“อวี๋เคอ ไม่ได้เจอกันหลายปีเ้าก็ยังมุทะลุและโอหังแบบนี้เหมือนเดิมเลยนะ” ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังอยู่ในบรรยากาศชะงักงันทันใดนั้นก็ได้มีเสียงถอนหายใจอันแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากห้วงลึกของูเาฉิงชาง
อวี๋เคอมองไปตามที่มาของเสียงนั้นก็เห็นชายชราสามคนในชุดสีเรียบกำลังเหาะตัวลอยอยู่บนอากาศจากระยะไกล บนใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มแจ่มใสอย่างไม่จริงใจนักและไม่สามารถมองเห็นว่าพวกเขาเคลื่อนไหวอย่างไร แต่ภายในเวลาไม่ถึงสองวินาทีพวกเขาก็มายืนอยู่ห่างในระยะสิบเมตรตรงหน้าเขาแล้ว
“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์อา [1] ขอรับ! ”
“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ปู่ [2] ขอรับ! ”
ไป๋ลี่คุกเข่าลงคำนับให้ชายชราก่อนสิ่งอื่นใดจากนั้นศิษย์สำนักฉิงชางต่างก็คุกเข่าลงไปตามๆ กัน แล้วเอ่ยคารวะทั้งสามคนว่าท่านอาจารย์ปู่ด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
หัวใจของอวี๋เคอสั่นสะท้านอารมณ์ปั่นป่วนที่เพิ่งสงบลงได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งเขารู้จักสภาพร่างกายของตัวเองเป็อย่างดี จงอย่ามองว่าการที่เขายืนหยัดตัวตรงและดูมีพลังต่อสู้มากในตอนนี้ จะดูเหมือนว่าไม่มีใครสามารถเอาชนะได้เพราะความเป็จริงแล้วเขาไม่ได้เก่งไปกว่าหร่วนสือจิ่วและคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นเลย
หากเขาเดาไม่ผิด ทั้งสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็คือสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ซ่อนตัวอยู่หลังูเาของสำนักฉิงชางความแข็งแกร่งของพวกเขาก็น่าจะอยู่ใน่เริ่มต้นของขั้นมหายาน หากตนเองอยู่ใน่ที่มีพลังเต็มเปี่ยมก็ยังคงสามารถต่อสู้กับพวกเขาได้หากตอนนี้พวกเขายืนหยัดที่จะร่วมมือกันสู้ ไม่แน่ว่าวันนี้เขาอาจจะตายอยู่ที่นี่ก็เป็ได้
อวัยวะภายในทั้งหมดปั่นป่วนไปชั่วครู่ ในโพรงปากของอวี๋เคอเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเืแต่ก็จำต้องกล้ำกลืนมันลงไป เขาอาจจะถูกฆ่าได้แต่จะถูกหยามไม่ได้แม้ว่าเขาจะไม่อาจหลบหนีไปได้ในวันนี้ แต่จะไม่แสดงท่าทีอ่อนแอออกมาให้พวกสำนักฉิงชางได้เห็นแม้แต่นิดเดียว!
