หนีเจียเอ๋อร์ก้มมองเท้าตัวเองอย่างเงียบงัน
โจวชิงหวานั่งลงข้างๆ แล้วเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
หญิงสาวพลุ่งพล่านทันทีที่ได้ฟัง ไม่เชื่อว่าสวีเพ่ยหรานจะเป็ผู้บริสุทธิ์
“อาหารประเภทไหนจะเข้ากันมิได้ เห็นๆ อยู่ ว่าสวีเพ่ยหรานตั้งใจจะทำร้ายอี๋เหนียงของข้าชัดๆ สวีซื่อต้องลงมือสร้างสถานการณ์ที่แยบยลขึ้นมา เพื่อปกปิดความผิดของหลานชายเป็แน่”
ความเกลียดชังฉายชัดในดวงตาของหนีเจียเอ๋อร์ จนโจวชิงหวาอดใมิได้ เขามุ่นคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เสี่ยวเอ๋อร์ เ้าบอกได้ไหม ว่าเหตุใดถึงชิงชังสวีเพ่ยหรานขนาดนั้น?”
“เขาวางยาพิษอี๋เหนียงของข้า เหตุผลแค่นี้ยังไม่เพียงพอหรือ?” แววตาอันอ่อนโยนแต่เฉียบคม จับจ้องคนตรงหน้า
“ข้าเชื่อว่ามีการวางยาพิษจริง หากแต่สวีเพ่ยหรานอาจจะมิใช่ผู้ลงมือ” โจวชิงหวากล่าว
“เหตุใดจะมิใช่เขา?” หนีเจียเอ๋อร์กัดฟันแน่น “เขาคงจะเจ็บใจที่ข้าไม่ยอมรับการสู่ขอ จึงระบายโทสะใส่เว่ยอี๋เหนียง คนสารเลว!”
หญิงสาวนึกถึงชาติก่อน ที่ตนถูกรูปลักษณ์อันสง่างามสูงส่งของอีกฝ่ายหลอกลวง จนต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสมเพช หัวใจพลันถูกความแค้นเข้าแผดเผา จนไม่อาจพูดจาอย่างใจเย็นได้
โจวชิงหวาขมวดคิ้ว เกิดอะไรขึ้นขณะที่เขาไม่อยู่กันแน่?
เสี่ยวเอ๋อร์คล้ายจะมีความลับซุกซ่อนเอาไว้มากมายเหลือเกิน...
สองวันต่อมา จากการดื่มยาวันละสองครั้งตามที่หมอหลวงบอก ในที่สุดเว่ยอี๋เหนียงก็ได้สติ สุขภาพฟื้นฟูขึ้นตามลำดับ หนีเจียเอ๋อร์จึงกลับเรือนได้อย่างสบายใจ
เมื่อสวีเพ่ยหรานทราบข่าว ก็เทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านของตนกับจวนสกุลหนีทุกสามวัน เพื่อนำอาหารบำรุงและของล้ำค่ามากมายมามอบให้เว่ยอี๋เหนียง ทั้งยังขอพบหนีเจียเอ๋อร์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับไป
วันนี้ก็เช่นกัน ชายหนุ่มจึงได้แต่เดินออกจากจวนสกุลหนีด้วยความคับแค้นใจ และเดินไปที่ห้องชั้นบนของโรงเตี๊ยมจุ้ยเซียน เพื่อสั่งสุรามาบรรเทาความกลัดกลุ้ม ไม่นานก็เมามาย ทำลายข้าวของทุกอย่างตามแรงอารมณ์
เสี่ยวเอ้อร์เงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวอยู่นอกประตูครู่หนึ่ง แล้ววิ่งโร่ไปหาเ้านายด้วยความร้อนรน “นายท่าน โปรดขึ้นไปดูหน่อยเถิด ห้องของท่านแทบจะถล่มทลายเพราะนายน้อยสวีแล้ว”
เถ้าแก่มีสีหน้าเ็ป เดินออกจากโต๊ะ พร้อมก่นด่ามารดาอีกฝ่ายในใจ
พอได้ยินคำพูดของเสี่ยวเอ้อร์ หนีจวิ้นหว่านที่สะกดรอยตามสวีเพ่ยหรานมา ก็รีบเข้าไปขวาง พร้อมหยิบเงินออกมาโยนให้ “เถ้าแก่ เตรียมรถม้าให้ข้าที”
ว่าแล้ว ก็ไม่สนใจสายตาสอดส่องของพวกเขา รีบก้าวขึ้นไปชั้นสองอย่างรวดเร็ว พอเห็นชายในดวงใจเมามาย หน้าแดงก่ำ เสื้อผ้ายับย่น ไร้เค้าบุรุษผู้องอาจ ก็อดที่จะเป็ทุกข์และหงุดหงิดมิได้ นางพยายามยื้อแย่งแจกันจากมืออีกฝ่าย วางลงบนพื้น แล้วจับแขนเขาแน่น
“ท่านพี่หราน ไปกันเถอะ ข้าจะพาท่านกลับจวน”
สวีเพ่ยหรานมองหญิงสาวด้วยสายตาพร่ามัว พลางยิ้มอย่างไร้สติ “มาแล้วหรือ รู้หรือไม่ว่าข้าคิดถึงเ้าเพียงใด?”
