หลี่หรูอี้รีบเดินเข้าไปหาพร้อมกล่าวตำหนิว่า “บอกพวกท่านแล้วว่าอย่าแหย่อู่โก่วจื่อ หึ... หกล้มเจ็บหรือไม่”
ทั้งสองคนเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน แต่ตอนคลานขึ้นมาก็ยังกลัวว่าน้องสาวจะเป็ห่วง จึงตอบเป็เสียงเดียวกันว่า “ไม่เจ็บ”
หลี่หรูอี้ถามด้วยความห่วงใยว่า “เดินสักสองก้าวให้ข้าดูหน่อย”
พี่น้องผู้เคราะห์ร้ายประคองกันเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็หัวเราะคิกคักกันออกมาได้อีกครั้ง
หลี่เจี้ยนอันบอกว่า “พวกเขาหนังหยาบเนื้อหนา แค่หกล้มคราวหนึ่งไม่เป็ไรหรอก”
หลี่ซานได้ยินเสียงบุตรสาวพูดจึงรีบออกจากห้องมาดู อาศัยแสงตะเกียงมองไป เห็นว่านอกจากหลี่ฝูคังแล้วทุกคนล้วนมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า จึงถามว่า “พวกเ้าไปเที่ยวมาสนุกหรือไม่”
หลี่สือบอกด้วยความตื่นเต้นว่า “สนุกขอรับพี่ใหญ่ ในตัวตำบลมีโคมไฟตั้งมากมาย ยังมีขบวนแห่อีก แม้แต่เ้าแม่กวนอิมก็ยังมาด้วย”
หลี่ซานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ปีนี้ทางตำบลถึงกับจ้างขบวนแห่มาด้วย รู้เช่นนี้แต่แรกข้าควรจะให้แม่ของเ้าไปดูสักหน่อย แม่เ้าชอบดูสิ่งเหล่านี้เป็ที่สุด”
หลี่หรูอี้เข้าไปกระซิบข้างหูหลี่ฝูคังเบาๆ “พี่รอง ท่านจะบอกเื่จางอวิ๋นกับท่านพ่อท่านแม่หรือไม่”
หลี่ฝูคังมีสีหน้าอึมครึมขณะพยักหน้าช้าๆ
เขาเป็คนตรงไปตรงมา เก็บความในใจไม่อยู่มาั้แ่เล็ก และไม่สะทกสะท้านกับเื่ใดๆ แต่คนที่เป็เช่นเขาก็มีข้อดีประการหนึ่งคือ โกรธง่ายหายเร็ว ไม่เก็บเื่ราวต่างๆ ไว้ในใจนานจนคิดไม่ตก
หลี่หรูอี้เตือนว่า “เมื่อท่านพูดเื่นี้แล้ว ก็ให้ปล่อยวางมันลงเสีย”
หลี่ฝูคังรอจนอารองและพวกพี่น้องไปล้างเนื้อล้างตัว จึงไปบอกเื่นี้กับหลี่ซานอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง
วันนั้นหลี่ซานตกลงกับจางซิ่วไฉที่เรือนสกุลจางเสียดิบดี ว่าจะรอให้หลี่ฝูคังสอบเข้าสำนักศึกษาได้ก่อนจึงไปหมั้นหมายกับสกุลจาง นึกไม่ถึงเลยว่าจะมามีเื่นี้ขึ้นเสียก่อน หากมิใช่ว่าคืนนี้บุตรชายบุตรสาวไปชมโคมที่ตำบลและบังเอิญได้พบกับจางอวิ๋นพี่น้อง ก็ยังคงถูกปิดหูปิดตาอยู่ในกลอง
“ตกลง เื่นี้ข้ารู้แล้ว เ้าไม่อยากแต่งกับจางอวิ๋นข้าก็รู้แล้ว ข้าจะหารือกับแม่เ้า” หลี่ซานตบไหล่บุตรชายคนรองที่กำลังมีความน้อยอกน้อยใจอยู่บนสีหน้า ปลอบโยนว่า “พูดกันปากเปล่าไร้หลักฐาน พวกเราสองครอบครัวก็ยังไม่ได้หมั้นหมาย จางอวิ๋นจะเลือกลูกผู้พี่ของนางก็มิเป็ไร”
