ิหยวนกลับมาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คนที่บ้านฟัง บิดามารดาทั้งใทั้งแปลกใจ แต่ผู้เป็มารดาก็มีความกังวลมากกว่าใคร ถือเศษผ้าเดินไปเดินมาไม่หยุด “หยวนเก้อเอ๋อร์ ครอบครัวเราหาเช้ากินค่ำ ชุดเสื้อผ้าปะแล้วปะอีก เพราะความเมตตาจากตระกูลิ เราถึงไม่ต้องขายลูกกินเหมือนคนในหมู่บ้าน…เรากับเขาต่างกันราวฟ้ากับเหว จะนับญาติกันได้อย่างไร? แม้ก่อนที่เราจะอพยพมาที่นี่ บรรพบุรุษเคยร่ำรวย ทว่ายามนี้เราเป็เพียงพวกเป่ยเหล่า อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแออัด หากเทียบกันแล้ว…บัณฑิตทั้งหลายจึงมักกล่าวว่า แคว้นฉีกว้างใหญ่เกินกว่าจะอาจเอื้อม [1] ถึงข้าจะไม่ได้เล่าเรียน แต่ก็เข้าใจความหมายของคำกล่าวนี้ดี ความสัมพันธ์นี้ไม่ต่างกับการแต่งงาน ไม่มีทางที่คนยากจนจะเป็ญาติกับคนร่ำรวย ถึงอย่างไรอนาคตเ้าก็ยังต้องทำงานหนักสานต่องานที่บ้าน ออกไปเที่ยวเล่นกับเหล่าคุณชายให้น้อยหน่อย อย่าหลงระเริงจนลืมฐานะของตน”
ิหยวนยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด พี่หญิงรองก็โพล่งออกมาก่อน “ท่านแม่ ไม่ใช่ว่าเราจะพยายามตีตนเสมอพวกเขา แต่เป็เพราะพวกเขาเห็นหยวนเก้อเอ๋อร์ของเราตั้งใจศึกษาเล่าเรียน มีความสามารถโดดเด่น จึงยอมรับในตัวเขา”
โจวซื่อดีดหน้าผากบุตรสาวไปหนึ่งที “เด็กอย่างเ้าจะรู้อะไร? ข้าซื้อด้ายม้วนใหม่มาให้แล้ว ตั้งใจปักผ้าของเ้าไป รอให้เด็กๆ ช่วยงานบ้านได้ก่อนเถิด ข้าจะให้เ้าออกเรือนไปซะ”
“คุยเื่หยวนเก้อเอ๋อร์ก็คุยไปสิเ้าคะ ไยต้องวกมาเื่ของข้า!” พี่หญิงรองทิ้งสะดึงปักผ้าในมือพลางเอ่ยเสียงขุ่น “ข้าจะไม่ออกเรือน!”
ิเฉียวที่กำลังนั่งยองๆ เคี้ยวใบยาสูบอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน จู่ๆ ก็ลุกเดินออกไปข้างนอก
“ไม่ออกเรือนแล้วเ้าจะทำอะไร!”
“ที่วัดก่วงจี้ยังมีเื่มากมายให้ทำ” ิเฉียวคายใบยาสูบทิ้งก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง “หลังเลิกงานข้าจะขึ้นเขาไปจับไก่ป่าสักสองสามตัว ใกล้ถึงเทศกาลสารท [2] แล้ว ไม่แน่ว่าตระกูลิอาจส่งของขวัญมา ในเมื่อเป็ญาติกันแล้ว มีมากหรือน้อยก็ต้องส่งตอบแทน มีค่าหรือไม่ก็ถือเป็มารยาท”
โจวซื่อรีบะโไล่หลัง “เ้าอยากนับญาติกับคนพวกนั้นจริงๆ หรือ?”
“ข้าไม่เข้าใจเลย ในเมื่อใครๆ ก็บอกว่าหยวนเก้อเอ๋อร์เรียนเก่ง อนาคตต้องได้ดีเป็แน่ ข้าว่าเราอย่าขวางอนาคตของลูกเลย”
ิเฉียวเอ่ยจบก็ถือข้าวของออกไป โจวซื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ เหลือบมองบุตรสาวที่พึ่งมีปากเสียงกันไป แล้วมองบุตรชายที่เอาแต่เงียบ “เอาเถิด พวกเ้าอยากทำอะไรก็ทำ แม่อย่างข้าคงยื่นมือเข้ายุ่งไม่ได้หรอก สองวันมานี้ข้าเก็บไข่ไก่ได้ประมาณหนึ่ง เอาไปให้อาจารย์ที่สำนักศึกษาของเ้าซะ ท่านอุตส่าห์อบรมสั่งสอนเ้า แต่เรากลับไม่มีสิ่งใดตอบแทน ท่านพ่อของเ้าพูดถูก มากน้อยก็ถือเป็น้ำใจ”
ิหยวนฉีกยิ้ม โผเข้าไปลูบไหล่มารดา “ท่านแม่โปรดวางใจ ลูกรู้สิ่งใดควรไม่ควร พวกเขาให้เกียรติเรา แต่เราจะไม่ตีตนเสมอพวกเขา และไม่เอาไปคุยโม้โอ้อวด”
พูดจบก็เดินไปหยิบแผงไข่ไก่ “เอาไปสอง เหลือไว้กินหนึ่ง”
ไม่รอให้มารดาพูดพร่ำ เขาก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวกับเหาะ
……
“ท่านอาจารย์!”
