หลี่ลั่วเอ่ยขึ้นว่า “สมุดบัญชีเหล่านี้กับสมุดบัญชีที่อวี๋กงกงมอบให้จวนโหวของพวกเรานั้นไม่เหมือนกัน เกิดอันใดขึ้น?”
ขันทีปอตกตะลึง “ไม่เหมือนกันหรือ? จะเป็ไปได้อย่างไรกันขอรับ?” ต่อมาเขาก็มองไปที่อวี๋กงกงอย่างเกรี้ยวกราด “เสี่ยวอวี๋ นี่มันเื่อันใดกัน? สมุดบัญชีเหล่านี้ไฉนจึงไม่เหมือนกับที่เ้าส่งให้จวนโหวเล่า?”
“ไว้ชีวิตด้วย โหวเหฺยไว้ชีวิตด้วย...ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย เป็ผู้น้อยที่ไม่ดี เป็ผู้น้อยที่สมควรตายเป็หมื่นครั้ง ผู้น้อยละโมบ เป็ผู้น้อยที่ละโมบเงินของจวนโหว ผู้น้อยผิดไปแล้ว” อวี๋กงกงโขกหัวดึง ปึกๆๆ หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเือย่างรวดเร็ว
“ท่านอ๋อง พระชายา เื่นี้บ่าวไม่รู้เื่จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ไฉนเลยจะรู้ว่าเสี่ยวอวี๋นั้นต่อหน้าอีกอย่าง ลับหลังอีกอย่าง เช่นนี้พวกท่านเห็นควรว่าจะจัดการอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?” ขันทีปอถาม
กู้จวิ้นเฉินนั้นแม้แต่มองยังไม่มองเขา ถามหลี่ลั่วว่า “เ้าคิดจะทำเช่นใด?”
“เขาเพียงละโมบต่อเงินเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำเื่ร้ายแรงอันใด นำเงินมาคืนได้ก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกันเถิด” หลี่ลั่วพูดกับกู้จวิ้นเฉิน
“ได้” กู้จวิ้นเฉินตอบรับโดยไม่ได้ลังเลใจแม้แต่น้อย
อวี๋กงกงถอนใจเฮือกหนึ่ง ยังดีที่เสี่ยวโหวเหฺยท่านนี้อายุยังน้อย ยังดีที่อายุยังน้อย ไม่เช่นนั้นวันนี้เขาจะต้องไม่มีชีวิตรอดเป็แน่ ต่อมาเป็เื่ของการคิดบัญชีแล้ว สองปีก่อนหลี่ซวี่ยังมีชีวิตอยู่ เงินที่อวี๋กงกงโกงไปนั้นค่อนข้างน้อย ประมาณปีละหนึ่งพันตำลึง เงินเดือนสี่ปีและเงินค่าข้าวบวกกันแล้วในทุกๆ ปีมีสามพันตำลึง ระยะเวลาหกปีโกงเงินไปทั้งหมดหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงโดยประมาณ ขันทีปอคิดเงินให้หลี่ลั่วหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง และเพราะความละอายแก่ใจ ขันทีปอจึงนำเงินค่าแรงของหัวหน้าคนงานในฤดูใบไม้ร่วงนี้สมทบออกมาให้ด้วย จากนั้นส่งพวกเขาขึ้นรถม้าด้วยรอยยิ้ม อวยพรให้พวกเขาเดินทางปลอดภัย จวบจนกระทั่งมองไม่เห็นเงาของรถม้าอีกแล้ว สีหน้าของขันทีปอจึงค่อยๆ ดำทะมึนลง เงินหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ เลย แต่สามารถลดปัญหาลงได้เื่หนึ่งดีกว่าเพิ่มปัญหาขึ้นเื่หนึ่ง ยังโชคดีที่โหวเหฺยท่านนั้นอายุยังน้อย ไม่เื่มากอันใดนัก
“ท่านหัวหน้าขันที ข้า...” อวี๋กงกงพูดแล้วก็หยุดชะงัก
“เ้าอย่าโทษว่าข้าใจจืดใจดำ หากในเวลานี้ไม่ผลักเ้าออกไป ถ้าพวกเขาพบเงื่อนงำหรือระแคะระคายขึ้นมาแล้วย่อมไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ หากสืบสวนต่อไปแล้วพวกเราย่อมต้องเกี่ยวพันด้วย ถึงเวลานั้นพวกเราแย่แน่ นายท่านเบื้องบนย่อมไม่ปล่อยพวกเราเอาไว้เช่นกัน” หัวหน้าขันทีปอกล่าว
“ข้ารู้ขอรับ เช่นนั้นต่อไปข้า?”
