“พี่รอง...ไม่ใช่แบบนั้น...” เหยาโม่หว่านหลุบตาซ่อนประกายเฉียบคมไว้ภายใต้ก้นบึ้งเหลือเพียงแค่แววตาวูบไหวอย่างหวาดหวั่น ขณะเหลือบขึ้นมาอีกครั้ง
“เ้าไม่ควรโป้ปดมดเท็จเช่นนี้เฉินเฟยก็อยู่นี่ เ้าจะบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมรับผิดได้อย่างไร” เหยาซู่หลวนชิงชังท่าทางน่าสงสารปานถูกผู้อื่นกดขี่ข่มเหงของเหยาโม่หว่านเป็ที่สุด
“ฝ่าา ทรงจัดการให้หม่อมฉันด้วยหม่อมฉันให้อาหารปลาที่ศาลาอยู่ดี ๆ ไม่รู้ว่าเหยาเฟยโผล่มาจากไหนมาถึงก็ผลักหม่อมฉันตกน้ำโดยไม่ถามถึงถูกผิดดีชั่วสักคำหากองครักษ์หลวงไม่มาช่วยไว้ทัน หม่อมฉันก็คง...ก็คงมิได้เห็นพระพักตร์ของฝ่าาอีกแล้ว”หวนไฉ่เอ๋อร์ร้องไห้กระซิก เดินมายืนอยู่ด้านข้างของเย่หงอี้ยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตาอย่างน่าสงสาร ประหนึ่งกำลังร้องทุกข์ให้กับตนเอง
“หว่านเอ๋อร์ บอกเจิ้นมาซิเพราะเหตุใดเ้าถึงผลักเฉินเฟยตกลงไปจากศาลา?” เย่หงอี้หาได้ชายตาแลหวนไฉ่เอ๋อร์แม้แต่ปราดเดียวแต่กลับเชยคางของเหยาโม่หว่านขึ้น พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นางพูดเยาะหยันว่าหว่านเอ๋อร์เป็คนโง่เขลาไม่เป็ไร เพราะทุกคนต่างก็กล่าวเช่นนี้ หว่านเอ๋อร์ชินเสียแล้วแต่...นางไม่ควรมาพูดถึงพี่รองในทางเสียหายตอนนี้หว่านเอ๋อร์เหลือแต่พี่รองเพียงคนเดียวแล้ว ใครจะมารังแกนางหว่านเอ๋อร์ไม่ยอม!”
“พี่รอง...ท่านอย่าโกรธอย่าไม่ชอบหว่านเอ๋อร์ได้หรือไม่” น้ำเสียงของเหยาโม่หว่านเหมือนจะร้องไห้หนักขึ้นอาศัย่จังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัวเอื้อมมือเข้าไปบีบมือที่ห่อหุ้มด้วยพันด้วยผ้าพันแผลทั้งสองข้างของเหยาซู่หลวนอย่างแรง
“โอ๊ย! เจ็บนะ ไสหัวไป” เหยาซู่หลวนร้องลั่นด้วยความเ็ปสะบัดมืออาละวาดใส่เหยาโม่หว่านอย่างลืมตัว ขณะที่เงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นเย่หงอี้กำลังจดจ้องตนเองด้วยแววตาเ็าอย่างน่ากลัว
“พะ...พี่รองมิได้ไม่ชอบเ้า”เหยาซู่หลวนเอ่ยวาจาแก้ต่างทันที
“ฝ่าาหม่อมฉันไม่เคยว่าร้ายหวงกุ้ยเฟย จริง ๆ นะเพคะ” เฉินเฟยรีบแก้ต่างอย่างลนลานเท่าที่จำได้ตนเองเพียงแค่ด่าเหยาโม่ซินไปเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้นเอง
เย่จวินชิงซึ่งสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างยังอดเลื่อมใสในกลอุบายใช้สี่ตำลึงปาดพันชั่ง [1] ของเหยาโม่หว่านไม่ได้อาศัยวาจาเพียงแค่ไม่กี่ประโยคกลับสามารถเบนหัวหอกพุ่งเป้ากลับไปที่เหยาซู่หลวนกับหวนไฉ่เอ๋อร์อย่างง่ายดายส่วนตนเองไม่มีความผิดแม้แต่น้อยที่สำคัญพอเหยาซู่หลวนและหวนไฉ่เอ๋อร์ถูกดึงเข้ามาข้องเกี่ยวก็หมดท่าสิ้นลายไม่เหมือนยามที่เดินเข้ามา
“ช่างเถิด พวกเ้าออกไปกันได้แล้วเจิ้นจะอยู่กินมื้อค่ำเป็เพื่อนหว่านเอ๋อร์” เย่หงอี้โบกมือด้วยความไม่พอใจหลังจากนั้นก็รั้งเหยาโม่หว่านเข้ามาในอ้อมแขนก่อนเช็ดคราบน้ำตาบนดวงหน้าน้อยอย่างทะนุถนอม
“หว่านเอ๋อร์ร้องไห้ทำให้เจิ้นปวดใจยิ่งนักต่อไปผู้ใดกล้ามาทำให้เ้าเสียน้ำตาอีก เจิ้นจะตัดศีรษะคนผู้นั้น”น้ำเสียงเนิบนุ่มแสดงถึงความหวงแหนสมบัติล้ำค่าที่หายากยิ่ง แววตายังอ่อนโยนประหนึ่งสายน้ำ
พอได้ยินวาจานี้เหยาซู่หลวนต้องรีบหุบปากกลืนวาจากลับลงไปอย่างอดกลั้น แม้ว่าจะไม่สมัครใจก็ตามกลับเป็หวนไฉ่เอ๋อร์ที่ดูเหมือนยังไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาวิ่งพุ่งเข้าไปร้องห่มร้องไห้จะเป็จะตายต่อหน้าเย่หงอี้
“ฝ่าา แล้วหม่อมฉัน...”
“เจิ้นบอกให้พวกเ้าออกไปไม่ได้ยินหรือไร?” น้ำเสียงขุ่นจัดสะท้อนความเยียบเย็นจนน่าขนลุกตวัดสายตาคมกริบปานจะเชือดคนให้ตายพุ่งเข้าหาจนหวนไฉ่เอ๋อร์ตะลึงพรึงเพริดทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะเมื่อก่อนแม้ฝ่าาจะกริ้วเพียงใด ก็ไม่เคยใช้สายตาที่ดูราวกับราชสีห์กระหายโลหิตที่กำลังจะอ้าปากขย้ำเหยื่อกับตนเองมาก่อน
“หม่อมฉัน...ทูลลา”หวนไฉ่เอ๋อร์ยอบกายคำนับอย่างอดกลั้น ขณะหลุบสายตาลงความริษยาชิงชังปานอสรพิษร้ายกลับพลุ่งพล่านดุเดือดอยู่ภายใต้ก้นบึ้งด้วยสติปัญญาอันเฉียบคมของตนเอง ไหนเลยจะสู้หญิงโง่เพียงคนเดียวไม่ได้
ฝ่ายเหยาซู่หลวนเมื่อเห็นหวนไฉ่เอ๋อร์ไม่ได้รับความเห็นใจ ย่อมตระหนักได้ถึงสถานการณ์รีบถอยออกจากตำหนักกวานจวีไปพร้อมกัน
...
เชิงอรรถ
[1] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง เป็หลักปรัชญาเต๋าที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ฝึกมวยไท่จี๋(มวยไทเก๊ก) หมายถึงการไม่เอาตัวเข้าปะทะแต่อาศัยแรงเพียงเล็กน้อยเอาชนะแรงที่มากกว่า