หนีจวิ้นหว่านแปลกใจ ในที่สุด ท่านพี่หรานก็หันมามองตนแล้วหรือ จึงอดถามเสียงสั่นมิได้ “ท่านพี่หราน รู้ตัวหรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา?”
“ข้าคิดถึงเ้า คิดถึงมาก” สวีเพ่ยหรานปลดแขนอีกฝ่ายออก ก่อนกุมใบหน้าของนางด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วประทับจูบแแ่
น้ำเสียงเขินอายของหญิงสาว ถูกดูดซับด้วยจุมพิตอันมัวเมาด้วยฤทธิ์สุรา ใน่ที่ริมฝีปากประกบกัน นางลืมเลือนทุกสิ่งรอบตัว ได้แต่หลับตาลง และกอบโกยความอ่อนโยนของเขาให้มากที่สุด
“คุณชายโจว ท่านกำลังมองหาสิ่งใดอยู่หรือ?”
เสียงนั้น ปลุกให้หนีจวิ้นหว่านกลับมามีสติอีกครั้ง นางสะบัดมือชายหนุ่มออก แล้วหันหลังไปมอง พบว่าโจวชิงหวากำลังยืนพิงกรอบประตูด้วยรอยยิ้มแฝงนัย ที่ข้างๆ กัน ยังมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย ใบหน้าของหญิงสาวร้อนลวก รีบผลักสวีเพ่ยหรานออก แล้วพุ่งตัวไปปิดประตู
“ไปกันเถอะ” โจวชิงหวาเลิกชมละคร แล้วพูดกับชายที่อยู่ข้างๆ
“คุณชายโจว รู้จักสตรีผู้นั้นด้วยหรือ?” เจี่ยฟู่ถามอย่างสงสัย
“ใช่!” โจวชิงหวาพยักหน้า
เมื่อเจี่ยฟู่เห็นว่าอีกฝ่ายมิได้คิดจะขยายความไปมากกว่านี้ จึงไม่เอ่ยอันใดอีก
คนทั้งสองมุ่งหน้าไปยังห้องที่พวกเขาจองเอาไว้ เพื่อจิบชาและเจรจาการค้ากัน
...
ยามค่ำคืน ท้องฟ้าสีเข้มดารดาษไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวทอแสงนวลตา
ชายสวมชุดคลุมสีม่วง เหินผ่านม่านหมอกในยามราตรีอันเงียบงัน ก่อนโผผ่านหน้าต่างบานเล็ก ด้วยท่วงท่าที่ลื่นไหลและสง่างาม
ภายในห้อง เทียนส่องแสงสลัว อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม เงียบสงบจนยากบรรยาย
เมื่อได้กลิ่นอำพันทะเลอันคุ้นเคย หนีเจียเอ๋อร์ก็เดินผ่านม่านบังตาเข้าไป พบว่าโจวชิงหวากำลังเอนกายบนเตียงของตน เสื้อคลุมแบะออก จนเผยให้เห็นเสื้อสีอ่อนด้านในที่ปักลวดลายงดงามด้วยไหมสีเงิน
นิ้วเรียว พลันจิ้มไปยังไหล่กว้างเบาๆ
ต้องยอมรับเลยว่าบุรุษตรงหน้านี้ นอกจากจะมีผิวพรรณเกลี้ยงเกลา จนบุรุษทุกคนในเมืองต่างอิจฉาในรูปลักษณ์อันงามสง่าแล้ว ยังทำให้บรรดาสตรีที่ได้พบพากันหลงใหล จนไม่อาจละสายตาได้อีกด้วย
หนีเจียเอ๋อร์เบนสายตาไปทางอื่น พลางถามว่า “เ้ามาทำอะไรที่นี่อีก?”