“ทางด้านที่นาพระราชทานจวนโหวของเ้านั้นได้ส่งคืนกลับไปแล้ว ย่อมต้องกลับกรมวังในวังหลวง เื่ของเ้าข้าจะรายงานใต้เท้าในวังหลวงทราบตามความเป็จริง ถึงเวลานั้นเกรงว่าเ้าอาจจะต้องทนความลำบากสักพัก แต่เ้าวางใจได้ นายท่านจะคุ้มครองชีวิตของเ้า เมื่อสักครู่เ้ารับผิดเพียงคนเดียวไม่ได้พาดพิงถึงข้า และไม่ได้พาดพิงถึงนายท่านเบื้องบน ข้าไม่ใช่คนใจจืดใจดำ” หัวหน้าขันทีปอให้เขาวางใจ ฉีอ๋องรู้เื่นี้แล้วย่อมปิดบังวังหลวงไม่ได้ ดังนั้นความผิดของอวี๋กงกงจึงจำต้องรายงานขึ้นไปตามความเป็จริง
จวนจงหย่งโหว...ดูเหมือนจะตกต่ำแล้ว แต่เมื่อปรากฏหลี่เสี่ยวโหวเหฺยออกมาคนหนึ่ง ต่อไปจะเป็เช่นไร? ระยะทาง...ยังอีกยาวไกลนัก
เมื่อขึ้นรถม้ามาแล้วสายตาของหลี่ลั่วที่มองกู้จวิ้นเฉินนั้นแทบจะนิ่งสงบลงไม่ได้ “เป็อันใดเล่า?” เขาเลิกคิ้วถาม
หลี่ลั่วยิ้มบางๆ “ท่านพี่ฉีอ๋อง วันนี้ท่านเท่มากขอรับ”
“เท่? หมายความว่าอย่างไร?” ความเข้าใจต่อคำว่า ‘เท่’ ของกู้จวิ้นเฉินคือ แม่ทัพ[1]
หลี่ลั่วยกนิ้วโป้งตั้งขึ้นหันไปทางเขา “ก็คือร้ายกาจยิ่งนัก ความหมายคือท่านทำให้ข้าใจเต้นยิ่งนักขอรับ”
กู้จวิ้นเฉินตะลึง แล้วส่งเสียง ฮึ ครั้งหนึ่ง “ข้ารู้ว่าเ้าชมชอบข้า”
อะไรนะ?
“ในฐานะที่เป็ว่าที่สามีของเ้า การปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของเ้าสำคัญที่สด” กู้จวิ้นเฉินเสริมอีกหนึ่งประโยค เพียงแต่ประโยคที่บอกว่า เ้าทำให้จิตใจข้าใจเต้นยิ่งนัก ฟังแล้วไฉนจึงโล่งสบายเช่นนั้น ย้อนคิดถึงที่หลี่ลั่วเคยพูดกับตนว่า ชอบคนรูปร่างดี หน้าตาดี และดีต่อเขา กู้จวิ้นเฉินรู้ในทันทีว่าเ้าสารเลวตัวน้อยนี้ชอบเขามาเนิ่นนานแล้ว เื่ราวครั้งก่อนๆ นั้นน่าจะเป็เพียงการล่อเสือออกจากถ้ำเสียละมั้ง
จริงๆ เลย อายุน้อยแค่นี้อย่างอื่นไม่เรียนรู้ กลับเรียนรู้สิ่งเหล่านี้
แต่...เห็นแก่ที่ดวงตาเขามีแววยิ่งนัก ย่อมไม่ไปจู้จี้จุกจิกกับเขา
“ท่านพี่ฉีอ๋อง ท่านถามข้าว่าจะจัดการกับอวี๋กงกงเช่นใด ข้าบอกว่าปล่อยเขา ไฉนท่านจึงไม่ลังเลก็เห็นด้วยแล้วเล่า?” หากในสถานการณ์ปกติ ไม่ใช่ว่าควรจะลงโทษอวี๋กงกงหรือไร? หรือถามตนว่าเหตุใด แต่กู้จวิ้นเฉินไม่ได้ถามอันใดเลย
“ไม่ว่าความคิดของพวกเราเมื่อยามเป็ส่วนตัวนั้นจะแตกต่างกันเช่นใด แต่เมื่ออยู่ข้างนอก ความคิดเห็นของพวกเรานั้นต้องเป็ไปในทิศทางเดียวกัน” กู้จวิ้นเฉินกล่าว “ดังนั้นเมื่ออยู่ข้างนอก ไม่ว่าเ้าจะมีความคิดเห็นเช่นใด ล้วนเป็ตัวแทนความคิดของข้าเช่นกัน”
หลี่ลั่วตกตะลึง
“ขอเพียงเป็ความคิดเห็นของข้า ก็จะไม่มีผู้ใดต่อต้านเ้า” กู้วิ้นเฉินกล่าวอีก
“ท่าน...” หลี่ลั่วพูดได้เพียงคำเดียวแล้วหยุดลง เสียงของหัวใจเต้นดังตุบๆ หลี่ลั่วยอมรับ เขาจิตใจอ่อนไหวกับเด็กหนุ่มอายุสิบสามปีผู้นี้เข้าแล้วจริงๆ ว่ากันตามจิติญญาแล้วก็คือคนหนุ่มอายุยี่สิบห้าปีคนหนึ่งกำลังใจเต้นกับเด็กอายุสิบสามปี บางครั้งกู้จวิ้นเฉินอาจจะยังไม่รู้ว่าคำพูดของเขาช่างไพเราะน่าฟังนัก คำพลอดรักคำเดียวหรือประโยคเดียว ทำให้กำแพงปราการป้องกันของหลี่ลั่วพังลงมาอย่างไม่เป็ท่า จากนั้นโผเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอย่างเชื่อฟัง