หลี่ฝูคังคิดได้ว่า คำบิดาบอกก็มีเหตุผล ชายเติบใหญ่แล้วแต่งภรรยา หญิงเติบใหญ่แล้วออกเรือน จางอวิ๋นก็ไม่ได้หมั้นหมายกับเขาอย่างเป็ทางการสักหน่อย ฉะนั้นอยากเลือกผู้ใดก็เลือกผู้นั้นได้
แต่ในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกน้อยใจและเ็ป
หลี่หรูอี้รอจนกระทั่งหลี่ฝูคังออกจากโถงใหญ่ไปแล้ว จึงบอกกับหลี่ซานว่า “หากพี่รองของข้าไม่ได้บอกกับท่านพ่อ คืนนี้คงจะนอนไม่หลับแน่เ้าค่ะ”
“พ่อจะไปบอกแม่เ้าเดี๋ยวนี้” ยามที่หลี่ซานปลอบโยนบุตรชายคนรองนั้นพูดจาดีเสียอย่างยิ่ง แต่ยามมาบอกกับจ้าวซื่อกลับระงับความคับแค้นใจไว้ไม่ได้ “นึกไม่ถึงว่า จางซิ่วไฉมีบุตรสาวหนึ่งคนกลับจะยกให้สองเรือน ดีที่คืนนี้พวกลูกๆ ไปเห็นมากับตา”
จ้าวซื่อเป็ทุกข์ยิ่งกว่าหลี่ซานเสียอีก แต่ตอนนี้ต้องแก้ปัญหาก่อนเป็สำคัญ ไม่ใช่จะมัวมาเสียใจอยู่ นางครุ่นคิดสักพักจึงบอกว่า “วันพรุ่งเ้าไปที่เรือนจางซิ่วไฉสักคราว ไปพูดจาเื่นี้ให้กระจ่าง หากครอบครัวเราวาสนาไม่ต้องกัน เช่นนั้นก็ให้จางอวิ๋นได้สมหวังกับลูกผู้พี่ของนางเถิด”
หลี่ซานตอบเสียงหนักแน่นว่า “ตกลง”
สองสามีภรรยาถึงกับนอนไม่หลับทั้งคืนด้วยเื่นี้
เช้าวันรุ่งขึ้น หลี่ซานมอบหมายงานในโรงเต้าหู้ให้พ่อลูกสกุลอู่ ก่อนจะเดินเท้าไปที่ตำบลจินจีเพียงลำพัง
แต่ที่บังเอิญก็คือ จางซิ่วไฉไม่อยู่เรือน หม่าซื่อและหม่าจาวจึงได้พบกับหลี่ซาน
หลี่ซานเป็คนหน้าตาซื่อๆ หม่าจาวพูดไม่กี่ประโยคก็หลอกถามได้ว่า เขาเป็คนขายเต้าหู้อยู่ในหมู่บ้านหลี่ บ้านเดิมอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ และลี้ภัยมาอยู่ที่นี่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแม้แต่น้อย
ทั้งวาจาทั้งท่าทางของหม่าจาวล้วนแสดงออกถึงการดูแคลน
หลี่ซานยังได้ทักทายปราศรัยกับหม่าซงพี่ชายของหม่าซื่ออีกด้วย นึกไม่ถึงว่านิสัยของหม่าจาวกับหม่าซงจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หม่าซงเข้ากับคนง่าย พูดจาถ่อมตน หม่าจาวแค่เคยเป็หัวหน้ามือปราบเท่านั้น แต่กลับวางท่าเป็ขุนนางสูงส่งกว่าผู้อื่น
หลายวันมานี้ด้วยวาสนาของหลี่หรูอี้ ทำให้หลี่ซานได้พบกับท่านชาย ท่านหญิง และแม่ทัพหลายท่าน ตำแหน่งของทุกคนเรียกว่าสูงส่งกว่าหม่าจาวมากมายนัก และสามารถจะเบียดให้เขากระเด็นไปสิบกว่าถนนได้เลยทีเดียว แต่กลับไม่มีผู้ใดวางท่าเช่นหม่าจาวสักคน
