ทางด้านหลี่หงนั้นไม่รู้ความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย และไม่ได้ยินเช่นกัน เขาลงจากรถม้าแล้วยืนรออยู่ด้านข้าง ต่อมาแขนเล็กๆ ก็ยื่นออกมาจากภายในรถม้า ม่านประตูถูกดึงขึ้น ร่างของเด็กชายตัวน้อยปรากฏต่อสายตาของทุกคน หลี่ฉางเฉินวางแท่นเหยียบให้เรียบร้อย หลี่หงจับมือของหลี่ลั่วเดินลงมา
“ฝ่ามือของพี่ใหญ่มีแต่เหงื่อ ตื่นเต้นเสียแล้วหรือ?” หลี่ลั่วถามอย่างหยอกล้อ
เมื่อครั้งหลี่ซวี่ยังไม่ได้จากไปในสองปีนั้นหลี่หงเข้าวังเสมอ ไม่ว่าวังหลวงจะมีงานเลี้ยงอันใด ในฐานะแม่ทัพใหญ่ข้างกายจ้าวหนิงฮ่องเต้ ครอบครัวของหลี่ซวี่เป็ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊[1]ขั้นหนึ่งในบรรดาขุนนาง แต่ั้แ่เกิดเื่กับหลี่ซวี่ และหลังจากที่ขาของเขาได้รับาเ็ เขาก็ออกมาปะปนอยู่ในกลุ่มคนข้างนอกน้อยยิ่งนัก ต่อให้ออกมาก็เพียงแค่ไปหมู่บ้านและร้านค้าของครอบครัวเท่านั้น สถานการณ์เช่นวันนี้จึงทำให้ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ
แม้จะด้วยเหตุที่เกี่ยวพันกับรองเท้า จึงทำให้เวลาเดินเหินไม่มีปัญหาแล้ว หากไม่จ้องเขม็งดูที่เท้า รองเท้าคู่นี้ย่อมไม่ส่อพิรุธใดๆ นอกเสียจากว่าจะเป็ที่ความมั่นใจของเขาเอง ทว่าความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่อยู่ในใจมาเป็เวลาเนิ่นนานนั้นยากจะให้ควบคุมเอาไว้ได้ในชั่วขณะเดียว เขามักจะรู้สึกเสมอว่าทุกคนต่างจ้องมองแต่ขาของเขา “ตื่นเต้นเล็กน้อย”
“พี่ใหญ่ไม่ต้องตื่นเต้นขอรับ” หลี่ลั่วกล่าว “มีคนกล่าวไว้ว่า แต่ละคนมีชีวิตของตนเอง แต่ละคนมีชะตาของตนเอง พี่ใหญ่เพียงแค่ได้รับาเ็ที่ขา แต่มือเท้ายังอยู่ครบ แล้วพวกที่ขาขาดแขนขาด ยามที่ออกรบในสนามรบยังดีๆ อยู่ หากเมื่อเสร็จจากการศึกแล้วกลับตายไปเก้าเหลือเพียงหนึ่งชีวิตเล่า? พวกเขาเพราะแขนขาไม่สมบูรณ์จึงถูกกองทัพทอดทิ้ง พวกเขาเสียสละเพื่อบ้านเมือง บ้านเมืองกลับไม่ได้ดูแลพวกเขาให้ดี คนเหล่านี้ ต่อไปจะมีชีวิตอย่างไรเล่า?”