“หืม?” กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้ว
หลี่ลั่วพุ่งเข้าไปหาอ้อมกอดของเขา จากนั้นจุมพิตลงบนแก้มของเขาครั้งหนึ่ง “ขอบคุณ”
“...” นี่...ลวนลามเขาอีกแล้ว “อืม” ใบหน้าของฉีอ๋องแดงนิดๆ ถือว่าได้รับคำขอบคุณของเขาแล้ว
หลี่ลั่วมองเขาแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น ที่จริงแล้วต่อให้กู้จวิ้นเฉินจะแสดงออกให้เห็นถึงความเป็ผู้ใหญ่ แต่ก็ยังคงเป็เด็กหนุ่มวัยสิบสามปีคนหนึ่ง เมื่อปากกับใจไม่ตรงกัน เขาย่อมหน้าแดง และรู้จักลำบากใจ แต่ทว่าสีหน้าที่เขาคุ้นเคยล้วนเป็ความเ็า หากไม่ดูอย่างละเอียด คนรอบข้างนั้นย่อมไม่รู้
“เ้า...ไฉนเ้าไม่ลงโทษเขาเล่า?” กู้จวิ้นเฉินถาม เปลี่ยนหัวข้อสนทนา...ตัวเขาเองยังรู้สึกอึดอัด
“เป็แค่ขันทีเล็กๆ ในกรมวังคนหนึ่ง ไฉนเลยจะขวัญกล้าถึงขนาดกล้าโกงเงินของจวนจงหย่งโหวได้เล่า? เวลานั้นท่านพ่อของข้ายังมีชีวิตอยู่” ในฐานะคนข้างกายจ้าวหนิงฮ่องเต้ เป็แม่ทัพที่จ้าวหนิงฮ่องเต้ปลุกปั้นมากับมือ เกียรติยศและหน้าตาหลี่ซวี่ในยามนั้นไม่มีใครเปรียบเทียบได้ “รวมไปถึงขันทีปอผู้นั้นก็ไม่มีความกล้านี้ด้วย เบื้องบนพวกเขายังมีคนอีก ในเมื่อยังมีคนอื่น อวี๋กงกงนั้นก็ช่างเถิด หากจัดการอวี๋กงกงไป จะกลายเป็การเตือนให้พวกเขารู้ตัว”
“เ้าทำได้ดียิ่ง” กู้จวิ้นเฉินรู้ว่าหลี่ลั่วฉลาดเฉลียว “เขาออกมาจากกรมวัง ต่อให้เ้าจะฆ่าเขาก็ไม่มีอันใด แต่ยังต้องให้กรมวังเป็ผู้จัดการ ตนเองนั้นไม่ต้องเปื้อนเื” และหากให้กรมวังเป็ฝ่ายจัดการเองแล้วละก็ วิธีการนั้นโเี้กว่ามากนัก
“ท่านพี่ฉีอ๋อง ท่านว่าผู้ที่อยู่เื้ัพวกเขาเป็ใครขอรับ?” หลี่ลั่วแปลกใจ
“อั้นสุ่ยกำลังสืบอยู่ ดูเหมือนจะเป็พ่อค้า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เมื่อวานคนของขันทีปอไปพบอีกฝ่ายมาแล้ว ปรึกษาหารือเกี่ยวกับเื่ของเ้า ให้นำเงินส่วนที่ขาดไปมาคืน ผลักภาระความรับผิดชอบให้ขันทีสกุลอวี๋ น่าจะเป็แผนการที่พวกเขาปรึกษากันไว้นานแล้ว แน่นอนว่า ยังต้องคอยดูท่าทีว่าเ้าจะทำให้พวกเขาคายเงินที่ขาดไปออกมาได้หรือไม่” กู้จวิ้นเฉินรู้ว่าเดิมทีหลี่ลั่วอยากจัดการเื่นี้อย่างเงียบๆ
“ดังนั้นจึงดียิ่งที่มีท่านพี่ฉีอ๋อง” หลี่ลั่วรีบประจบประแจง
“ฮึ” กู้จวิ้นเฉินดูเหมือนเป็คนที่จะมาประจบสอพลอได้โดยง่ายหรือไร
ไปกลับเสียเวลาเดินทางอยู่หลายชั่วโมง แม้กระทั่งอาหารเที่ยงก็ไม่ได้กิน ยังดีที่บนรถม้ามีของว่างมากมาย จึงได้อาศัยรองท้องไปบ้าง เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงก็เป็เวลาบ่ายสองโมงแล้ว
“ท่านอยากจะเข้ามานั่งในจวนโหวหรือไม่ขอรับ?” หลี่ลั่วเชื้อเชิญ
กู้จวิ้นเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เ้าอยากให้ข้าไปรึ?”
คำพูดไฉนฟังแล้วอย่างไรก็ไม่ใช่ความหมายนี้เล่า แต่หลี่ลั่วก็ยังคงพยักหน้า “อื้ม วันนี้ท่านไปเป็เพื่อนข้า ย่อมเหนื่อยแล้ว เข้ามาพักผ่อนในเรือนของข้าสักครู่เถิด ข้าจะให้พวกเขาผัดกับข้าวสักหลายอย่าง แล้วยังมีเหล้าองุ่นอีกด้วยนะขอรับ”
“ในเมื่อเ้าใจกว้างเช่นนี้ ข้าก็รบกวนแล้ว” กู้จวิ้นเฉินลงรถม้าตามไป
หลี่ลั่วอดไม่ไหวได้แต่โอดครวญในใจว่า สรุปแล้วฉีอ๋องไม่รู้จักว่าอันใดเรียกว่าหน้าหนาใช่หรือไม่?