หลี่ซานคิดในใจว่า ตาสุนัขดูแคลนคน[1]โดยแท้
เขาเป็คนหัวรั้น หากยังไม่บรรลุเป้าหมายก็จะไม่ยอมเลิกรา จึงยังคงนั่งรออยู่ในเรือนสกุลจางกว่าหนึ่งชั่วยาม และต้องทนรับกับคำถากถางค่อนแคะของหม่าจาวไม่รู้เท่าใด ที่สุดก็รอจนจางซิ่วไฉกลับเรือน
จางซิ่วไฉเห็นสีหน้าของหลี่ซาน แล้วหันไปมองใบหน้าที่ดูแคลนของหม่าจาว ก็ต้องร้อนรนอยู่ในใจรู้ว่าไม่เข้าทีแล้ว ก่อนจะปรายตามองหม่าซื่อหลายครั้ง แต่กลับเห็นว่านางไม่ได้มีทีท่าใดๆ จึงเชิญหลี่ซานเข้าไปสนทนากันในห้องหนังสือ
ก่อนนี้หลี่ซานให้ความเคารพนับถือจางซิ่วไฉอย่างมาก แต่หลังจากเมื่อคืนวาน ความนับถือของเขาก็ลดน้อยลงไปหลายส่วน
เมื่อครู่เขาถูกหม่าจาวเหยียดหยาม หม่าซื่อก็นั่งอยู่ข้างๆ ด้วย แต่กลับไม่มีท่าทีตอบสนองใดๆ ความเคารพนับถือในใจที่มีต่อจางซิ่วไฉจึงยิ่งน้อยลงไปอีกหลายส่วน
“วานนี้ฝูคังพี่น้องไปงานเทศกาลโคมไฟ และบังเอิญได้พบกับจางอวิ๋นพี่น้อง ได้เห็นท่าทีของลูกผู้พี่ของจางอวิ๋นกับจางอวิ๋นใกล้ชิดกันเสียอย่างยิ่ง ฝูคังกลับเรือนมาจึงเล่าให้ข้าฟัง พวกเราสามีภรรยาหารือกันแล้ว จึงตัดสินใจว่า ครอบครัวเราวาสนาคงไม่ต้องกันกับครอบครัวของพวกท่าน จึงขออวยพรให้จางอวิ๋นและลูกผู้พี่ได้ครองคู่กันอย่างมีความสุขขอรับ”
จางซิ่วไฉเห็นว่าคนแสนซื่อเช่นหลี่ซานกลับโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ เื่แต่งงานครานี้คงไม่อาจลงเอยได้แล้ว แต่จาง อวิ๋นจะต้องแต่งกับหม่าเหลียงฮุยเสียให้จงได้หรือ
เขาสะกดเพลิงโทสะที่มีต่อหม่าซื่อกับจางอวิ๋นเอาไว้ก่อน หลังจากส่งหลี่ซานกลับไปแล้ว จึงเรียกหม่าซื่อและจางอวิ๋น ที่กำลังนั่งอยู่กับหม่าจาวมาต่อว่าที่ห้องหนังสือ
หม่าซื่อเอ่ยด้วยโทสะว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ไม่มีทางเป็เช่นนั้น ท่านอย่าได้ถูกหลี่ซานหลอกเอาเล่า”
ที่จริงแล้วจางซิ่วไฉไม่อยากเชื่อคำของหลี่ซาน ทว่าเช้านี้ตอนที่เขาออกไปข้างนอก ก็ได้พบกับคนคุ้นเคยหลายคน พวกเขาพากันเข้ามายินดีว่า ครอบครัวเขากับครอบครัวของหม่าจาวจะได้เป็ญาติซ้อนญาติ คาดว่าเมื่อคืนคนทั้งตำบลคงจะเห็นหม่าเหลียงฮุยแสดงท่าทางใกล้ชิดจางอวิ๋นในงานชมโคมกันหมดแล้ว