วันนี้ไม่มีเรียน เมื่อิหยวนมาถึงก็เห็นว่าประตูห้องโถงเปิดอยู่จึงตัดสินใจเดินเข้าไป ทันทีที่ก้าวผ่านธรณีประตู โหวอิงก็หันมาจ้องเขาเขม็ง ิหยวนยืนตัวแข็งทื่อ ลังเลว่าควรเดินเข้าต่อไปดีหรือไม่
“คนบางคนแสร้งทำตัวเป็ปัญญาชนมากวิชาความรู้ แต่กลับปฏิบัติตนตามตำราที่อ่านไม่ได้ ผู้ใดจะคิดว่ากล้าทำเื่ผิดศีลธรรมลับหลัง ไม่แม้แต่จะส่องกระจกดูตนเอง ผิวหนาหน้าเหี่ยว ใบหน้าซีดเซียว นิ้วหยาบราวกับทราย ยังกล้าทำตัวเป็วัวแก่กินหญ้าอ่อน รับเด็กสาวสิบสี่สิบห้าเข้าจวน แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าเพราะสงสาร คิดว่าตนเป็นักบวชหรือไร! ท่านกับนางไม่เกี่ยวข้องอันใดกันแน่หรือ? คนไม่เกี่ยวข้องกันไยถึงต้องหวังดีต่อกันถึงเพียงนี้! มีบุรุษใดในใต้หล้ากล้าทำเื่เช่นนี้ ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดช่วยสาวงามตาใสจากข้างถนนที่มีอีกหนึ่งชีวิตในท้องมาด้วย!”
โหวอิงนั่งหน้าเครียดฟังเสียงวาจาถากถางยาวเหยียด เสียงดังมาถึงหน้าประตู สมกับเป็ฮูหยินตระกูลบัณฑิต สามารถเอ่ยวาจาถากถางโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูดหยาบคายแม้แต่คำเดียว
ิหยวนเข้าใจสถานการณ์แล้ว จึงเตรียมการย่องหนี โหวอิงมีหรือจะปล่อยคนที่หาเื่มาให้เขาหนีไปง่ายๆ “หยวนเก้อเอ๋อร์ เ้าอยากจะมาก็มาแต่ตัวสิ ไม่เห็นต้องมีสิ่งใดติดมือด้วยเลย!”
เสียงข้างในเงียบลงทันที นายหญิงของจวนจึงเปิดม่านออกมาดู ซึ่งก็คือโหวฮูหยินหรือชุยซื่อ พอเห็นว่าเป็ิหยวน นางก็ส่งยิ้มใจดีให้ “หยวนเก้อเอ๋อร์เองหรอกหรือ รีบเข้ามานั่งเร็ว”
“คาวระซือเหนียงขอรับ” ิหยวนทักทายด้วยรอยยิ้ม ปกติแล้วหากไม่ใช่ศิษย์ใกล้ชิดสนิทสนมก็ควรเรียกนางว่าฮูหยิน แต่เพราะิหยวนมักมาช่วยงานบ่อยๆ จึงคุ้นเคยกับคนในครอบครัวผู้เป็อาจารย์ ิหยวนเป็เด็กฉลาดและหน้าตาดี ชุยซื่อเองจึงเอ็นดูเขาไม่น้อย มักชวนเขาอยู่กินข้าวด้วยกันเป็ประจำ “ท่านแม่พึ่งได้ไข่ไก่สดมา ก็เลยให้ศิษย์เอามาให้พวกท่านลองชิม มันไม่ใช่ของมีค่าอันใด เป็ไข่จากไก่ที่เลี้ยงเอง พวกท่านสบายใจได้”
“ขอบคุณเ้ามากที่นึกถึงกัน แต่ข้าเกรงใจ” ชุยซื่อกล่าวคำสุภาพแล้วรับไข่ไก่ไว้ และตั้งใจจะเอาไปเก็บในห้องครัว
“ท่านแม่! ท่านแม่! ข้าไปได้ยินมาว่าปี้อวี้กับท่านพ่อไม่ได้เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย! ” ทันใดนั้นเด็กมัดจุกสองข้างก็ะโโลดเต้นเข้ามาพร้อมเสียงใสแจ๋ว แต่พอเห็นว่ามีคนนอกอยู่ก็รีบสงบปาก
ิหยวนครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปก้มหัวทักทาย เขาจำได้ว่าโหวอิงไม่มีบุตรชาย มีเพียงบุตรสาวคนเดียว ไม่ใช่สตรีเรียบร้อยพูดน้อยอ่อนหวาน และมักจะแต่งตัวเป็เด็กผู้ชายเพื่อออกไปวิ่งเล่นข้างนอก บางครั้งนางยังแอบเข้าไปนั่งเรียนที่สำนักศึกษากับพวกเขาด้วยซ้ำ อายุอานามก็ไล่เลี่ยกัน ถือเป็ศิษย์น้องคนหนึ่งของเขา
แม่นางโหวรีบหลบเข้าไปข้างในห้องโถงด้านหลังทันที
ิหยวนหันมองโหวอิงก็พบว่าอีกฝ่ายก็มองตนเช่นกัน