หลี่ลั่วพากู้จวิ้นเฉินตรงไปยังเรือนโฉวงจี๋ ครั้งที่แล้วที่กู้จวิ้นเฉินมานั้นได้ไปเพียงแค่ศาลาต้อนรับแขก ส่วนเรือนของหลี่ลั่วและห้องหนังสือนั้นยังไม่เคยมา ครั้งนี้ให้ฉีอ๋องค่อยๆ เดินชมดูได้ เพียงแต่เมื่อเห็นห้องหนังสือของหลี่ลั่ว เขากลับคาดไม่ถึงเล็กน้อย “ล้วนเป็หนังสือแพทย์”
“ภูมิใจหรือไม่? ข้าว่าที่ภรรยาของท่านเป็อัจฉริยะ” หลี่ลั่วดีใจอย่างลืมตัวคลานขึ้นไปบนเก้าอี้ของตน จากนั้นหยิบแบบการตกแต่งร้านค้าเพื่อการกุศลออกจากลิ้นชัก แบบมีสองชุด ชุดหนึ่งให้พ่อบ้านจี้นำไปให้นายช่างตกแต่ง “ท่านพี่ฉีอ๋องมาทางนี้ขอรับ ข้าจะให้ท่านดูสิ่งนี้”
กู้จวิ้นเฉินเดินไปอยู่ข้างกายหลี่ลั่ว ด้วยเหตุที่มีเก้าอี้เพียงตัวเดียว เขาจึงอุ้มหลี่ลั่วมาวางลงบนขาของตนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ของหลี่ลั่วแทน “นี่คืออะไร?”
“นี่คือร้านค้าของจวนโหว ข้านำมันมาปรับเปลี่ยนเป็ร้านค้าใหม่” หลี่ลั่วแนะนำร้านค้าทั้งสามห้องรอบหนึ่ง “เป็เช่นใดบ้างขอรับ?”
กู้จวิ้นเฉินฟังแล้วดวงตาเป็ประกายเล็กน้อย คาดไม่ถึงอยู่บ้าง “สมองน้อยๆ ของเ้า ไฉนจึงมักจะมีความคิดแปลกประหลาดนัก หืม?”
คางของเขาค้ำอยู่บนหัวไหล่ของหลี่ลั่ว น้ำเสียงใสเป็กังวานที่ดังอยู่ริมหูนั้นช่างดึงดูดใจผู้คนยิ่งนัก ยามที่กู้จวิ้นเฉินพูดนั้นเขามักจะจ้องมองฝ่ายตรงข้ามไปด้วยอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อสักครู่เขาจึงกำลังจ้องใบหน้าด้านข้างของหลี่ลั่วอยู่ ริมฝีปากของเขาที่อยู่ด้านล่างติ่งหูหลี่ลั่วส่งลมหายใจอุ่นร้อนออกมา ใกล้เสียจนรู้สึกราวกับว่าริมฝีปากของเขาััถูกคอของหลี่ลั่ว
คันยิบๆ ชวนให้จั๊กจี้
หัวใจดวงน้อยของหลี่ลั่วเต้นรัวเร็วดังตุบๆ
“เป็อันใดไป?” กู้จวิ้นเฉินรับรู้ได้ว่าหัวใจของหลี่ลั่วพลันเต้นระรัว ประสาทการได้ยินและการรับรู้ของผู้ฝึกยุทธ์นั้นอ่อนไหวยิ่ง กู้จวิ้นเฉินยื่นมือออกมากดหัวใจของหลี่ลั่ว หัวใจดวงน้อยยังใหญ่สู้ฝ่ามือของกู้จวิ้นเฉินไม่ได้ เนื้อบริเวณหน้าอกก็ยังนุ่มนิ่ม กู้จวิ้นเฉินจึงจับด้วยความแปลกใจ ความรู้สึกที่มือััได้นั้นช่างดียิ่งนัก
หลี่ลั่วอยากจะเป็ลม คนผู้นี้จะรู้หรือไม่ว่าการที่มาท้าทายเกย์วัยยี่สิบกว่านี้เช่นนี้เป็การกระทำที่ไร้คุณธรรมเป็ที่สุด
“ไฉนหัวใจจึงเต้นเร็วเช่นนี้เล่า?” กู้จวิ้นเฉินถามอีก
หลี่ลั่วแบะปาก “ร้อนเกินไปขอรับ”
กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้ว มองหน้าแดงก่ำของเขา แววตาปรากฏรอยยิ้มวิบวับอยู่ข้างใน เพียงแต่หลี่ลั่วที่นั่งหันหลังให้เขามองไม่เห็นก็เท่านั้นเอง “เปิ่นหวางตัวเย็น ลดความร้อนให้เ้าได้”
หลี่ลั่วจะร่ำไห้อยู่รอมร่อ
กู้จวินเฉินตบๆ ใบหน้าของเขา “การออกแบบร้านค้าสามห้องของเ้าไม่เลวเลยทีเดียว แต่เ้าเป็จงหย่งโหว เป็พระชายาของข้า อย่าไปปะปนอยู่กับเหล่าพ่อค้า”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
“ในเมื่อจะทำกิจการเกี่ยวกับการกุศล เช่นนั้นก็ให้เสด็จอาประทานป้ายบ้านการกุศลให้เถิด” กู้จวิ้นเฉินกล่าวอีก
ดวงตาของหลี่ลั่วเป็ประกาย แม้ว่าเขาจะมีความคิดนี้อยู่เช่นกัน แต่ทว่าไม่กล้าร้องขอจากจ้าวหนิงฮ่องเต้ จะอย่างไรนั่นก็คือฮ่องเต้ “เช่นนั้นท่านพี่ฉีอ๋องจะช่วยข้าใช่หรือไม่?”
“เป็เื่ง่ายเพียงยกฝ่ามือ”
“ยังต้องให้หมอเทวดาเมิ่งช่วยด้วยขอรับ” หลี่ลั่วถือโอกาสกล่าวอีก “วันที่เปิดกิจการนั้นให้หมอเทวดาเมิ่งออกมาปรากฏโฉมหน้าสักหน่อย”
“เมิ่งเต๋อหลางตลอดชีวิตล้วนทำเพื่อการกุศล เขาต้องยินดีอย่างยิ่งเป็แน่” ไม่เช่นนั้นฉายาหมอเทวดาจะมาได้อย่างไรเล่า?
