปรงต้องมาช่วยผมเพราะถูกอาจารย์สั่งให้มาช่วย แต่ใจจริงเขาอาจจะไม่อยากช่วยก็ได้
“พี่จะช่วยน้อง”
“ไม่เชื่อ” มันเหมือนสมองของผมตั้งค่าไว้ว่าจะต้องไม่เชื่อคำพูดที่บอกว่าพี่ปรงจะช่วย ผมเลยตอบกลับไปแบบนั้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่ปรงคิดว่าผมกำลังกวนตีนเขาอยู่
“พี่จะช่วยจริง ๆ แต่พี่ขอถามอะไรอย่าง”
“ถามอะไรครับ”
“น้องชอบไอ้อูนเหรอ”
“…” ผมเบิกตาโพลงด้วยความใ หลังจากที่พี่ปรงถามคำถามที่เกินความคาดหมายของผมไปมาก ซึ่งพอเขาเห็นท่าทีของผมที่เฉลยเขาไปแล้วว่าคำตอบคืออะไร นั่นก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่าตัวเองคิดถูก
“เห็ดที่น้องขโมยไป น้องเอาไปทำอาหารให้ไอ้อูนเหรอ”
“ผมคืนเห็ดพี่ไปหมดแล้วไง”
“เห็ดรอบนี้มันเกิดมาสามต้น แต่น้องคืนพี่มาแค่ต้นเดียว น้องคิดว่าพี่จะไม่รู้จริง ๆ เหรอ” พี่ปรงพูดพร้อมกับโน้มตัวลงมาให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกันกับผม แต่เว้นระยะห่างออกไปเล็กน้อย เขาเอียงคอมองหน้าผมเหมือนกำลังพยายามอ่านความคิด แต่ผมก็พยายามจะหลบสายตาเขาไปทางอื่น
“ผมไม่รู้เื่นะ”
“ถ้าน้องยอมรับมาดี ๆ พี่จะไม่บอกไอ้อูน”
“…”
“ข้าวไข่เจียวเห็ดเข็มทองหรือเห็ดยามาบูฯกันแน่”
“ก็ได้ ๆ ผมขโมยเห็ดอีกสองต้นไปทำอาหารให้พี่อูนจริง ๆ พอใจพี่หรือยัง” สุดท้ายผมก็ทนแรงกดดันจากคนตรงหน้าไม่ไหว ผมยอมรับออกไปตรง ๆ และทิ้งท้ายด้วยการพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโมโห
“สรุปที่น้องมาขโมยเห็ดเพราะจะเอามาทำอาหารให้ไอ้อูนกินเหรอ”
“ก็ประมาณนั้น”
“ชอบมันมากหรือไง”
“ชอบมากกว่าพี่แล้วกัน”
“เื่นั้นพี่ก็รู้อยู่แล้วแหละ” พี่ปรงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย ก่อนที่เขาจะเดินนำออกจากฟาร์มไปก่อนเป็คนแรก หลังจากนั้นผมก็เดินตามหลังเขาไปเพราะอากาศภายในฟาร์มเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
แต่พูดกันตามตรง ถ้าไม่ได้หมวกของพี่ปรงที่ผมกำลังใส่อยู่บนหัว ตอนนี้ผมน่าจะเป็ลมแดดไปแล้ว วันนี้แดดแรงมากจริง ๆ พี่ปรงเขาก็ยังอุตส่าห์สละหมวกมาให้ผมใส่ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจะมองเขาในแง่ดีหนึ่งวัน
ผมเดินตามหลังเขามาเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้ชวนเขาคุยอะไรต่อ วันนี้พี่ปรงใส่เสื้อยืดสีเทาอ่อน ๆ ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อจนเสื้อมันแนบไปกับแผ่นหลังกว้างของเขา พอได้มองเขาจากตรงนี้แล้วมันทำให้ผมรู้เลยว่าพี่ปรงเป็คนที่ดูดีมากคนหนึ่ง เขาสูงมากและไหล่กว้างมาก แถมผิวพรรณยังดีจนไม่เหมือนคนเรียนเกษตรที่ต้องทำงานกลางแจ้งด้วย
“โอ๊ย!” ผมร้องออกมาเสียงหลงเมื่อจู่ ๆ พี่ปรงก็หยุดเดินกะทันหัน ผมที่เดินเหม่อลอยชมนกชมไม้ก็ชนเข้ากับแผ่นหลังของเขาอย่างแรง ผมยกมือขึ้นมาลูบจมูกของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เดินใจลอยอะไรขนาดนั้น”
“พี่จะหยุดเดินก็บอกกันหน่อยสิ”
“ไม่จำเป็” และก็เป็อีกครั้งที่พี่ปรงตอบกลับมาอย่างไร้เยื่อใย เขาเดินนำเข้าไปภายในตึกโดยไม่สนใจผมที่พยายามจะก้าวขาตามเขาให้ทัน แต่เพราะเขาตัวสูงกว่าและขายาวกว่า ทำให้ตัวเขาเดินนำหน้าผมไปอยู่หลายเมตร แต่สุดท้ายผมก็วิ่งขึ้นมาเดินเทียบข้างกับเขาจนได้
“พี่ปรงอย่าไปบอกพี่อูนนะ”
“อืม”
“แล้วพี่รู้เื่ไข่เจียวได้ไง”
“พี่ได้ยินน้องคุยกับเพื่อนที่โรงอาหาร แต่ไม่ต้องห่วงนะ พี่ไม่เอาเื่น้องไปพูดหรอก” พี่ปรงพยายามจะพูดตัดบทสนทนาและพยายามจะเดินหนีผมไป แต่ผมก็ยังคงเดินตามเขามาเรื่อย ๆ
“เดี๋ยวพี่ปรง แล้วหมวกพี่ล่ะ”
“เก็บไว้เถอะ พรุ่งนี้น้องต้องใช้”
“ใช้ทำไม”
“พรุ่งนี้มาเจอพี่ที่ฟาร์มตอนเช้า ยังไม่ลืมใช่ไหมที่เคยบอกว่าจะช่วยพี่ทำงานทุกอย่าง” พี่ปรงพูดด้วยรอยยิ้มประหลาดที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ผมมองรอยยิ้มนั้นของพี่ปรงด้วยความหวาดระแวง อย่างที่บอกว่าเขาจะเป็คนที่ทำหน้าดุใส่ผมตลอดเวลา และทุกครั้งที่ผมได้รับรอยยิ้มจากเขา มักจะมีเื่ไม่ดีเกิดขึ้นกับผมเสมอ
“พี่ปรงจะให้เราไปช่วยงานเหรอ งานอะไร”
“เดี๋ยวก็รู้”
“…”
“พักผ่อนมาให้เยอะ ๆ ล่ะ จะได้มีแรง”
เป็อีกครั้งที่ผมรู้สึกไม่ไว้ใจกับรอยยิ้มแบบนั้นของพี่ปรงเลย