“ข้าผู้นี้เคยชินกับการกระทำเช่นนี้ไปแล้วแต่กับตาเฒ่าสามคนเช่นพวกเ้าที่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี พอดั้นด้นมุดออกจากรังมาได้ก็คิดจะฉวยโอกาสเหยียบซ้ำกันตอนอ่อนแอเสียนี่”
“อวี๋เคอ หุบปากของเ้าไปเสีย! ” เมื่อไป๋ลี่ที่กำลังคุกเข่าลงข้างหนึ่งด่าอวี๋เคอไปเสร็จสรรพจึงเงยหน้าขึ้นมองชายชราทั้งสามคนอีกครั้ง และกล่าวด้วยความเสียใจว่า “เป็เพราะศิษย์ไม่มีความสามารถวันนี้จึงพ่ายแพ้อยู่ภายใต้เงื้อมมือของปีศาจตนนี้ซ้ำยังรบกวนท่านอาจารย์อาทั้งสามอีก ท่านอาจารย์ได้โปรดลงโทษด้วยเถิดขอรับ”
ชายชราที่อยู่ในชุดสีเรียบผู้นั้นไม่สนใจวาจาของอวี๋เคอเลยสักนิดเขาโบกมือเป็สัญญาณบอกให้ไป๋ลี่และคนอื่นๆ ลุกขึ้นน้ำเสียงอันนุ่มนวลประกอบกับรูปร่างที่ผอมเพรียวทำให้ท่วงท่านั้นดูสง่างามเหลือล้น “ในตอนนั้นแม้ข้าและอาจารย์อาของเ้ารวมมือกันก็ยังเอาชนะคนผู้นี้ได้ยากดังนั้นการจะเอาชนะอวี๋เคอด้วยพลังของพวกเ้านั้นเป็เื่ที่ไม่ง่ายเลย”
ชายชรามองไปที่อวี๋เคออีกครั้งด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความจริงจัง พร้อมกับกล่าวอย่างสุภาพพอควรว่า “อวี๋เคอเมื่อร้อยปีก่อนข้าไม่สามารถต่อกรกับเ้าได้ แต่เื่ราวเมื่อร้อยปีเ่าั้ได้ผ่านไปแล้วและที่พวกเราทั้งสามคนออกจากูเามาในวันนี้ก็เพื่อ้าที่จะศึกษาความแข็งแกร่งของเ้าอีกครั้งเ้าคงจะรู้สึกเป็เกียรติใช่ไหม? ”
...หากไม่ใช่เพื่อรักษาภาพลักษณ์อันน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ของตนอวี๋เคอก็อยากจะด่าตาแก่นั่นกลับไปสักคำหนึ่งจริงๆ ! ให้ตายสิ!ทำไมทุกคนที่เขาพบเจอในสำนักฉิงชางถึงได้ไร้ยางอายกันนัก!เขาคิดว่าการที่ไป๋ลี่ร่วมมือกับคนทั้งสำนักเพื่อจัดการกับเขาก็ว่าหน้าไม่อายพอแล้วแต่เวลานี้ตาแก่เหล่านี้กลับสามารถพูดวาจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย!
แล้วที่กล่าวว่าทั้งสามคนร่วมมือกันจนพ่ายแพ้ไปก่อนหน้านี้วันนี้ก็เลย้าที่จะมาศึกษามันอีกครั้ง? พวกเ้าก็ไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย เหตุใดจึงดูไม่ออกว่าอาการาเ็ของเขาหนักถึงขั้นไหนแล้ว? ฉวยโอกาสมาเอาเปรียบตอนอ่อนแอยังไม่พอยังจะหาเหตุผลอันชอบธรรมมาแก้ต่างให้ตัวเองอีก
เป็เกียรติอย่างนั้นหรือ? รักษาเกียรติของเ้าเองเถอะ!
อวี๋เคอถูกทำให้โกรธจนไม่สามารถทนได้จากนั้นจึงไอออกมาสองครั้งอย่างทนไม่ไหวก่อนจะรีบเอามือปิดปากเพื่อไม่ให้เป็ที่สังเกต เพียงครู่เดียวก็วางมือลงในขณะที่สีหน้าก็ได้กลับมาเป็ปกติเป็ที่เรียบร้อยแล้วจากนั้นจึงหัวเราะเยาะเย้ยว่า “อาจารย์เป็คนอย่างไรก็สอนลูกศิษย์ให้ออกมาเป็คนแบบนั้นจริงๆไม่นึกเลยว่าผู้เป็เลิศที่สูงส่งเป็อันดับต้นๆ ทั้งสามแห่งโลกผู้ฝึกตนจะเป็คนไร้ยางอายเช่นนี้วันนี้ข้าผู้นี้ได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างแล้ว และก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโลกผู้ฝึกตนของพวกเ้าถึงได้อ่อนแอกว่าโลกปีศาจ!ในเมื่อพวกเ้า้าร่วมสู้ด้วย เช่นนั้นก็เข้ามาเถอะ ข้าผู้นี้จะอยู่กับพวกเ้าจนถึงที่สุด!”