ทั้งสองคนคุยกันอยู่ในห้องหนังสือครู่หนึ่ง อาหารกลางวันทำเสร็จแล้ว เวลานี้หากผ่านไปอีกสักสองชั่วโมงก็สามารถกินอาหารเย็นได้แล้ว ดังนั้นอาหารกลางวันพวกเขาจึงกินอิ่มเพียงแค่หกส่วน ไม่อย่างนั้นจะกินอาหารเย็นไม่ได้
กินข้าวเสร็จ หลี่ลั่วก็ได้แต่มองกู้จวิ้นเฉินตาปริบๆ เ้าหนุ่มนี่สมควรจะกลับไปได้แล้ว แต่กู้จวิ้นเฉินกลับพูดว่า “ไปนั่งพักที่ห้องของเ้าสักครู่”
อะไรนะ?
“รู้ว่าเ้าตัดใจจากข้าไม่ได้ เปิ่นหวางเป็คนทะนุถนอมว่าที่ภรรยาคนหนึ่ง” เห็นสีหน้าน่าสงสารของเขาแล้วไม่ใช่ตัดใจไม่ได้หรอกหรือ? “ไปนอนพักด้วยกันสักครู่เถิด”
ฉีอ๋องไม่ได้เปิดโอกาสให้หลี่ลั่วปฏิเสธ เดินนำเข้าไปนอนพักทันที
เหล่าสาวใช้เอามือปิดปากแอบหัวเราะ เป็ครั้งแรกที่เห็นเสี่ยวโหวเหฺยพูดไม่ออก จึงจะรู้สึกว่าเช่นนี้จึงจะเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง ช่างน่ารักเสียจริง แม้ว่าหลี่ลั่วอยากจะโอดครวญ แต่เมื่อไปถึงเตียงนอนแล้วเอนกายนอนลงเคียงข้างกู้จวิ้นเฉินได้ก็กลับเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าในใจของเขาจะอยากโอดครวญเพียงใด ล้วนเปลี่ยนความเคยชินในยามหลับของเขาที่จะซุกเข้าไปในอ้อมกอดของผู้อื่นไม่ได้จริงๆ
ช่างเป็...เ้าสารเลวตัวน้อยที่ปากไม่ตรงกับใจอย่างยิ่ง กู้จวิ้นเฉินคิดเช่นนี้
เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง
กู้จวิ้นเฉินถูกความร้อนในอ้อมกอดปลุกให้ตื่น หลังจากตื่นขึ้นแล้วจะทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ เขาเป็คนหลับยากมาโดยตลอด การที่มานอนอยู่บนเตียงกันสองคนแล้วยังสามารถนอนหลับลงได้เช่นนี้ เป็เพราะว่าเขามีความเชื่อใจต่อเ้าสารเลวตัวน้อย ถูกต้องแล้ว ั้แ่วันที่เขาบอกว่าสามารถถอนพิษในร่างกายของเขาได้ เขาก็เกิดความเชื่อใจต่อหลี่ลั่วอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
และด้วยความเชื่อใจ เขาจึงยอมรับการนอนร่วมเตียงกับเ้าสารเลวตัวน้อยได้ ถึงกับนอนหลับอย่างวางใจ เขายื่นมือมาลูบไล้ใบหน้าของหลี่ลั่วอย่างอ่อนโยน จากนั้นลูบปลายคางของหลี่ลั่วอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นแล้วจึงลุกขึ้นจากเตียง
“ท่านอ๋อง” เมื่อเห็นกู้จวิ้นเฉินออกมา องครักษ์หน้าประตูต่างคารวะตามธรรมเนียม
เรือนโฉวงจี๋มีองครักษ์ยี่สิบนายยืนยามเข้ากะ หลี่ลั่วให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของตนเองอย่างแข็งแกร่ง เป็เพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่ง ไฉนจึงมีความระมัดระวังเช่นนี้ กู้จวิ้นเฉินย่อมรู้ว่า ที่จริงแล้วมีข้อสงสัยในตัวหลี่ลั่วมากมาย การพูดจา พฤติกรรม ไม่เหมือนกับเด็กวัยห้าขวบเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่กู้จวิ้นเฉินคิดหาเหตุผลไปอธิบายสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงเปิดใจยอมรับ
แล้วอีกอย่าง เขาสามารถมองเห็นในดวงตาของหลี่ลั่ว สายตาของเขาจ้องตนด้วยความชมชอบ ฉีอ๋องคิดว่าเด็กน้อยคนนี้หลงรักตน ดังนั้นเขาย่อมยินดี
“ถึงเวลากินข้าวอย่าลืมเรียกเ้านายของพวกเ้า” กู้จวิ้นเฉินกำชับอีกหนึ่งประโยค จากนั้นจึงออกไปกับจวิ้นอี
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหลี่ลั่วตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นกู้จวิ้นเฉินแล้ว เห็นเพียงแต่จดหมายที่เขาวางไว้ข้างหมอน ‘ผ้าที่นำมาทำถุงเท้ายังมีอีกหรือไม่?’
