“ตูม!”
เสียงะเิทำให้เฉินเทียนหยวนที่กำลังเร่งรุดมาต้องเปลี่ยนสีหน้า
เมื่อครู่มันกำลังจัดการเื่ราวบางอย่างอยู่ที่เขาิญญา
แต่แล้วจางเจิ้งเต้าก็วิ่งน้ำตาเปื้อนหน้าเข้ามาหา
บอกว่าหวังเค่อกำลังจะถูกคนตีตายอยู่แล้ว!
แน่นอนว่าเฉินเทียนหยวนไม่รู้ถึงนิสัยใจคอของจางเจิ้งเต้า
ไม่งั้นฟังทีเดียวก็คงรู้แล้วว่าไอ้หมอนี่ชอบพ่นคำลวงเพื่อเป้าหมายตัวเอง!
ศิษย์ของตนกำลังจะถูกคนตีตาย? เฉินเทียนหยวนเร่งขี่กระบี่บินรุดหน้าไปทางยอดเขาหยั่งรู้กระบี่อย่างรีบร้อน
ขณะที่ขี่กระบี่บินมา
เฉินเทียนหยวนก็สงบจิตใจลงไปโข จากนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
หวังเค่อคือศิษย์ของตน ตลอดทั้งพรรคล้วนรับทราบทั่วถึง
แล้วใครมันจะกล้าตีหวังเค่อจนมอดม้วยคายอดเขาหยั่งรู้กระบี่ได้? ไม่ใช่ว่านี่เป็คำพูดส่งเดชของจางเจิ้งเต้าหรือไง?
แต่ในวินาทีถัดมา
มันก็ได้ยินเสียงกึกก้องกัมปนาทดังมาจากทางยอดเขาหยั่งรู้กระบี่
เสียงกระบี่บินะเิตัวเองดังกระจายไปทั่วทั้งพรรค
เฉินเทียนหยวนสังหรณ์ใจไม่ดี
แต่แล้วมันก็ทันเห็นมู่หรงลวี่กวงพุ่งตัวเข้าหาหวังเค่อเข้าพอดี
“หยุดมือ!”
เฉินเทียนหยวนตวาดอย่างดาลเดือด
ไม่ใช่ว่าตนสั่งให้มู่หรงลวี่กวงไปเฝ้าประตูสำนักเพื่อเป็การลงโทษอยู่หรอกหรือ? แล้วทำไมมันถึงวิ่งแจ้นมาอยู่ตรงนี้ได้?
แต่เฉินเทียนหยวนยังอยู่ห่างออกไปพอสมควร
ท่ามกลางฝุ่นควันจากการะเิ มู่หรงลวี่กวงบรรลุถึงตัวหวังเค่อในเสี้ยวพริบตา
กำปั้นของมันพุ่งตรงเข้าหาท้องน้อยของหวังเค่อที่ดวงตากำลังเผยแววตื่นตระหนก
“กำแหง!” เฉินเทียนหยวนตวาดกร้าว
มู่หรงลวี่กวงคือยอดฝีมือดวงธาตุทองคำขั้นสูงสุด
หากหมัดนี้บรรลุถึงตัว ขอบเขตเซียนเทียนไม่พิการไปเลยหรือไง?
เฉินเทียนหยวนสะบัดแขนเสื้อดังพรึบ
ฝ่ามือสะบัดลงจากฟ้า หมายมั่นที่จะช่วยชีวิตหวังเค่อไว้ให้ได้
“ตูม!”