ซ่งฉียวนมองอวี๋เคอที่ยืนอยู่กลางอากาศจากที่ไกลๆด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนผู้นี้ถึงใจเย็นได้เช่นนี้ทั้งที่ใกล้จะตายอยู่รอมร่อก็ยังไม่ยอมอ่อนน้อมเช่นนี้อยู่อีกอีกอย่างท่ามกลางความโกลาหลเมื่อครู่นี้ เขาจะฉวยโอกาสสังหารเ้าสำนักและเหล่าผู้าุโก็ย่อมได้แต่กลับไม่ลงมือ ดูเหมือนว่าการกระทำของเขาจะดูมีเมตตามากกว่าผู้ฝึกตนของพวกเขาเสียอีกช่างทำให้ผู้คนคาดเดาไม่ออกจริงๆ
แต่หากเขาเป็คนเช่นนี้จริงๆแล้วเหตุใดเขาจึงฆ่าล้างตระกูลซ่งอย่างไร้เหตุผลกัน? และในการประลองเมื่อสักครู่นี้เขาหมายจะเอาชีวิตตนให้ถึงตายงั้นหรือ? เขาเองอยากรู้จริงๆ ว่าชายคนนี้คิดอย่างไรกับชีวิตมนุษย์กันแน่
“เช่นนั้นข้าก็ขอคำชี้แนะเลยแล้วกัน!”
ชายชราทั้งสามเริ่มเคลื่อนไหวต่อๆ กัน และเข้ารายล้อมอวี๋เคอเอาไว้ก่อนจะท่องคาถา จากนั้นกระบี่ของตนก็ปรากฏออกมาทั้งสามคนล้วนเป็ผู้มีวิชาแก่กล้าอันดับต้นๆ ของโลกผู้ฝึกตนระดับกระบี่จึงย่อมไม่เลวร้าย ตอนนี้กระบี่ทั้งสามเล่มได้ปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน อุณหภูมิในอากาศลดฮวบลงอย่างฉับพลันคมกระบี่อันแหลมคมหักเหกับแสงอาทิตย์ แล้วพุ่งแทงเข้าไปที่อวี๋เคอจากรอบทิศทาง เห็นได้ชัดว่าหมายจะคร่าชีวิตเขาให้ตายคาที่
อวี๋เคอกำหมัดแน่นพร้อมกับกัดฟันกรอดก่อนจะเดินพลังปราณทั้งหมดในร่างกายเตรียมปล่อยพลังโต้กลับ ใช้กำปั้นอันดุดันสกัดการโจมตีของขบวนกระบี่เอาไว้ได้หลังจากนั้นไม่นาน ก็ซัดมันออกไปเป็ร้อยรอบ จนสูญเสียพลังในร่างกายไปเป็จำนวนมหาศาล
แม้ว่าเขาจะมีร่างกายเป็ปีศาจ และมีพลังในร่างกายแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ธรรมดาเหล่านี้อยู่หลายเท่าแต่การต่อสู้กับไป๋ลี่และคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ทำให้เขาได้รับาเ็ไปไม่น้อยตอนนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายชราทั้งสามคนที่มีพลังปราณมหาศาลไม่นานก็แสดงความจนใจออกมา
ภาพตรงหน้าของเขาพร่ามัวไปชั่วขณะอวี๋เคอถูกชายชราคนหนึ่งพบจุดอ่อนโดยไม่ทันระวังตัว อีกฝ่ายแทงกระบี่ไปที่ไหล่ซ้ายของเขาและเหมือนจะแทงโดนหลอดเืแดง เพราะเืสดๆ ที่พุ่งทะลักออกมาทำให้ปลายกระบี่ถูกอาบย้อมจนเป็สีแดงผลกระทบจากความเ็ปที่รุนแรงทำให้สมองของอวี๋เคอชะงักงันไปชั่วขณะจากนั้นผู้าุโอีกคนก็ฉวยโอกาสนี้เคลื่อนกระบี่พุ่งแทงเข้าไปที่หน้าอกของอวี๋เคอจากด้านหลังกระบี่เล่มนี้พุ่งมาอย่างรุนแรง หากอวี๋เคอถูกแทงเข้าจริงๆ ก็คงจะหมดแรงตอบโต้อย่างสิ้นเชิงและคงถูกทุกคนในสำนักฉิงชางแห่งนี้จัดการ