การอ่านจดหมายของกู้จวิ้นเฉินไม่สามารถทำความเข้าใจจากเพียงแค่ตัวอักษร ต้องมีจินตนาการของตนเองด้วย กู้จวิ้นเฉินถามถึงเนื้อผ้า ความจริงแล้วเขาอยากพูดว่าถุงเท้าสี่คู่เขาไม่พอผลัดเปลี่ยน หลี่ลั่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา น่าเสียดายที่เนื้อผ้านั้นคงต้องรอปีหน้า
วันถัดมา
หาได้ยากนักที่หลี่ลั่วจะไปคารวะยามเช้าที่เรือนหยวนเซ่อ ซ้ำยังนำเงินจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงที่ได้มาจากขันทีปอเมื่อวานนี้มาด้วย ทำให้หลี่หยางซื่อใจนสะดุ้ง เงินจำนวนหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงเชียวนะ ไม่ใช่หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึง “นี่คือ?”
“นี่คือเงินที่ขันทีของกรมวังโกงจวนโหวของเราในหกปีมานี้ เมื่อวานท่านพี่ฉีอ๋องไปเป็เพื่อนข้าและนำกลับมา เื่นี้ได้ชำระเรียบร้อยเช่นนี้แล้ว ข้าจึงมาบอกกล่าวกับมารดา” หลี่ลั่วกล่าว
“ข้ารู้” เื่ของกรมวังพวกเขาไม่สามารถยื่นมือเข้าไปได้ “เงินจำนวนนี้วางไว้ที่เ้าเป็เช่นไร ยามที่เ้าติดต่อผู้คนยังต้องใช้” แม้ทุกวันนี้จวนโหวจะขาดเงินทอง แต่เมื่อหลี่หยางซื่อคิดได้ว่าเงินจำนวนนี้หลี่ลั่วเป็ผู้เอาคืนมา ก็รับเอาไว้ไม่ลง หากสินสอดของหลี่หงจัดการเรียบร้อย จวนโหวแทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เฮ้อ...
“กองกลางยัง้าเงิน งานแต่งงานของพี่ใหญ่ย่อม้าใช้เงิน งานมงคลครั้งแรกของจวนโหวของพวกเรา ย่อมให้ผู้อื่นเห็นเป็เื่ตลกขบขันไม่ได้ ดังนั้นเงินนี้ไว้ที่มารดา แม้ทุกปีจะยังมีเงินจากรายได้ค่าเช่าหนึ่งพันตำลึง แต่จวนโหวของพวกเราจะอยู่อย่างแร้นแค้นมิได้ การพบปะผู้คน เตรียมของขวัญ มารดาต้องมีเงินในส่วนนี้ และต่อไปยังจะต้องทาบทามเื่คู่ครองของพี่หญิงใหญ่อีก” หลี่ลั่วอธิบาย
หลี่หยางซื่อฟังแล้วดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ถูกต้อง จวนโหวที่มีหน้ามีตา ไฉนจึงได้แร้นแค้นเช่นนี้ เมื่อคิดถึงบุตรชายและบุตรสาวของตน แล้วย้อนกลับมาคิดถึงหลี่ลั่ว บุตรชายและบุตรสาวของนางรวมกันยังสู้ความเอาใจใส่ของหลี่ลั่วไม่ได้เลย และไม่มีความสามารถและสติปัญญาเช่นหลี่ลั่ว คนมักจะถูกความจริงทำให้พ่ายแพ้เสมอ จากนั้นจึงยอมจำนน การที่ซวี่เกอเลือกหลี่ลั่วเป็ผู้สืบทอดจวนโหวอาจจะมีเหตุผลเหมาะสมของเขา นางเองไม่ใช่คนที่เห็นแก่หน้าตาชื่อเสียง เดิมทีคิดเพียงจะครองคู่กับสามีของตนจนวันตาย บัดนี้...หลี่หยางซื่อไม่เกรงใจอีกแล้ว
เดือนเก้า จวนโหวมีเื่น่ายินดีเื่หนึ่ง เป็เื่เกี่ยวกับการสอบระดับมณฑล ผลการสอบประกาศออกมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่า์ไม่มีตาหรืออย่างไร หลี่ฉือสอบได้ ส่วนหลี่โจวสอบตก
เื่นี้สำหรับจวนโหวแล้วนั้นเป็เื่มงคลที่หาได้ยากยิ่งจริงๆ ดังนั้นเรือนใหญ่จึงเต็มไปด้วยกลิ่นอายมงคลอันน่ายินดีนี้ โดยเฉพาะภรรยาหลี่ฮุย หลายวันมานี้แม้กระทั่งการเดินเหินราวกับมีสายลมพัดพา ในที่สุดหลี่ฉือก็สำเร็จการศึกษาที่สำนักศึกษากั๋วจื่อเจียนแล้ว บัณฑิตที่รอการสอบเคอจวี่ทั้งหลายต้องรอการสอบต่อหน้าพระที่นั่งในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า
ก่อนหน้านี้หลี่ลั่วยังพูดกับหลี่หงอยู่เลยว่า ดูท่าทางหลี่ฉือมีอนาคตเสียที่ไหนกัน คิดไม่ถึงว่าจะเป็การตบปากตนเองเสียแล้ว