“น้อง...น้องหกพูดถูกต้อง”
ด้านหลังพวกเขา หลี่เหล่าไท่เหฺยและคนอื่นๆ ต่างทยอยกันลงจากรถม้า
“ขออภัย ใช่จงหย่งโหวหรือไม่ขอรับ?” มีขันทีนายหนึ่งเดินข้ามมาจากหน้าประตูไท่เหอมาถึงเบื้องหน้าหลี่ลั่ว น้ำเสียงของขันทีผู้นั้นนอบน้อมยิ่งนัก ท่าทางเป็ธรรมชาติและมีมารยาทยิ่ง
“เป็เปิ่นโหวเอง มีเื่อันใดรึ?” หลี่ลั่วถาม
ขันทียิ้มบางๆ “ฉีอ๋องรับสั่ง เสี่ยวโหวเหฺยอายุยังน้อย ไม่ให้รอนาน รถม้าของจวนฉีอ๋องรออยู่อีกด้านหนึ่งแล้วขอรับ เชิญท่านเข้าวังก่อน”
คนไม่น้อยต่างได้ยิน อดไม่ได้ที่จะอุทาน ฉีอ๋องผู้สูงส่งเ็าในตำนานช่างเอาใจใส่ยิ่งนัก ต่อให้เป็การปฏิบัติต่อหลี่ลั่วซึ่งเป็เพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบ ก็ยังสง่างามเช่นนี้
“ขออภัย” หลี่ลั่วกล่าว “พี่ใหญ่ของข้าขาไม่สะดวกนัก ้าขึ้นรถม้าไปกับข้า ไม่ทราบว่าได้หรือไม่?”
“ท่านอ๋องมีรับสั่งไว้ว่า ให้ล้วนฟังความเห็นท่านขอรับ” ขันทีตอบ ไม่พูดไม่ได้แล้วว่ากู้จวิ้นเฉินเข้าใจในตัวหลี่ลั่วอย่างยิ่ง
เขารู้ว่าหลี่ลั่วมีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงได้กำชับขันทีล่วงหน้าเอาไว้แล้ว รับหลี่ลั่วและหลี่หงขึ้นรถม้าของจวนฉีอ๋องแล้ว คนที่เหลือได้แต่มองตามเงาของรถม้า แล้วเริ่มพูดคุยต่างๆ นานา
“ฉีอ๋องปฏิบัติต่อหลี่เสี่ยวโหวเหฺยดียิ่ง หรือว่าฉีอ๋องยอมรับการแต่งงานครั้งนี้?”
“ฝ่าาพระราชทานสมรส ผู้ใดจะกล้าขัดพระราชโองการเล่า?”
“ฉีอ๋องเพิ่งจะอายุสิบสามปี กำลังอยู่ในวัยที่อยากรู้อยากเห็นต่อทุกอย่าง ไฉนเลยจะรู้เื่ของความดีของัเล่า?”
“นั่นเป็คนของจวนแม่ทัพ เข้าแถวอยู่ตรงนั้น”
“ฉีอ๋องรับหลี่เสี่ยวโหวเหฺยเข้าวัง ไฉนไม่รับคนของจวนแม่ทัพเล่า?”
“เื่นี้จะรู้ได้อย่างไรเล่า? เ้าไปถามฉีอ๋องสิ”
“ไปๆๆ”
ในความเป็จริงแล้ว กู้จวิ้นเฉินส่งคนออกมารับหลี่ลั่วเข้าวัง ทว่ากลับไม่ได้ส่งคนมารับคนของจวนแม่ทัพ อวี๋เหล่าไท่ไท่นั้นไม่ยินดี กู้จวิ้นเฉินกับนางนั้นไม่สนิทชิดเชื้อ ต่อให้เป็เมื่อครั้งเป็เด็กยังไม่ได้เกิดเื่ราวเมื่อหกปีก่อน กู้จวิ้นเฉินในยามนั้นไม่ได้มีนิสัยเ็า แต่มีลักษณะที่ไม่สนิทสนมกับใครแต่กำเนิด เหมือนกับเสด็จพ่อของเขาไท่จื่อเยี่ยน สายเืของลูกหลานในราชวงศ์นั้นสูงส่ง ความสูงศักดิ์ที่ปรากฏให้เห็นนั้นชัดเจนยิ่งนัก ครั้นต่อมาได้ผ่านเื่ราวเมื่อหกปีก่อน สถานที่แห่งใดกู้จวิ้นเฉินล้วนไม่ไปร่วม นอกเสียจากว่าเป็วันสำคัญจึงจะออกมาสักครั้ง ราวกับว่าเขาเป็สตรีอยู่แต่ในเรือน สถานที่เดียวที่เขาไปก็คือวังหลวง
“จวิ้นเฉินเด็กคนนี้ไม่รู้ว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ ผู้อื่นล้วนรับเข้าวัง แต่กลับลืมท่านไปเสียได้” ผู้ที่เอ่ยปากคือภรรยาอวี๋เฟย อวี๋จางซื่อ ลูกสะใภ้ของอวี๋เหล่าไท่ไท่ น้าสะใภ้ของกู้จวิ้นเฉิน พูดว่าลืมอันใดกัน ไม่รู้ว่าพูดแทนกู้จวิ้นเฉิน หรือเจตนาพูดจาทิ่มแทงใจอวี๋เหล่าไท่ไท่กันแน่
อวี๋เหล่าไท่ไท่ฟังแล้วสีหน้าเปลี่ยนเป็ย่ำแย่ยิ่งขึ้นอีก “มีเพียงเ้าที่ปากมาก เขารับว่าที่ภรรยาของตนเข้าวังย่อมเป็เื่สมควร เ้าจะพูดมากไปเพื่ออันใด?”