ที่แท้นั้นเป็เพราะหม่าเหลียงฮุยใช้วิธีต่ำช้า ทว่าหากจางอวิ๋นฉลาดและรักนวลสงวนตัว ก็ควรกลับเรือนั้แ่หม่า เหลียงฮุยเข้าชิดใกล้ตนครั้งแรกแล้ว จะถูกผู้คนพบเห็นเข้าได้อย่างไร และจะถูกคนสกุลหลี่เห็นเข้าได้อย่างไร
ว่ากันให้ถ่องแท้แล้วก็คือ จางอวิ๋นได้ฟังคำมาจากหม่าซื่อ จึงได้ยอมรับในใจว่า หม่าเหลียงฮุยคือคนที่นางจะแต่งงานด้วย จึงไม่ได้รู้สึกไม่ดีที่หม่าเหลียงฮุยใกล้ชิดนาง
“เ้าออกไปเดินในตำบลดูสักหน่อย ดูว่าชาวบ้านร้านตลาดเขาเห็นเ้าแล้วจะพูดกับเ้าว่าอย่างไร”
หม่าซื่อเอ่ยด้วยท่าทีฉงนว่า “หมายความว่าอย่างไร”
“ทุกคนต่างพากันมายินดีกับข้าว่า จะได้กลายเป็ญาติซ้อนญาติกับพี่สามของภรรยา ข้าถามเ้าหน่อยเถิดว่า พวกชาวบ้านเขาจะรู้เื่นี้ได้อย่างไร เป็เ้าพูด หรือเป็ข้าพูด หรือว่าเป็อวิ๋นเอ๋อร์พี่น้องเอาออกไปพูด”
“ท่านพูดสิ่งใดข้าไม่เห็นฟังรู้เื่เลย”
“เมื่อคืนหลานชายเ้าจงใจผละจากคนอื่นๆ และพาอวิ๋นเอ๋อร์ไปเดินเที่ยวในงานโคมไฟ ระหว่างนั้นหลานชายเ้าก็คอยแตะเนื้อต้องตัวอวิ๋นเอ๋อร์อยู่ตลอด ไม่ใช่แค่พี่น้องสกุลหลี่เห็นเข้าเท่านั้น ทุกคนก็ยังเห็นด้วย นับั้แ่เมื่อคืนนอกจากหลานชายแสนดีของเ้าแล้วอวิ๋นเอ๋อร์จะยังไปแต่งกับผู้ใดได้อีก” จางซิ่วไฉตบโต๊ะ ขึ้นเสียงดุดันว่า “นี่อย่างไรเล่าหลานชายแสนดีของเ้า! เขาถึงกับเล่นเล่ห์ลับหลังข้า!”
หม่าซื่อนึกถึงผลร้ายแรงที่จะตามมาได้ในทันที เมื่อเป็ดังนี้แล้วจางอวิ๋นก็จำเป็ต้องแต่งงานกับหม่าเหลียงฮุย ซึ่งแม้ว่าตัวนางเองจะอยากให้เป็เช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ก็ไม่้าให้เป็ไปด้วยวิธีนี้ พลันร้องถามเสียงหลงว่า “เหตุใดจึงเป็เช่นนี้ได้”
จางอวิ๋นนิ่งเหม่อไปทันใด ที่แท้ที่นางพลัดหลงกับน้องชายและบ่าวเมื่อคืนนี้นั้นเป็เพราะหม่าเหลียงฮุยวางแผนไว้ และที่หม่าเหลียงฮุยจับเนื้อต้องตัวนางก็เพราะเขาจงใจทำ มิใช่ว่าชื่นชอบนางจากใจจริง มิใช่เป็ความรักจริงที่มีต่อนาง
“ข้าจะไม่มีวันยกบุตรสาวให้ไปแต่งงานกับคนชั่วแผนสูงพรรค์นั้น ถ้าเ้าไม่กล้าพูดกับหม่าจาว ข้าจะไปพูดเอง ให้เขาเอาหม่าเหลียงฮุยไปให้พ้นๆ เสียเดี๋ยวนี้ อย่าได้ย่างกรายเข้าประตูบ้านเราอีก” จางซิ่วไฉกำหมัดแน่น มีความเคืองแค้นเปี่ยมล้น หากเขามีฐานะเป็จวี่เหริน หม่าจาวพ่อลูกจะกล้าทำเยี่ยงนี้หรือ
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ตาสุนัขดูแคลนคน หมายถึง ตนเองก็ต่ำต้อย ยังดูถูกคนอื่นอีก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้