อวี๋เคอดึงกระบี่ที่ปักอยู่บนไหล่ของเขาออกมาอย่างรุนแรงก่อนจะเหวี่ยงฝ่ามือออกไป จนชายชราผู้ที่ถือกระบี่จำต้องถอยหนีดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ ก่อนจะหันกลับไปรับปลายกระบี่ที่พุ่งมาอย่างแรงเอาไว้ แรงปะทะทำให้เขาถอยหลังไปหลายก้าวแต่กลับต้องเผชิญกับคมกระบี่ของผู้าุโอีกคนที่พุ่งสวนมาทางด้านหลัง
ในตอนนั้นเองก็เกิดเสียงร้องอันดุร้ายดังกึกก้องไปทั่วแผ่นฟ้าทั้งลานประลองจากนั้นกระบี่ที่โจมตีอวี๋เคอก็ถูกปราณไฟแห่งชีวิตพุ่งเข้าใส่จนกลายเป็เถ้าถ่าน
“กระบี่หานกวงของข้า! ” เมื่อเห็นกระบี่คู่กายถูกทำลายชายชราผู้นั้นก็กัดฟันกรอดด้วยความเ็ปอย่างหาที่สุดมิได้แต่เมื่ออีกฝ่ายจ้องเข้ามากลับมีสีหน้าแข็งทื่อ ไม่กล้าด่าทอด้วยคำพูดต่ำช้ากลับไป
“มู่เฟิง ไม่ได้เจอกันหลายปีเ้าชราภาพถึงเพียงนี้แล้วหรือ กาลเวลาช่างไม่เคยคอยใครจริงๆ ! ”
ชายชราสีหน้าเจื่อนลง แต่ก็จำต้องโค้งคำนับให้กับคนตรงหน้าก่อนจะกัดฟันกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าาาเทพหลิงกวงมาที่สำนักฉิงชางเล็กๆของพวกเราด้วยเหตุอันใดหรือ? ”
ใช่แล้วปราณไฟแห่งชีวิตเมื่อครู่นั้นเป็ของหลิงกวง เขาถูกอาจิ่วน้อยนั่นรบเร้าเสียจนปวดหัวไปหมดแล้วพยายามเร่งเร้าเขาว่าให้รีบๆถึงกับบังคับให้เขากลายร่างที่แท้จริงเพื่อช่วยอวี๋เคอ จนไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้เขาตามมาทัน่เวลาสำคัญได้จริงๆหากเขาพ่นไฟออกมาช้ากว่านั้นอีกเพียงนิดเดียว ถ้าอวี๋เคอไม่ตายก็คงต้องนอนเป็ผักและหากเป็เช่นนั้นจริงๆ อาจิ่วน้อยของเขาจะเสียใจมากแค่ไหน?
หลิงกวงเปลี่ยนมาใช้พัดแสร้งทำเหมือนปัดฝุ่นผงไปรอบตัวก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “มู่เฟิง บรรยากาศที่ลานประลองของพวกเ้าแห่งนี้ดูอึมครึมไปหน่อยนะเหตุใดถึงไม่ทำความสะอาดเสียหน่อยเล่า? ”
เมื่ออวี๋เคอเห็นหลิงกวงมาถึงหินก้อนใหญ่ที่แขวนอยู่ในใจก็ถูกวางลงในที่สุด ก่อนจะหมุนวนพลังปราณและตบไปบนไหล่ที่ได้รับาเ็ของตน จากนั้นเสียงไหม้เกรียมของิัก็ดังขึ้น มีควันสีขาวค่อยๆลอยออกมาเป็ระยะ มันเจ็บจนทำให้เขาไม่สามารถควบคุมสีหน้าให้เรียบเฉยได้อีกต่อไปแต่นี่เป็วิธีที่ดีที่สุดในการห้ามเืในตอนนี้ ชั่วพริบตาาแที่มีเืไหลรินออกมาเมื่อครู่ก็หยุดไหล
เวลานี้ไม่มีใครขวางเขาอีกต่อไป ปล่อยให้เขาเดินเข้าไปใกล้หลิงกวงเล็กน้อยจากนั้นก็ประสานมือคารวะแล้วกล่าวว่า “ท่านเทพหลิงกวง ขอบพระคุณมากขอรับ”