นิสัยของอวี๋เหล่าไท่ไท่นั้น ตนเองนั้นไม่ยินดีกับการกระทำของกู้จวิ้นเฉิน แต่กู้จวิ้นเฉินเป็บุตรชายเพียงคนเดียวของบุตรีคนโตของนาง ตนเองไม่ชมชอบนั้นเป็เื่หนึ่ง ตนเองคือผู้าุโ แต่ไม่ใช่ว่าจะให้ผู้อื่นมาพูดนั่นพูดนี่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสะใภ้คนนี้ เมื่อยามที่ทาบทามเื่แต่งงานนั้น ก็รู้สึกว่าเป็หญิงสาวที่ดีคนหนึ่งอยู่หรอก
จวนแม่ทัพนั้นถูกจับจ้องด้วยความระแวงจากฮ่องเต้องค์ก่อน ดังนั้นการทาบทามสะใภ้ให้กับบุตรชายจึงต้องเลือกฐานะที่ต่ำต้อย แต่คิดไม่ถึงว่าต่อมาจะกลายเป็เช่นนี้ หลังจากแต่งเข้ามาในจวนแม่ทัพ ก็คิดเพียงแต่จะช่วยเหลือครอบครัวฝั่งมารดาตนเอง กลับไม่คิดเสียบ้างว่าขอเพียงครอบครัวของสามีดี ชีวิตของนางจึงจะดีไปด้วย ครอบครัวมารดาดีแล้วเกี่ยวข้องอันใดกับนางกัน?
ภรรยาอวี๋เฟยนั้นไม่ชอบหน้ากู้จวิ้นเฉิน ยังมีเื่ราวบางอย่างที่คั่นอยู่ตรงกลาง เพียงแต่เื่นี้คนสกุลอวี๋ไม่มีผู้ใดรู้เท่านั้น ดังนั้นทันทีที่นางคิดถึงกู้จวิ้นเฉิน ภรรยาอวี๋เฟยจะไม่สบายเนื้อสบายตัว เมื่อก่อนนางอยู่ในจวนแม่ทัพไม่มีฐานะอันใดแม้แต่น้อย ยามนี้บุตรชายของนางเป็แม่ทัพรักษาชายแดนอยู่ที่ซีเป่ย คราวนี้นางอยู่ในจวนแม่ทัพมีฐานกำลังเข้มแข็งแล้ว คำพูดคำจาก็ปีกกล้าขาแข็งขึ้น
“ท่านแม่พูดถูกแล้วเ้าค่ะ เป็ข้าเองที่ปากมากไป” ภรรยาอวี๋เฟยไม่เอ่ยอันใดอีก
หลี่ลั่วนั่งรถม้าของจวนฉีอ๋องเข้าไปในวัง นั่งมาได้ครึ่งทางรถม้าก็หยุดลง ได้ยินเพียงเสียงของขันที “เสี่ยวโหวเหฺย คุณชายหลี่ลงจากรถม้าที่นี่ได้ขอรับ ด้านหน้าเป็สถานที่จัดงานเลี้ยง ที่นั่นมีแขกมาไม่น้อยแล้ว ฝ่าาได้รับสั่งว่า้าพาท่านไปสถานที่อื่น”
“ได้ ลำบากแล้ว” หลี่ลั่วกล่าว
ต่อมาหลี่หงก็ลงจากรถม้า รถม้าเดินไปข้างหน้าต่อไป หากคำนวณตามเวลาที่หลี่ลั่วคิดไว้คงใช้เวลาหลังจากนี้ไม่เกินห้านาที ในที่สุดรถม้าก็หยุดลง หลี่ลั่วเปิดผ้าม่านหน้าต่างมองออกไปข้างนอก เห็นเพียงทางเดินระเบียงยาว กว้างมาก และสงบอย่างยิ่ง “ที่นี่คือที่ไหน?”