แต่จู่ๆ ก็มีหัตถ์ปราณอีกขุมพุ่งขึ้นมาปะทะกับฝ่ามือของเฉินเทียนหยวนกลางทางเสียฉิบ
แรงปะทะดุจอสนีแลบปลาบ ะเิออกเป็วงกว้างกลางลานจัตุรัสตำหนักหยั่งรู้กระบี่
“เ้าตำหนักเนี่ย?” เฉินเทียนหยวนหน้าหม่นลงทันควัน
กลับเป็เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยที่ลงมือขวางเฉินเทียนหยวน
แน่นอนว่าทั้งสองไม่ได้ทุ่มสุดตัว
มิเช่นนั้นการปะทะกันระหว่างขอบเขตทารกแกนิญญาก็คงถล่มเขาทั้งลูกไปแล้ว
เพียงแต่เฉินเทียนหยวนไม่อาจเข้าใจ
ทำไมเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยถึงได้ยอมให้มู่หรงลวี่กวงมาเล่นงานหวังเค่อ?
“ท่านประมุข
โปรดระงับโทสะลงก่อน มู่หรงลวี่กวงไม่ใช่พวกที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ! มันก็แค่คิดหยั่งเชิงศิษย์ของท่านดูก็เท่านั้น!”
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยอธิบาย
เมื่อนั้นเฉินเทียนหยวนถึงค่อยระงับโทสะลงได้
คนลดตัวลงจากฟ้า
จางเจิ้งเต้าที่ตามมาไม่ห่างพลันต้องหน้าเปลี่ยนสี
“สู้กันขึ้นมาจริงๆ หรือนี่?”
มู่หรงลวี่กวงรู้จักยับยั้งชั่งใจ? ไม่เลย วินาทีนั้นมู่หรงลวี่กวงกำลังบันดาลโทสะจากความอับอาย
มันจึงต่อยออกไปด้วยโทสะที่มีอยู่ทั้งหมด ไหนเลยจะมียับยั้งชั่งใจอันใด? หากอีกฝ่ายเป็ผู้บรรลุขอบเขตเซียนเทียนขั้นหนึ่งทั่วไป
หมัดนี้ก็คงต่อยทะลุช่องท้องมันไปแล้ว
แต่คนที่มู่หรงลวี่กวงกำลังเผชิญหน้าคือหวังเค่อ!
อีกทั้งยังเป็หวังเค่อที่กำลังทำหน้าเหลอหลาอีกด้วย
“เกิด เกิดอะไรขึ้น?” หวังเค่อเบิ่งตาโต
กระบี่เทพมหาสุริยันมิดับสูญกลับไม่ได้ออกมาปกป้องผู้เป็นายโดยอัตโนมัติด้วยซ้ำ
นับประสาอะไรกับการถูกจับได้
กำปั้นของมู่หรงลวี่กวงจึงพุ่งเข้าใส่่ท้องของหวังเค่ออย่างถนัดถนี่
แต่จะว่าแปลกก็แปลก นี่กลับไม่เจ็บ?
ไม่เจ็บเลยสักนิดเดียว?
กำปั้นขนาดเท่าหม้อดินพุ่งเข้าใส่ช่องท้องของตัวเองด้วยสภาวะเหมือนตำครก
แต่กลับไม่เจ็บเลยเนี่ยนะ?
นี่
นี่ผิดหลักการทางวิทยาศาสตร์อยู่นะนี่?
หวังเค่อตาโต
มู่หรงลวี่กวงเองก็ตาโต กำปั้นมหาประลัยของตนต่อยถูกเป้าหมายเข้าจังๆ เลยนี่!
แล้วทำไม ทำไมหวังเค่อมันถึงไม่เป็อะไรเลยเล่า? อย่าบอกนะว่ากำปั้นของข้าเป็ของเก๊?
ทั้งสองต่างก็เกิดความกังขาในชีวิตขึ้นมา
พวกมันยืนนิ่งค้างในท่าเดิมกันอยู่อย่างนั้น ตามองตาราวกับถูกแช่แข็งเอาไว้
“มู่หรงลวี่กวง
เมื่อกี้เ้าก็แค่ขู่หวังเค่อเล่นหรอกเหรอ?” องค์หญิงโยวเยว่เป่าปากอย่างโล่งอก
ไม่เพียงแต่องค์หญิงโยวเยว่
แม้แต่เฉินเทียนหยวนกับเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยสองยอดฝีมือเองก็คิดไม่ต่างกัน หาไม่แล้ว
หวังเค่อจะไม่รู้สึกเ็ปเลยสักนิดเดียวได้อย่างไร? ฟ้าแลบครืนครัน
แต่ฝนกลับตกเท่าเยี่ยวแมว? ที่แท้มู่หรงลวี่กวงก็รู้จักยับยั้งชั่งใจอยู่จริงๆ!