เขาเห็นวิธีการห้ามเือันดิบเถื่อนของอวี๋เคอเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจนและนึกชื่นชมความกล้าหาญของอวี๋เคออยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับไม่ได้แสดงอาการใดๆออกมา จากนั้นจึงเหลือบมองเขาอย่างไม่ใส่ใจ และหันกลับไปมองมู่เฟิงที่เป็ผู้นำในสามคนนั้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและเป็มิตร “วันนี้ข้ามาเพราะมีเื่จะขอร้องจริงๆ ” เขาก้มหน้าลงสายตาจับจ้องไปยังเฉิงเซียงที่ยืนอยู่บนเวที ก่อนจะรูดเก็บพัดในมือเสียงดังพึ่บ แล้วชี้ไปยังอีกฝ่ายจากระยะไกลจากนั้นก็กล่าวต่อว่า “ข้า้าหญ้าแปลงกายต้นหนึ่งที่อยู่บนตัวเขา”
เมื่อเฉิงเซียงได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็รู้สึกชาที่หนังศีรษะขึ้นมาทันที แล้วยิ่งถูกกลิ่นอายของหลิงกวงจับตัวเอาไว้จิตสำนึกอันแรงกล้ากดทับจนทำให้เขาไม่อาจแม้แต่จะถอยหลังไป จากนั้นไม่นานบริเวณแผ่นหลังก็เหงื่อแตกพลั่ก
มู่เฟิงขมวดคิ้ว ก่อนจะเคลื่อนร่างไปด้านหน้าเพื่อสกัดกั้นจิตสำนึกของหลิงกวงที่กดทับเฉิงเซียงเอาไว้ “ท่านเทพหลิงกวงพูดเื่น่าขันเสียแล้วศิษย์ในสำนักของข้าจะมีของศักดิ์สิทธิ์อย่างหญ้าแปลงกายได้อย่างไร? ”
แรงกดทับเบาบางลงไปแล้ว ทว่าจิตใจของเฉิงเซียงกลับไม่ได้ผ่อนคลายลงเลยเขาเองรู้สึกซาบซึ้งที่มู่เฟิงออกรับแทน แต่สิ่งที่หลิงกวงพูดนั้นก็เป็ความจริงเพราะเขาพกหญ้าแปลงกายติดตัวมาด้วยจริงๆ หากอีกประเดี๋ยวเกิดถูกค้นตัวขึ้นมาตัวตนภูตจิ้งจอกของเขาจะต้องถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นก็จะไม่สามารถอยู่ที่สำนักฉิงชางแห่งนี้ได้อีกต่อไปแล้วเขาก็จะไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับผู้มีพระคุณอีกเลย! ทุกอย่างก็จะล้มเหลว!ไม่ได้ ยอมไม่ได้เด็ดขาด!
เขามองหลิงกวงด้วยสายตาอ้อนวอนเล็กน้อยก่อนจะรีบหยิบหญ้าแปลงกายออกมาแล้วเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “ขอทูลถามท่านเทพว่าใช่หญ้าเซียนต้นนี้หรือไม่ขอรับ? นี่เป็สิ่งที่ข้าน้อยได้มาจากบ้านเกิดโดยบังเอิญเห็นว่าบนผิวของมันมีปราณิญญาแผ่ออกบางๆ จึงเก็บเอาไว้จนถึงทุกวันนี้หากท่านเทพ้า เช่นนั้นข้าก็ขอประทานให้ท่านเทพขอรับ”
ไรผมของเฉิงเซียงมีเหงื่อซึมออกมาอย่างห้ามไม่ได้พร้อมกับภาวนาในใจอยู่เงียบๆ หวังว่าเทพหลิงกวงผู้นี้จะสามารถปกปิดตัวตนให้เขาได้
หลิงกวงหรี่สายตาอันเฉียบคมไปมาจากนั้นพัดก็กระทบกับฝ่ามือจนเกิดเสียงดังปั้งเป็ระยะอย่างชัดเจนทุกเส้นเสียงราวกับกระเพื่อมเข้ามาในใจของเฉิงเซียง ทำให้บรรยากาศในสนามตึงเครียดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกทันใดนั้น พัดของหลิงกวงก็ชี้ไปยังเฉิงเซียง รวดเร็วกว่าใจคิดเพราะทันทีที่เฉิงเซียงได้สติกลับมาหญ้าแปลงกลายก็มาอยู่ในมือของหลิงกวงเป็ที่เรียบร้อยแล้วมุมปากของเขายกขึ้นเป็รอยยิ้มอันคลุมเครือ แล้วกล่าวว่า “ไม่เลว ไม่เลว เ้าเด็กคนนี้ช่างรู้จักกาลเทศะเสียจริง”