ขันทีนำแท่นเหยียบมาวางให้ “ฝ่าารอท่านอยู่ด้านในขอรับ ท่านไปแล้วก็จะรู้เองขอรับ”
หลี่ลั่วลงจากรถม้า เห็นด้านข้างมีตำหนักหลังหนึ่ง หน้าประตูตำหนักมีองครักษ์ห้านาย สี่คนในนั้นเฝ้าอยู่ทั้งซ้ายขวา และอีกคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลาง คนผู้นั้นก็คือจวิ้นอีที่หลี่ลั่วรู้จัก
“จวิ้นอี” หลี่ลั่วทักทาย
“เสี่ยวโหวเหฺย ท่านมาแล้ว ท่านอ๋องรอท่านอยู่ด้านในขอรับ” จวิ้นอีกล่าว
หลี่ลั่วเดินไปเบื้องหน้าเขา รถม้าจอดรออยู่อีกด้านหนึ่งแต่ไม่ได้เคลื่อนตัวออกไป “สถานที่แห่งนี้คือที่ใดหรือ?” หลี่ลั่วถาม
“เมื่อก่อนที่นี่คือตงกง เป็ตงกงที่เสด็จพ่อของท่านอ๋องเคยประทับอยู่ที่นี่ก่อนจะเป็ผู้ใหญ่ ตามธรรมเนียมของรัชสมัยของพวกเรา องค์ชายรัชทายาทเมื่อผ่านพิธีสวมกวานแล้วสามารถมีจวนไท่จื่อได้ขอรับ” ตงกงอยู่ในวังหลวง จวนไท่จื่อเป็คฤหาสน์ที่แยกออกมาต่างหาก นี่คือความแตกต่าง “หกปีก่อนสถานที่แห่งนี้ถูกปิดไปแล้ว ไม่ได้มีฐานะเป็ตงกงขององค์ชายรัชทายาทอีกต่อไป แต่เป็สถานที่สำหรับให้ท่านอ๋องพักผ่อนในวัง ด้วยเหตุที่องค์ชายองค์อื่นล้วนมีตำหนักของตนเองอยู่ในวังหลวงขอรับ” นั่นก็คือตำหนักของบรรดาองค์ชายผู้ซึ่งยังไม่ได้ผ่านพิธีสวมกวานและยังไม่ได้อยู่ร่วมกับภรรยานั่นเอง เช่นองค์ชายสามในเวลานี้ เขาเพิ่งจะมีอายุได้สิบห้าปี
ส่วนองค์ชายรองแม้จะยังไม่ได้แต่งงาน แต่ก็มีอายุสิบแปดปีเต็มแล้ว จึงได้เริ่มสร้างจวนองค์ชายรองและย้ายออกไปแล้ว ทว่าตำหนักในวังหลวงยังคงเก็บเอาไว้เหมือนเดิม
เพียงแต่ว่า ไม่ได้งดงามหรูหราเช่นที่นี่ของกู้จวิ้นเฉิน
“ที่นี่คือประตูด้านหลัง ประตูใหญ่ด้านหน้าท่านอ๋องไม่เคยเปิดมาหกปีแล้วขอรับ” จวิ้นอีอธิบาย เพื่อไม่ให้เสี่ยวโหวเหฺยเข้าใจผิดท่านอ๋อง
“อืม ข้าไม่ใส่ใจ” หลี่ลั่วไม่ใส่ใจว่ากู้จวิ้นเฉินจะใช้ประตูใหญ่หรือใช้ประตูด้านข้างต้อนรับเขา เพราะเขาเข้าใจกู้จวิ้นเฉิน ว่าไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้
คนทั้งสองเดินไปคุยไปจนมาถึงด้านในศาลาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว กู้จวิ้นเฉินกำลังพิงเสาต้นหนึ่งมองหลี่ลั่ว ในศาลานั้นได้ตระเตรียมของว่างเอาไว้แล้ว ของว่างหลากหลายสีสัน มากมายหลายแบบ