ถามว่ามู่หรงลวี่กวงรู้จักยับยั้งชั่งใจหรือเปล่า? จางเจิ้งเต้าที่กำลังเหาะเข้ามาใกล้ไม่มีทางเชื่อโดยเด็ดขาด
“หวังเค่อ เ้าไม่เป็ไรนะ
ไม่ต้องฝืนทนเอาไว้ก็ได้!” จางเจิ้งเต้าร่ำร้อง
ฝืนทน? ข้าไม่ได้ฝืนทนอะไรทั้งนั้นแหละ
แต่มันไม่เจ็บจริงๆ!
หวังเค่อรู้สึกเหมือนว่าทันทีที่กำปั้นนั้นพุ่งกระทบร่าง
พลังที่แฝงมากับหมัดก็ราวกับถูกเนื้อเยื่อในร่างตนดูดซับเอาไว้
จากนั้นพลังจู่โจมอันร้ายกาจขุมนี้ก็ถูกดึงเข้าไปที่สัจปราณขุ่นของตัวเอง
หวังเค่อััได้ว่าสัจปราณขุ่นที่ในตอนแรกเป็สีทองพลันเปลี่ยนเป็สีเหลืองสว่างขึ้นมาทันตา
แต่การเปลี่ยนจากสีทองเป็สีดำดูจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย
และแล้วหวังเค่อก็นึกถึงประโยคนั้นจาก《เคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ》ขึ้นมาได้
----
“สัจปราณขุ่นมีอานุภาพกลืนกินพลังทุกชนิดพร้อมกับเปลี่ยนสี
สีทองคืออ่อนสุด สีดำคือแกร่งสุด! เมื่อเป็สีดำสนิทแล้วก็จะลุกไหม้ขึ้นมาเอง!
อาศัยกุศลจรรโลง เปลี่ยนดำเป็ทอง!”
-----
“สัจปราณขุ่นสามารถกลืนกินพลังได้ทุกชนิด?
กลืนกิน? กลืนกินพลังหมัดของมู่หรงลวี่กวง?”
หวังเค่อตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
“ปง!”
ร่างของหวังเค่อเกิดเสียงดังคราหนึ่ง
กระแสปราณอ่อนโทรมระลอกหนึ่งปะทุขึ้นบนผิวกาย
“ด่านพลังเลื่อนระดับ?”
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยที่อยู่ไม่ไกลอุทานอย่างตกตะลึง
“เมื่อกี้มันเพิ่งจะอยู่ขั้นแรกของขอบเขตเซียนเทียน
แต่ตอนนี้กลับบรรลุเป็ขั้นที่สองของขอบเขตเซียนเทียนแล้ว?” เฉินเทียนหยวนเองก็ตะลึงไปเหมือนกัน
“หวังเค่อ
เ้าโดนมู่หรงลวี่กวงต่อยใส่ แต่ระดับพลังเ้ากลับกระเตื้องขึ้นเนี่ยนะ?” จางเจิ้งเต้าอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ
มู่หรงลวี่กวง “…!”
หวังเค่อเองก็เบิ่งตามองมู่หรงลวี่กวง
ดูเหมือน ดูเหมือนว่าจะเป็เช่นนั้นจริงๆ
พลังที่แฝงมากับหมัดของมู่หรงลวี่กวงถูกสัจปราณขุ่นของตนดูดรับเอาไว้หมด
จากนั้นสัจปราณขุ่นก็เปลี่ยนเป็สีเหลืองสว่าง ทรงพลังขึ้นกว่าเก่า
แถมระดับฝึกปรือก็เพิ่มขึ้นด้วย?