ยามนี้เรือนใหญ่อาศัยอยู่ในจวนโหว การสอบผ่านเป็บัณฑิตรอการสอบเคอจวี่นี้ต้องจัดงานแสดงความยินดี ดังนั้นภรรยาหลี่ฮุยจึงคิดที่จะเชิญญาติมิตรและเพื่อนสนิทมาร่วมฉลองที่จวนโหว นางจึงมาปรึกษากับหลี่หยางซื่อ ฐานะของหลี่หยางซื่อในจวนโหวก็คือเ้าบ้านฝ่ายหญิง
แต่ครอบครัวหนึ่งยินดี อีกครอบครัวหนึ่งกลัดกลุ้ม หลี่โจวสอบไม่ผ่าน ทำให้เรือนที่สามไม่ยินดีเท่าใดนัก แต่ภรรยาหลี่ฮุยไม่คิดจะใส่ใจเื่เหล่านี้ ั้แ่เกิดเื่ของหลี่หม่านกับเรือนที่สาม หลังจากขัดแย้งกับหลี่เหล่าไท่ไท่ จิตใจของภรรยาหลี่ฮุยก็ย้ายมาอยู่ฝั่งเรือนที่สอง และใกล้ชิดกับหลี่หยางซื่อมากขึ้น
หลี่ฉือมีเื่มงคลเช่นนี้ต้องมอบของขวัญ หลี่หยางซื่อมอบผ้าเป็ของขวัญ นางเก็บแพรพรรณกลับมาจากร้านค้าเป็จำนวนมาก ย่อมต้องได้ใช้เป็แน่ ดังนั้นหลี่หยางซื่อจึงส่งผ้าที่เหมาะสมกับหลี่ฉือไปพับหนึ่ง
หลี่ลั่วนั้นให้ผิงอันนำเงินสองร้อยตำลึงไปส่ง เมื่อเป็เช่นนี้ ภรรยาหลี่ฮุยได้รับเงินจึงเอ่ยกับหลี่ฮุยว่าอย่างไรลั่วเกอเอ๋อร์ก็เป็คนใจกว้าง
หลังจากเื่นี้ ครอบครัวสกุลหลี่จวนจงกั๋วกงยังมีเื่น่ายินดีเกิดขึ้นอีกเช่นกัน จงกั๋วกงเกษียณราชการแล้ว กลายเป็เหล่ากั๋วกง ในที่สุดซื่อจื่อหลี่เฉินในวัยสามสิบเก้าปีก็ได้เลื่อนจากซื่อจื่อมาเป็จงกั๋วกง ส่วนหลี่หลินซื่อที่ยังสาวอยู่มากนั้นก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็จงกั๋วกงฮูหยินวัยสาว และเื่ที่สองคือ หลี่เจ๋อได้รับแต่งตั้งเป็ซื่อจื่อ ทว่าด้วยเื่น่ายินดีเื่ที่สาม จึงทำให้ทุกคนรู้สาเหตุของเื่น่ายินดีสองเื่ก่อนนี้ เื่มงคลของจวนจงกั๋วกงเื่ที่สามก็คือ การแต่งงานระหว่างซื่อจื่อหลี่เจ๋อกับท่านหญิงฉุนเหอ ฤกษ์แต่งงานของทั้งสองคนกำหนดไว้ในเดือนสามของปีหน้า
ธิดาสุดที่รักของฉุนหยางอ๋อง กับบุตรชายคนโตของจงกั๋วกง ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก
ฤดูใบไม้ผลิ เดือนสาม เป็ฤกษ์งามยามดียิ่ง
เื่น่ายินดีสองเื่ก่อนหน้านี้เป็เื่ของครอบครัวขุนนางสกุลหลี่ ยังมีอีกเื่น่ายินดีสำหรับหลี่ลั่วอีกเื่หนึ่ง มารดาเลี้ยงของหลี่ลั่ว ภรรยาเอกของหลี่ซื่อหลางตั้งครรภ์แล้ว เป็นายอำเภอของอำเภอซงหลิ่งส่งคนถือจดหมายมาส่งข่าว หลี่ลั่วกำลังอ่านจดหมาย
ข้าราชการชั้นผู้น้อยนั่งอยู่ด้านหนึ่งด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย เพิ่งเคยมาเมืองหลวงเป็ครั้งแรก แล้วยังเป็จวนโหวที่หรูหราและสูงส่ง น้ำชาที่หลี่ลั่วเชิญให้เขาดื่มวางอยู่บนโต๊ะ ยังมีของว่างที่หลี่ลั่วเชิญให้เขากิน เสี่ยวโหวเหฺยท่านนี้เขาเคยพบที่จวนว่าการอำเภอเมื่อเดือนห้าครั้งหนึ่ง เทียบกับยามนี้แล้วไม่เหมือนกันแม้สักนิดเดียว ยามนั้นหลี่ลั่วเป็เพียงเทพเซียนตัวน้อยที่งดงามราวหยกสลักผู้หนึ่ง ยามนี้กลิ่นอายอันสูงศักดิ์นั้น...ราวกับเป็องค์ชายน้อย
นี่แหละหนา เมืองหลวงแห่งนี้ที่หล่อหลอมคนออกมา
จดหมายฉบับนี้เขียนโดยนายอำเภอ ครอบครัวสกุลหลี่ในหมู่บ้านสกุลหลี่ล้วนไม่รู้จักตัวหนังสือ นอกจากมารดาเลี้ยง หลี่ซื่อเหนียงที่รู้จักตัวหนังสือเพียงไม่กี่ตัว
ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า ที่จริงแล้วหลังจากเขาจากไปไม่นาน หลี่ซื่อเหนียงได้แต่งให้กับท่านอาเล็กที่สติไม่ดีในวัยสิบแปดปี หลี่อู่หลาง ต่อมาหลี่ซื่อเหนียงได้ตั้งครรภ์เมื่อต้นเดือนแปด