นี่เป็ครั้งแรกที่กู้จวิ้นเฉินเห็นหลี่ลั่วสวมอาภรณ์ในชุดราชสำนักของท่านโหวขั้นหนึ่ง ชุดราชสำนักระดับโหวสีม่วงเข้ม เมื่อสวมลงบนร่างเล็กๆ ของหลี่ลั่ว ที่จริงควรจะเป็สีที่ดูอ่อนแอ หากกลับกลายเป็เคร่งขรึมขึ้นมา บนชุดราชสำนักของหลี่ลั่วคือลวดลายพญางูเก้าตัว ทุกตัวล้วนมีสี่เล็บ
และเช่นกัน วันนี้กู้จวิ้นเฉินก็สวมอาภรณ์หมั่งเผา[2]ของชินอ๋อง ไม่เหมือนกับเสื้อคลุมของหลี่ลั่ว หมั่งเผาของกู้จวิ้นเฉินนั้นเป็สีแดงเข้ม เป็สีแดงสดและสีเหลืองผสมรวมกัน สีเหลืองนั้นออกแดง สีแดงนั้นเข้มเล็กน้อย
บนชุดหมั่งเผาระดับชินอ๋องของเขามีพญางูเก้าตัวเช่นกัน มีสี่เล็บเช่นเดียวกัน ที่แตกต่างกันคือสีของอาภรณ์ ของเขาดูแล้วทั้งสง่างามและเคร่งขรึม
ในรัชสมัยนี้ มีเพียงอาภรณ์ชุดคลุมัของฮ่องเต้เท่านั้นที่มีัอยู่ข้างบน และเป็ัห้าเล็บ
ชินอ๋อง องค์ชาย และจวิ้นอ๋อง ล้วนต้องสวมใส่ชุดหมั่งเผาสีแดงเข้ม
จวิ้นอ๋องลงไป ขุนนางขั้นสามขึ้นมา ล้วนต้องสวมใส่ชุดหมั่งเผาสีม่วงเข้ม
ขุนนางขั้นสามลงไป ขั้นห้าขึ้นมา ล้วนต้องสวมใส่ชุดหมั่งเผาสีแดงสด
ขุนนางขั้นห้าลงไปจะใส่สีใดก็ได้ มีสีเขียว และสีดำ
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เป็ข้าหลวง ให้สวมเผาซาน[3]สีขาว เช่น นักศึกษาในสำนักศึกษา บรรดานักศึกษาในกั๋วจื่อเจียน
หลี่หลั่วมองกู้จวิ้นด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างยากจะควบคุม กู้จวิ้นเฉินในชุดชินอ๋อง ทำให้ดูแตกต่างไปจากปกติ ยังคงมีท่าทีเ็าดังเดิม แต่ดูสูงส่งเกินเอื้อม ราวกับว่าคนผู้นี้เป็ดวงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่บนฟากฟ้า เมื่อเ้ายื่นมือออกไป เขาอยู่ใกล้เพียงเบื้องหน้า ทว่ากลับจับต้องไม่ได้
“มานี่” กู้จวิ้นเฉินเห็นเขาตกตะลึงอยู่กับที่ จึงเลิกคิ้ว
“มาแล้ว” หลี่ลั่ววิ่งเข้าไปด้วยก้าวสั้นๆ ของเขา “ท่านพี่ฉีอ๋องเรียกข้ามาด้วยเื่อันใดหรือขอรับ?” หลี่ลั่วถาม
กู้จวิ้นเฉินอุ้มเขามานั่งลงบนเก้าอี้ ซ้ำยังผูกผ้าเช็ดหน้าให้เขาเพื่อป้องกันไม่ให้อาภรณ์เลอะเทอะจากการกินของว่าง จากนั้นยังช่วยเขาตักน้ำแกงถ้วยหนึ่ง "เ้ามาร่วมงานเลี้ยงฉลองลักษณะนี้เป็ครั้งแรก คนในจวนโหวมีผู้ใดย้ำเตือนหรือไม่ว่าต้องกินอะไรเล็กน้อยก่อน?”