ชายหนุ่มเอียงคอมองริ้วสีชมพูบนแก้มอีกฝ่าย ด้วยแววตาเป็ประกายดั่งดวงดาว จากนั้นก็ลุกขึ้นโอบเอวบางจากด้านหลัง ก่อนเอ่ยปาก “เดาสิ ว่าวันนี้ข้าเห็นผู้ใดที่โรงเตี๊ยมจุ้ยเซียน?”
หนีเจียเอ๋อร์ผละจากอ้อมกอดเขา แล้วขืนตัวออกห่าง พลางย้อนถาม “ใครล่ะ?”
โจวชิงหวาก้าวไปข้างหน้าหมายจะกอดนางอีกครั้ง พร้อมเลิกคิ้วขึ้น ก่อนตอบอย่างมีเลศนัย “หนีจวิ้นหว่านกับสวีเพ่ยหราน”
หญิงสาวกลอกตา “เ้าเป็พ่อค้าย่อมมีธุระมากมาย นอกจากจะไม่รีบกลับไปพักผ่อนแล้ว ยังมาที่นี่ เพื่อพูดเื่ไร้สาระเช่นนี้กับข้าอีกหรือ?”
แต่ชายหนุ่มยังคงกระตือรือร้น ที่จะกระตุ้นความสนใจใคร่รู้ของอีกฝ่าย “เ้าไม่อยากรู้หรือ ว่าสองคนนั้นไปทำอะไรกัน?”
“แล้วพวกเขาทำอะไรล่ะ?” น้ำเสียงของหนีเจียเอ๋อร์ยังคงเรียบเฉย ไม่สะดุ้งะเืแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น โจวชิงหวาก็ยื่นมือมาคว้าใบหน้าของนาง ก่อนโน้มตัวเข้าหาจนลมหายใจรดกัน “จูบ!”
เสียงของเขาผ่านหูไปประหนึ่งสายน้ำ หญิงสาวได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นตึกตักอยู่ในอก ราวกับจะมีชีวิตเป็เอกเทศ ทำให้นางหน้าแดงเถือกจนทำอะไรไม่ถูก
จนกระทั่งสายลม ที่เล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่างซึ่งเปิดค้างเอาไว้ พัดผ่านใบหน้าไป หนีเจียเอ๋อร์จึงได้สติมากพอที่จะดึงฝ่ามือใหญ่ออก แล้วค่อยๆ ปรับลมหายใจ พลางพูดกลบเกลื่อน “คุยกันดีๆ ได้หรือไม่? อย่าขยับเข้ามาใกล้แบบนี้!”
โจวชิงหวาละมือออก ดวงตาฉายแววเ้าเล่ห์ “ข้าแค่อยากให้เ้าเห็นภาพชัดเจนเท่านั้นเอง”
หนีเจียเอ๋อร์จ้องกลับอย่างโมโห “เื่ที่เ้าจะบอก มีแค่นี้เองหรือ?”
“เ้าไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ ที่พวกเขาจูบกัน?” ชายหนุ่มกังขา
หญิงสาวจึงว่า “เสียเวลาพักผ่อนโดยไร้ประโยชน์จริงๆ!”
โจวชิงหวาลอบสังเกตท่าทีของนาง ดูจะมิได้เสแสร้งแกล้งทำ... เพียงเท่านี้ เขาก็พอใจแล้ว
ก่อนจาก ชายหนุ่มเอื้อมมือไปแตะเอวคนตรงหน้า “ข้าไปแล้วนะ”
จากนั้นก็โผออกจากหน้าต่าง หายไปท่ามกลางแสงจันทร์ทันที
ส่วนหนีเจียเอ๋อร์ก็ปิดหน้าต่าง เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เข้าสู่ห้วงนิทราไปด้วยความผ่อนคลาย...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้