เมื่อหลี่ลั่วจากมานั้นได้รบกวนให้นายอำเภอช่วยดูแลครอบครัวสกุลหลี่ มีเื่อันใดให้เขียนจดหมายแจ้งมาทางเมืองหลวง นายอำเภอเองคิดว่าเื่นี้ก็ถือว่าเป็เื่ใหญ่ ดังนั้นจึงเขียนจดหมายให้หลี่ลั่ว
หลี่ลั่วทอดถอนใจกับสติปัญญาของท่านย่าหลี่ ภรรยาม่ายของบุตรชายคนที่สี่ แต่งให้กับบุตรชายคนที่ห้าที่สติไม่สมประกอบ เื่เช่นนี้หากเป็ครอบครัวคนทั่วไป...คนในชนบทนั้นทำออกมาได้ บุตรชายสติไม่ดีมีภรรยา สะใภ้ม่ายในเรือนเองก็ไม่เกรงกลัวคำติฉินนินทา ช่างคิดได้รอบคอบดีแท้
หลี่ลั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงให้ผิงอันไปเบิกผ้าแพรพรรณแบบธรรมดาสามัญมาหลายพับจากหลี่หยางซื่อ หนึ่งในนั้นสีสันสดใส พับนั้นเตรียมไว้ให้ภรรยาของนายอำเภอ ส่วนพับอื่นๆ เตรียมให้คนในครอบครัวสกุลหลี่ ทั้งยังให้ลวี่ผิงไปซื้อรังนกและโสมสำหรับให้ท่านย่าหลี่และหลี่ซื่อเหนียงบำรุงร่างกาย จากนั้นยังได้ตรียมเงินให้อีกหนึ่งร้อยตำลึง สิ่งของทั้งหมดนี้หลี่ลั่วให้องครักษ์สองนายเป็ผู้ส่งไป ในขณะเดียวกันก็ได้ให้ค่าเหนื่อยแก่ข้าราชการผู้นั้นเป็เงินสิบตำลึง
วันถัดมา องครักษ์ทั้งสองและข้าราชการผู้นั้นออกเดินทางพร้อมกัน
องครักษ์ทั้งสองมาถึงหมู่บ้านสกุลหลี่ในหกวันให้หลัง
“ท่านย่าหลี่อยู่หรือไม่? มีคนอยู่หรือไม่?” ข้าราชการร้องถาม
“เรียกผีหรือไร?” เสียงอันดังก้องของท่านย่าหลี่ลอยออกมากจากเรือนด้านใน “เช้าตรู่เช่นนี้ นี่จะทำอันใด?” ท่านย่าหลี่ไม่ได้แก่ชราเหมือนเมื่อยามที่หลี่ลั่วจากไป ใบหน้าที่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกนั้นมีเนื้อขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าดูไปแล้วนางจะดูตัวเล็กๆ แต่สติปัญญาเฉียบไวยิ่ง
บ้านเรือนของครอบครัวสกุลหลี่ได้ก่อสร้างใหม่แล้ว นำเรือนเดิมมาทำการก่อสร้างใหม่ และขยายออกไปด้วย เช่น เรือนใหญ่ที่มีเพียงสะใภ้ม่ายและหลานสาวอาศัยอยู่กับท่านย่าหลี่ ท่านย่าหลี่เจิง และอาหญิงเล็ก อยู่ด้วยกันห้าคน ส่วนท่านลุงรองที่ขาพิการ สะใภ้รอง และบุตรสาวนั้นก็อยู่ด้วยกันหนึ่งครอบครัว หลี่อู่หลางและหลี่ซื่อเหนียงที่เพิ่งจะแต่งงานกันก็อยู่ด้วยกัน
แม้ว่าจะขยายเรือนออกไปแล้ว แต่ก็เพียงเป็การเรียกให้คนในหมู่บ้านมาช่วยกัน จึงเสียค่าจ้างเป็อาหารเพียงไม่กี่มื้อ ใช้เงินไปยี่สิบตำลึง เงินที่หลี่จงิให้ไว้จำนวนหนึ่งร้อยตำลึง ยามนี้จึงเหลือแปดสิบตำลึง เวลานี้หลี่ซื่อเหนียงตั้งครรภ์แล้ว ท่านย่าหลี่คาดหวังเป็อย่างยิ่งว่าจะเป็บุตรชาย จึงดูแลนางเป็อย่างดีในทุกๆ วัน
สำหรับท่านย่าหลี่แล้วนั้น ขอเพียงเป็แม่ไก่ที่ออกไข่ได้ล้วนเป็แม่ไก่ที่ดี
ข้าราชการผู้นั้นถูกคำพูดของท่านย่าหลี่ทำให้สะอึก “มีแขกมาจากเมืองหลวงขอรับ ท่านย่าหลี่” เขาเพิ่งพูดจบ ท่านย่าหลี่กลับคล้ายกับเป็ะเิที่พุ่งออกมา “หลานของข้ามาหรือ? หลานข้าเล่า?” เมื่อพูดถึง ‘เมืองหลวง’ สองคำนี้ ท่านย่าหลี่คิดถึงได้แต่หลานรักของนางเท่านั้น
เมื่อยามที่หลานชายเดินทางไปไม่กี่วันนั้น นางยังแอบร่ำไห้อยู่หลายครั้ง กระทั่งเดือนแปดหลี่ซื่อเหนียงได้ตั้งครรภ์แล้ว นางจึงค่อยๆ วางใจลงได้
“เหล่าไท่ไท่ เสี่ยวโหวเหฺยยุ่งกับเื่ในจวน จึงให้ข้าน้อยมาแทนขอรับ” องครักษ์กล่าวอย่างมีมารยาท
[1] ในยุคจีนโบราณตำแหน่งแม่ทัพเรียกกันว่า หยวนไซว่ (元帅) หรือเรียกสั้นๆ ว่า “ไซว่” ซึ่งในปัจจุบันนี้คำว่าไซว่ยังมีความหมายว่า “เท่” (帅) ได้อีกด้วย