ตนถูกทำร้าย
แต่กลับเปรียบเหมือนการชาร์จไฟ?
ไม่สิ ชาร์จพลังฝึกปรือ? แถมยังไม่เจ็บอีกต่างหาก?
“หวังเค่อ
เ้าเป็อย่างไรบ้าง?” องค์หญิงโยวเยว่ถามขึ้นอย่างเป็ห่วง
ข้าเป็อย่างไรบ้างน่ะหรือ? นี่ยังดูไม่ออกกันอีก?
ไม่เพียงแต่โดนต่อยแล้วไม่เจ็บ
ตรงกันข้ามข้ากลับรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าไปทั้งตัว
ระดับฝึกปรือก็ขยับขึ้นมาหนึ่งขั้น? นี่
นี่ข้าควรต้องทำตัวยังไงกันนะ?
าแสักกระจิ๊ดก็ยังไม่มีให้เห็น
แล้วนี่จะให้ข้าบอกต่อมู่หรงลวี่กวงที่ผิดแผนไปคนละทางอย่างไรดี?
ไม่เจ็บนั้นยังแสร้งทำเป็เจ็บได้
อย่างไรเสียตนก็มีความมั่นใจในทักษะการแสดงของตัวเองอยู่แล้ว
แต่การที่ระดับฝึกปรือของมันขยับขึ้นล่ะ จะแสดงยังไง?
ขืนข้าแสร้งทำเป็เจ็บเจียนตายแล้วกระอักเืออกมาไม่หยุด
แต่ระดับฝึกปรือดันรุดหน้าไปหนึ่งขั้น
ฉากที่จะเกิดขึ้นเป็ลำดับถัดมาจะไม่ใช่แค่มู่หรงลวี่กวงที่เข้ามาตรวจร่างกายข้า
แต่เป็ทุกคนเลยต่างหาก!
ช่างปะไร
ข้ายอมปล่อยมู่หรงลวี่กวงไปก่อนแล้วกัน
หวังเค่อถอนตัวออกมา
เลี่ยงไม่ยอมสบตากับมู่หรงลวี่กวง สีหน้าแววตาทะแม่งชอบกล
“ขอบคุณศิษย์พี่มู่หรงที่ช่วยเหลือ
ระดับฝึกปรือของผู้น้อยจึงทะลวงคอขวด ทะยานไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว!”
หวังเค่อค้อมตัวคารวะ
“ที่แท้เป็เช่นนี้!”
เฉินเทียนหยวนที่อยู่ไม่ไกลพยักหน้า รู้สึกวางใจ
ที่แท้มู่หรงลวี่กวงก็กำลังช่วยหวังเค่อทะลวงจุดคอขวดอยู่นี่เอง
มีเพียงสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าหวังเค่อกำลังโกหกคำโตอยู่
คนหนึ่งคือจางเจิ้งเต้า
จางเจิ้งเต้าทราบดีที่สุดว่าก่อนหน้านี้ไม่นานหวังเค่อเพิ่งทำลายวรยุทธ์ตัวเองเพื่อเริ่มต้นฝึกใหม่
พลังฝึกปรือย้อนกลับไปอยู่ที่ขั้นแรกมาแหม็บๆ ทะลวงคอขวดผายลมอันใด!
เห็นอยู่เต็มสองตาว่าพอถูกต่อย คนก็ทะลวงด่านเหมือนสั่งได้ พับผ่าเถอะ
บนโลกนี้ยังมีเคล็ดวิชาวิปริตแบบนี้อยู่ด้วย? ที่แท้เ้าหวังเค่อมันฝึกวิชาปาหี่อันใดอยู่กันแน่?
อีกคนหนึ่งก็คือมู่หรงลวี่กวง
ช่วยทะลวงด่านผายลมเ้าสิ เมื่อกี้บิดาตั้งใจจะต่อยเ้าให้ตายต่างหาก!