เหตุการณ์เหล่านี้อยู่ในสายตาของมู่เฟิงทั้งหมด เขาไม่ได้พูดอะไรให้มากความเมื่อเห็นว่าหลิงกวงได้ของมาแล้วก็เข้าไปคารวะ แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “ในเมื่อท่านเทพได้ของที่ท่าน้ามาแล้วก็จะไม่เข้ามาแทรกแซงเื่ภายในสำนักของข้าอีกแล้วใช่หรือไม่? ”
หลิงกวงจงใจแสดงท่าทางใออกมาแล้วอ้าปากกว้างจนดูเกินจริง พร้อมทั้งแสร้งใช้พัดมาปิดปากเอาไว้ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “เอ๋? ข้าเข้าไปแทรกแซงเื่ในสำนักของเ้าอย่างนั้นหรือ? เหตุใดข้าถึงไม่รู้ตัวเลยเล่า? ”
อวี๋เคอที่ยืนอยู่ข้างๆเขาแทบจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่แต่ใครจะรู้เล่าว่ามันะเืไปถึงาแในเวลาต่อมา เจ็บจนต้องกัดฟันกรอดช่างน่าสมเพชเหลือเกิน
หลิงกวงชำเลืองมองอวี๋เคอ แล้วกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อว่า “มู่เฟิง คำพูดเช่นนี้ของเ้าจะให้ร้ายข้าเกินไปแล้ว เป็สหายกันมาก็หลายปีพวกเ้าก็รู้จักนิสัยของข้าดีแล้วข้าจะเป็คนที่ชอบยุ่งเื่ชาวบ้านไปได้อย่างไรเล่า? ”
มุมปากของมู่เฟิงกระตุกอย่างอดไม่ได้สีหน้าเรียบเฉยที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นแทบจะคุมไว้ไม่ไหวอีกต่อไปเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเทพหลิงกวงจะลำเอียงช่วยเหลือเ้าปีศาจอวี๋เคอได้เช่นนี้
“ท่านย่า! คนพวกนี้รังแกข้าขอรับ!อีกทั้งเมื่อครู่ก็ยังจะแทงข้าด้วยค่ายกลกระบี่อีก!หากไม่ใช่เพราะนายท่านมาบังอาจิ่วเอาไว้ ท่านคงไม่ได้เจอข้าอีกแล้ว! ฮือ ฮือท่านย่า ท่านต้องช่วยข้าระบายความโกรธนะขอรับ! ”
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเว้น่การสนทนา ทันใดนั้นเสียงของอาจิ่วก็ดังลอยมาจากที่ไกลๆเมื่ออวี๋เคอมองไป ก็เห็นชายหนุ่มในชุดเรียบง่ายคนหนึ่งเหาะเข้ามาอย่างช้าๆ ส่วนอาจิ่วก็บินอยู่ข้างกายเขาขนสีแดงสดใสยิ่งทำให้เสื้อคลุมของชายหนุ่มถูกย้อมเป็สีสว่างตาการก้าวย่างของเขาไม่เร็วนัก แต่กลับมาถึงข้างกายของหลิงกวงได้ในชั่วพริบตาเห็นได้ชัดว่าพลังบำเพ็ญเพียรนั้นสูงมาก
อาจิ่วบินไปหาอวี๋เคออย่างรวดเร็วมองดูาแทั่วร่างของอวี๋เคอ น้ำตาก็เกิดไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ เอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้น ‘นายท่าน ฮือ นายท่านอาจิ่วผิดไปแล้ว อาจิ่วมาช้าไปแล้ว...’