“หา? ไม่มีขอรับ” หลี่ลั่วถาม “เหตุใดจึงต้องกินของเล็กน้อยก่อนเล่าขอรับ?”
กู้จวิ้นเฉินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “คนในจวนโหวไฉนจึงได้เลินเล่อเช่นนี้ ไม่สู้ย้ายเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องดีหรือไม่?”
หัวใจดวงน้อยๆ ของหลี่ลั่วสั่นสะท้าน นี่้าอยู่ก่อนแต่งใช่หรือไม่? เขายังเล็กนะ คืนเข้าหอนั้นยังอีกยาวไกลไร้กำหนด ยังไม่สามารถทดลองใช้ชีวิตเช่นสามีภรรยาแล้วจะทำเช่นใดเล่า “จวนโหวมิอาจไม่มีคนเป็เ้าบ้านคอยดูแลจัดการเื่ราวขอรับ” ที่จริงหลี่ลั่วหวั่นไหวอย่างยิ่ง แต่ยังคงกัดฟันปฏิเสธไป “แม้ว่าพี่ใหญ่จะมีนิสัยสุภาพอ่อนโยน แต่ในจิตใจเขานั้นมีความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง พี่หญิงใหญ่อ่อนแอเปราะบาง ส่วนมารดา...ได้แต่อดทนข่มกลั้นมาเป็เวลาหลายปีจนกลายเป็ความเคยชิน นางดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่า ต่อให้นางไม่มีขุนเขาให้พึ่งพิง นางก็ยังคงเป็ฮูหยินของจงหย่งโหว ฮูหยินของคนข้างกาย...ฝ่าา”
[1] ขุนนางในจีนจะมีสองสาย คือบู๊และบุ๋น ขุนนางฝ่ายบู๊จะเป็ฝ่ายนำกองทัพออกปฏิบัติการตามคำสั่งที่ได้รับ และทำการต่อสู้ ส่วนขุนนางฝ่ายบุ๋นจะเป็ผู้ที่ใช้สติปัญญาในการคิดกลศึก และเสนอความคิดในการทำศึกต่างๆ เช่น ขงเบ้ง สุมาอี้
[2] หมั่งเผา (蟒袍) หรือเสื้อคลุมพญางู หรืองูเหลือมนั่นเอง นัยว่าโบราณถือว่าัต้องมีห้าเล็บ และฮ่องเต้เท่านั้นที่จะสวมอาภรณ์ลายัห้าเล็บได้ สี่เล็บจึงไม่ใช่ั เป็งูใหญ่ สำหรับองค์ชาย และขุนนางไม่สามารถสวมอาภรณ์ลายัห้าเล็บได้ ชุดหมั่งเผาคือชุดทางการ หรือชุดพิธีการขององค์ชายและขุนนางในสมัยโบราณ สีจะแตกต่างกันไปตามระดับขั้น
[3] เผาซาน (袍衫) ชุดคลุมเผาซานเป็เสื้อผ้าฝ้ายคอกลมแขนใหญ่ผ่าด้านข้าง ใช้ในงานฉลองใหญ่ จะมีลักษณะคล้ายๆ ชุดบัณฑิตเรียบๆ ในหนังจีนทั่วไป แต่หากย้อนกลับไปในรัชสมัยซ่งจะหมายถึงฉลองพระองค์เผาซานของกษัตริย์ที่ใช้ในงานฉลองใหญ่เช่นกัน ทำจากผ้าฝ้ายสีดินเหลือง หรือสีเหลืองอ่อน สวมรัดพระองค์หยกสีแดง