ต่อยให้ตายน่ะเข้าใจไหม? แต่แล้วทำไมเ้าถึงได้ไม่เป็อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
แถมยังทะลวงด่านฝีมือหน้าตาเฉย? ทำไม? ทำไมกัน?
อย่าบอกนะว่าทั้งหมดล้วนเป็ความมโนของข้าเองคนเดียว?
“ท่านอาจารย์ ท่านมาก็ดีแล้ว
เมื่อกี้ศิษย์พี่มู่หรงทำกระบี่บินข้าชำรุดไปเล่มหนึ่ง
แต่ขณะเดียวกันก็ช่วยข้าทะลวงด่านฝีมือ
ศิษย์เลยไม่รู้จะสู้หน้าศิษย์พี่มู่หรงอย่างไรดี
ยังคงขอให้ท่านอาจารย์ช่วยตัดสินด้วย!” หวังเค่อรีบขยับตัวเข้าไปหาเฉินเทียนหยวน
ท่านอาจารย์มาแล้ว
เพราะงั้นก็ต้องกอดขาใหญ่ไว้! เคล็ดลมปราณของตนจะได้ไม่ถูกเปิดโปงออกไป
ความดีความชอบเื่การทะลวงด่านนี้มีแต่ต้องโบ้ยให้มู่หรงลวี่กวงไป
แต่เื่นั้นก็ส่วนเื่นั้น เื่นี้ก็ส่วนเื่นี้
เมื่อกี้เ้าทำกระบี่บินข้าพังไปเล่ม ยังคงต้องเอาคืนอยู่
“เื่เป็มายังไงกันแน่?”
เฉินเทียนหยวนนิ่วหน้า
หวังเค่อรีบสาธยายถึงเื่ราวที่เพิ่งจะเกิดขึ้นออกมาจนหมดเปลือก
เพราะเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยอยู่ที่นี่ด้วย หวังเค่อจึงไม่อาจใส่สีเติมไข่ลงไปได้
ได้แต่กล่าวรายงานไปตามสภาพที่เป็จริง
“เ้าตำหนักเนี่ย? ทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร?” เฉินเทียนหยวนย่นหัวคิ้วถาม
“ศิษย์ข้าบอกว่าศิษย์ผู้นี้ฝึกวิชามาร
เป็ไปได้สูงว่าจะกลายเป็มารไปแล้ว ข้าก็เลยอยากจะตรวจดูสักนิด!”
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยไม่ยอมถอยให้สักก้าว
“กลายเป็มาร? หวังเค่อ? เป็ไปได้ยังไง?” เฉินเทียนหยวนนิ่วหน้า
“ท่านประมุข
่นี้ศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูเห็นด้วยตาตัวเองว่าจางเจิ้งเต้าขนย้ายวัตถุมีพิษจำนวนมากเข้ามาภายในพรรคเทพหมาป่า์เรา!
มันจะต้องกำลังฝึกวิชามารอยู่เป็แน่!” มู่หรงลวี่กวงโพล่งขึ้นมาทันควัน
“โฮ่?” เฉินเทียนหยวนขมวดคิ้วมองหวังเค่อ
“ท่านอาจารย์
ศิษย์พี่มู่หรงตื๊อรักองค์หญิงโยวเยว่ไม่เป็ผลสำเร็จ
ดังนั้นเมื่อเห็นข้ากับองค์หญิงใกล้ชิดกันก็เลยอิจฉาจนคลุ้มคลั่ง...! ศิษย์เป็คนยังไง
ท่านอาจารย์มีหรือจะไม่รับทราบ?” หวังเค่ออธิบาย
คลั่งเพราะรัก?