อวี๋เคอไม่เคยเห็นอาจิ่วหลั่งน้ำตามาก่อน เมื่อตอนนี้เห็นเด็กน้อยร้องไห้เขาก็ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ จากนั้นจึงรีบลูบขนนกบนศีรษะของอาจิ่วอย่างนุ่มนวลพร้อมกับพูดติดตลกว่า “ในเมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิด แล้วต่อไปข้าผู้นี้จะลูบหัวเล็กๆ ของเ้าอีกได้อย่างไร? ”
อาจิ่วถูกท่าทางที่ไม่จริงจังของเขาหยอกล้อจนทำให้กลับมาอารมณ์ดีก่อนจะพยักหน้าไปมา “ต่อไปนายท่านก็ลูบหัวข้าได้ตามใจชอบเลยขอรับ ขอเพียงนายท่านมีความสุขจะให้อาจิ่วทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”
อวี๋เคอกลอกตาไปมา ก่อนจะตอบว่า “เ้าไม่ร้องไห้ข้าก็ดีใจแล้ว”
“อื้ม อื้ม อาจิ่วไม่ร้องไห้แล้ว! ”
เทพหลิงกวงยืนมองอยู่ด้านข้างจนอยากจะด่าคนออกมาความรู้สึกเ็ปก่อตัวขึ้นมาในใจเพราะคิดไม่ถึงว่าเ้าหนุ่มอวี๋เคอจะเกลี้ยกล่อมทายาทน้อยผู้นี้ได้ด้วยเพียงคำพูดไม่กี่คำทั้งยังได้ผลยิ่งกว่าท่านปู่อย่างเขาคนนี้มาก ช่างเป็ความโชคร้ายของวงศ์ตระกูลเสียจริงๆ...
หลิงกวงไม่สนใจอาจิ่วและอวี๋เคออีกต่อไปจากนั้นจึงเอื้อมมือออกไปรั้งชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ เข้ามาในอ้อมแขนก่อนจะเรียกอย่างสนิทสนมว่า “เสี่ยวเหยา เ้ามาช้าจริงๆ ข้าจะตายอยู่แล้ว”
ชิงเหยากลอกตาอย่างเหลืออด ยิ่งทำลายภาพลักษณ์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียนไปอีกคิ้วเรียวงามขมวดเข้าหากัน ก่อนจะยื่นมือไปผลักศีรษะของหลิงกวงที่อิงแอบเข้ามาใกล้ออกไปแล้วเอ่ยเสียงเ็าว่า “หลิงกวง เ้ากับข้าแยกกันไม่ถึงสิบห้านาที อย่าเอาความออเซาะมาอ้างไปหน่อยเลย”
เขามองไปยังศิษย์สำนักฉิงชางทั้งหลายที่อาจิ่วชี้เมื่อครู่ด้วยดวงตาสีทองฉายแววความอาฆาตพยาบาทอยู่ภายใน จากนั้นก็ไม่รอให้มู่เฟิง ไป๋ลี่ และคนอื่นๆได้ตอบโต้กลับมา ก็โบกมือแล้วใช้พลังปราณห่อหุ้มผงสีขาวจำนวนมากก่อนจะเทกระจายลงสู่พื้น
“ระวัง! ผงนี้มีพิษ! ” เนื่องจากชิงเหยาลงมือได้รวดเร็วมาก ผงนั้นจึงได้กระจายลงไปหมดแล้วดังนั้นเสียงร้องของมู่เฟิงจึงไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เนื่องจากซ่งฉียวนไม่ได้รับาเ็จากการต่อสู้ก่อนหน้านี้มากนักการตอบสนองจึงรวดเร็ว ทำให้สามารถสกัดผงพิษของชิงเหยาเอาไว้ได้ ส่วนคนอื่นๆนั้นไม่ได้โชคดีแบบนี้ ทันใดนั้นศิษย์ของสำนักฉิงชางในสนามประลองต่างก็ทรุดตัวลงกับพื้นสถานการณ์เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย
เมื่อเห็นฉากนี้มู่เฟิงก็ไม่สนเื่มารยาทอีกต่อไป แล้วกล่าวกับชิงเหยาว่า “ท่านเทพนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน! หรือ้าจะเป็ศัตรูกับสำนักฉิงชางของข้าอย่างโจ่งแจ้ง?! ”