“อะแฮ่ม” ิหยวนกระแอมก่อนเริ่มอธิบายอย่างกล้าหาญ “ซือเหนียงขอรับ เื่นี้ท่านตำหนิท่านอาจารย์ไม่ได้นะขอรับ เขาเป็พระโพธิสัตว์ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยใจบริสุทธิ์ เด็กสาวคนนั้นถูกคุณชายเสเพลหลอกลวง นางอับจนหนทางถึงขั้นตัดสินใจะโน้ำจะจบชีวิต โชคดีที่ศิษย์กับท่านอาจารย์ไปช่วยไว้ได้ทัน นางน่าสงสารจริงๆ นะขอรับ เพื่อที่จะหาทางออกให้นาง ท่านอาจารย์จึงจำเป็ต้องทำเช่นนี้”
“หยวนเก้อเอ๋อร์ เ้าเป็เด็กซื่อตรง ไม่ต้องปกปิดช่วยเขา แต่ที่เ้าพูดมาเป็เื่จริงหรือ?” ใบหน้าชุยซื่อดูดีขึ้นเล็กน้อย แต่เหมือนยังไม่อยากเชื่อทันที
“เป็ความจริงแน่นอนขอรับ ิฝู่จวินก็รู้เื่นี้ เขานับถือความมีเมตตาของท่านอาจารย์ ก่อนหน้านี้ถึงได้ส่งของมาให้มิใช่หรือขอรับ?”
“อ๋อ ข้าจำเครื่องลายครามพวกนั้นได้ มิน่าเล่า” ชุยซื่อเหลือบมองโหวอิงพลางยกยิ้ม
“ท่านอาจารย์เป็คนเช่นไรท่านน่าจะรู้ดีที่สุดมิใช่หรือขอรับ หากท่านเห็นว่าเขาเป็บุรุษมักมากอย่างนั้น ท่านยังจะยอมห่างบ้านห่างครอบครัวติดตามเขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงที่นี่หรือขอรับ?” ิหยวนยิ้มพอใจที่ตนคลี่คลายปัญหาได้แล้ว ท่านอาจารย์ผู้นี้ วิชาความรู้ที่เขามีเป็เลิศ ต่อหน้าศิษย์เขาเป็คนเข้มงวดและตรงไปตรงมาเสมอ แต่เขากลัวภรรยาเป็ที่สุด ชายวัยสี่สิบเศษยังไม่มีบุตรชายไว้สืบสกุล แต่ก็ไม่เคยมีความคิดรับอนุอยู่ในหัว ตระกูลิถามซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า้าส่งสาวใช้มารับข้างกายเขา ทว่าเขาก็ปฏิเสธมาโดยตลอด
ิหยวนกับิเยี่ยยังเคยแอบนินทาเขาเื่นี้ พอถูกจับได้ โหวอิงยังอธิบายให้เด็กทั้งสองฟังอย่างหนักแน่น “ชื่อเสียงเงินทองกองตรงหน้าไม่หวั่นไหว แม้ยากจนต่ำต้อยเพียงใดไม่หวาดหวั่น ฮูหยินยอมทิ้งชื่อเสียงเงินทองและชีวิตสุขสบายเพื่อติดตามข้าออกท่องยุทธภพ โบราณว่าไว้สุภาพบุรุษควรซื่อตรงรักมั่น ตัวข้าเป็บุรุษ ยึดมั่นคำสอนนั้นเป็เื่ที่ควรแล้วมิใช่หรือ?”
เด็กสองคนได้ยินเขาพูดอย่างนั้นยังแอบยิ้มกริ่ม
บัดนี้ใบหน้าชุยซื่อเปล่งปลั่งไม่ต่างจากท้องฟ้ายามหน้าร้อน ความขุ่นมัวในใจหายไปและแทนที่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ในเมื่อมาแล้ว เ้าก็อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนเถิด”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] แคว้นฉีกว้างใหญ่เกินกว่าจะอาจเอื้อม (齐大非偶) หมายถึง ไม่สามารถแข่งขัน คบค้าสมาคม หรือแต่งงานกับคนที่มีฐานะสูงกว่าตัวเองได้ มีที่มาจากในยุคชุนชิว แคว้นฉีเป็แคว้นใหญ่ แคว้นเจิ้งเป็แคว้นเล็ก คนทั้งสองแคว้นจึงไม่อาจแต่งงานกันได้ เนื่องจากฐานะไม่เท่ากัน ไม่สามารถสนับสนุนกันได้
[2] เทศกาลสารท (节气) หมายถึง เทศกาลแห่งฤดูกาล ่เวลาเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ ตามปฏิทินจีน ใน 1 ปี มี 4 ฤดูกาล แบ่งเป็ 24 ่เวลา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้