เฉินเทียนหยวนมองเนี่ยเมี่ยเจวี๋ยและเห็นว่านางไม่ได้ปฏิเสธ
ชัดเจนว่านางเองก็มองออกถึงจุดนี้ แต่ไม่รู้ทำไม
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยกลับไม่ได้ห้ามมู่หรงลวี่กวงเอาไว้
สีหน้าของเฉินเทียนหยวนหม่นลงเล็กน้อย
“มู่หรงลวี่กวง เ้าเป็ศิษย์ของเ้าตำหนักเนี่ย
เดิมทีเปิ่นจุนไม่ควรเป็คนลงโทษเ้า
ก่อนหน้านี้เราสั่งให้เ้าไปเฝ้าประตูขึ้นเขาเพื่อบั่นทอนความพยาบาทในจิตใจเ้า!
แต่ตอนนี้เ้ากลับยิ่งอาการหนักขึ้นกว่าเดิม?”
“นี่เป็เื่จริงขอรับ!
ท่านประมุข ท่านอาจารย์ พวกท่านต้องเชื่อข้า
หวังเค่อจะต้องกำลังฝึกวิชามารอยู่แน่ๆ
ไม่งั้นแล้วมันที่เป็แค่ขอบเขตเซียนเทียนจะรับหมัดเมื่อครู่นี้ของข้าเอาไว้ได้อย่างไร?”
มู่หรงลวี่กวงกล่าวอย่างหดหู่
“หือ?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเลิกคิ้ว
“ที่แท้เมื่อกี้ศิษย์พี่มู่หรงตั้งใจจะทำร้ายข้าจริงๆ
ด้วย!
ข้าหลงนึกว่าเพราะท่าน้าจะชดใช้ให้กับเื่ที่ท่านทำลายกระบี่บินข้าของข้าไป
ท่านก็เลยช่วยข้าทะลวงด่านเสียอีก!” หวังเค่อทำตาโต
สีหน้าของเฉินเทียนหยวนเองก็เปลี่ยนเป็ไม่สู้ดีขึ้นมา
“ท่านอาจารย์ ท่านประมุข
เมื่อกี้ข้าไม่ได้หยั่งเชิงหวังเค่อจริงๆ นะขอรับ
ขอให้ท่านอาจารย์และท่านประมุขช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าด้วย
หวังเค่อจะต้องฝึกวิชามารอยู่แน่ๆ ศิษย์รับประกันได้! พวกท่านลองตรวจดูก็จะรู้เอง!”
มู่หรงลวี่กวงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยนิ่วหน้าอย่างคลางแคลงใจ
“มู่หรงลวี่กวง
เปิ่นจุนเป็คนพาหวังเค่อไปเลือกฝึกวิชาลมปราณของพรรคเทพหมาป่า์มาด้วยตัวเอง
และมันก็กำลังใช้เวลา่นี้เพื่อเริ่มต้นใหม่อยู่!
หลังจากสิ้นเปลืองแรงใจไปซะขนาดนั้น
เ้าในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของตำหนักหมาป่าบูรพากลับบอกว่าจะให้ข้าพิสูจน์เพื่อเอาผิด
ให้ร้ายศิษย์น้องผู้บริสุทธิ์อย่างนั้นรึ?” เฉินเทียนหยวนเอ่ยเสียงเย็น
“ศิษย์ขอสาบานด้วยฐานะศิษย์พี่ใหญ่พรรคเทพหมาป่า์
ศิษย์ไม่ได้ให้ร้ายหวังเค่อจริงๆ! ถึงแม้ว่าศิษย์จะไม่มีหลักฐาน
แต่ขอแค่ท่านประมุขลองตรวจดูสักครั้งก็จะรู้เองขอรับ!” มู่หรงลวี่กวงยังคงไม่ยอมเลิกรา
“เ้ากำลังจะบอกว่าข้าเป็คนถ่ายทอดวิชามารให้กับมัน?”
เฉินเทียนหยวนเองก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมา
“ข้า...!”
มู่หรงลวี่กวงหน้าแข็งทื่อ
“หวังเค่อ
เ้าบอกมันหน่อยซิว่าเ้ากำลังฝึกวิชาอันใดอยู่กันแน่!”