หลิงกวงเลิกคิ้วขึ้นจากนั้นจึงปล่อยมือที่โอบไหล่ชิงเหยา แล้วเดินไปทางมู่เฟิงสองก้าวก่อนจะยิ้มอย่างแสนจะเป็มิตร “เมื่อครู่เ้าก็ได้ยินแล้ว ว่าอาจิ่วหลานชายของข้าถูกศิษย์เหล่านี้ของเ้ารังแกอีกทั้งศิษย์กลุ่มนี้ยังหมายจะเอาชีวิตอาจิ่วอีกด้วยเสี่ยวเหยาไม่อาจทนรับความคับข้องใจของอาจิ่วได้แม้แต่น้อย ครั้งนี้ก็เพียงทำให้พวกเขาทนทุกข์ทรมานเท่านั้นหากไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ อย่างมากก็แค่กระอักเืออกมาระหว่างการฝึกบำเพ็ญเพียรในอีกหลายๆปีต่อจากนี้ไปก็เท่านั้น”
“สำนักฉิงชางของข้านับถือาาเทพหลิงกวงเช่นท่านและเทพชิงเหยาก็เป็ผู้าุโ ไม่กล้าล่วงเกินหรอกขอรับ พวกเ้าอย่ารังแกใครให้มันมากเกินไปนัก! ” รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของมู่เฟิงกระตุกไปมาไม่เหลือเค้าโครงของความสง่างามเหมือนในตอนแรกอีกต่อไปดูท่าทางเหมือนโกรธจนแทบจะลมจับ
หลิงกวงเห็นว่าไฟใกล้จะมอดลงแล้วจึงยื่นพัดชี้ไปยังอวี๋เคอ แล้วกล่าวว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าเองก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผลอะไรขอเพียงเ้ารับปากว่าจะให้อวี๋เคอไปเป็แขกที่จวนเทพของข้าข้าก็จะให้เสี่ยวเหยาถอนพิษให้ลูกศิษย์ของเ้าดีหรือไม่? ”
วกไปวนมาอยู่นาน ที่แท้ปมปัญหาก็อยู่ตรงนี้เองเื่ไปเป็แขกนั้นเป็เื่เท็จแต่เื่ที่หลิงกวงจะปล่อยอวี๋เคอไปนี่สิจึงจะเป็ใจความสำคัญ ในที่สุดมู่เฟิงก็เข้าใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขากล่าวด้วยความมืดมนว่า “ความหมายของท่านเทพก็คือเผ่าหงส์เพลิงได้ยืนอยู่ข้างโลกปีศาจแล้วใช่หรือไม่? ท่านเทพอย่าลืมเชียวนะขอรับ ว่าป่าภูตอสูรตั้งอยู่ในแดนเซียนของเราหากตั้งตนเป็ศัตรูกับแดนเซียนอย่างโจ่งแจ้งเกรงว่าชีวิตในอนาคตก็อาจจะไม่ราบรื่นนัก”
อาจิ่วได้ยินคำพูดนี้ก็มองไปยังหลิงกวงที่มีสีหน้าลังเลเล็กน้อยแล้วรีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ท่านปู่ อย่าเชื่อคำพูดบ้าบอของตาแก่ผู้นี้เลย หากเผ่าหงส์เพลิงของพวกเราเกรงกลัวกับคำพูดไม่กี่คำนี้แล้ววันหน้าจะเชิดหน้าอยู่ท่ามกลางเหล่าจตุรเทพได้อย่างไร! เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจจะถูกเผ่าัเขียวหัวเราะเยาะก็เป็ได้! ”
เมื่อหลิงกวงเห็นอาจิ่วน้อยร้อนใจก็ดึงสีหน้าที่แกล้งหยอกล้ออาจิ่วกลับไป แล้วใช้พัดชี้ไปยังปลายจมูกของมู่เฟิงก่อนจะเอ่ยเสียงเยือกเย็นว่า “มู่เฟิง เ้าจงจำเอาไว้ ชีวิตนี้ข้าเกลียดการถูกผู้คนข่มขู่เป็ที่สุดหากข้าคิดจะลงมือ วันนี้ก็คงชำระล้างสำนักฉิงชางที่ทรุดโทรมแห่งนี้ของเ้าด้วยเืไปแล้ว!ให้สำนักแห่งนี้ของพวกเ้าหายไปจากทวีปนี้โดยสมบูรณ์! ”
......
เชิงอรรถ
[1] อาจารย์อา หมายถึง ศิษย์น้องของอาจารย์
[2] อาจารย์ปู่ หมายถึงอาจารย์ของอาจารย์