เฉินเทียนหยวนหันมามองหวังเค่อที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ชัดเจนว่าเฉินเทียนหยวนให้ท้ายหวังเค่ออยู่
ฝึกวิชาอะไรอยู่? นี่จะให้หวังเค่อพูดออกมาอย่างไรดี?
ตัวมันไม่อยากโกหกต่อหน้าท่านอาจารย์นี่นา!
ขืนถูกจับได้ขึ้นมาจะทำยังไง? หวังเค่อก็เลยส่งสายตาไปทางจางเจิ้งเต้าที่อยู่ไม่ไกลกัน
“หวังเค่อ วิชาที่มันฝึกคือเคล็ดเทพอัคคีขอรับ
ตอนที่มันฝึกข้าก็ยืนดูอยู่ข้างๆ ตลอด!” จางเจิ้งเต้ารีบให้การสนับสนุน
คนที่เอ่ยประโยคนี้คือจางเจิ้งเต้า
ไม่ใช่ตัวหวังเค่อเอง เพราะงั้นไม่ถือว่าเป็การโกหก
อย่างมากก็เป็จางเจิ้งเต้านั่นแหละที่โกหก
“เคล็ดเทพอัคคี?” เฉินเทียนหยวนเริ่มข้องใจขึ้นมา
เห็นชัดว่าทุกคนที่นี่ไม่มีใครเลือกฝึกวิชานี้
ตัวเฉินเทียนหยวนเองกระทั่งกำชับหวังเค่อว่าเป็เพราะมันคุ้นเคยกับวิชาเคล็ดเทพวายุก็เลยอยากที่จะให้หวังเค่อฝึกวิชานี้ตามมัน
แต่ผลกลับกลายเป็ว่าหวังเค่อไม่ได้เลือกฝึกวิชาเดียวกันกับตัวเอง
“เคล็ดเทพอัคคี? เป็ไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้ที่ข้าต่อยถูกตัวมัน
แม้จะไม่ได้ััถึงไอมารอันใด แต่นั่นจะต้องไม่ใช่เคล็ดเทพอัคคีเป็อันขาด
ร่างของมันไม่มีธาตุอัคคีอยู่แม้แต่นิดเดียวเลยด้วยซ้ำไป!”
มู่หรงลวี่กวงกลายเป็ตื่นเต้นยินดีขึ้นมา
“โฮ่?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยพินิจมองหวังเค่อ
ประกายเยียบเย็นวาบผ่านในตา
แม้เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยจะปิดปากเงียบถึงเป้าหมายการมาในครั้งนี้มาโดยตลอด
แต่นางก็ยังอยากจะเชื่อในความกังขาของศิษย์ตัวเองอยู่ดี
จางเจิ้งเต้าทางด้านข้างวิตกกังวลแทนหวังเค่อ
จะถูกจับได้แล้วหรือไม่?
“ธาตุอัคคี? ธาตุอัคคีคือสิ่งใด? ใช่สัจปราณหรือไม่?” หวังเค่อมองมู่หรงลวี่กวง
“มิผิด
สัจปราณของเคล็ดเทพอัคคีคือธาตุไฟ มีความร้อนระอุดุจไฟผลาญ
หากลองจับคู่กับพวกคาถาเล็กๆ ขอแค่โคจรสัจปราณมันก็จะกลายเป็คาถาเพลิง
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เคล็ดลมปราณอื่นจะลอกเลียนออกมาได้! หวังเค่อ
เ้าลองปล่อยไฟออกมาหน่อยสิ?” มู่หรงลวี่กวงเอ่ยเสียงเย็น
“สัจปราณ คาถาเพลิง? นี่มีตรงไหนยากกัน?” แต่หวังเค่อกลับเชื่อมั่นในตัวเอง
“อ้อ? งั้นเ้าก็ลองโคจรสัจปราณออกมาให้พวกเราดูหน่อยเป็ไร?
สัจปราณของวิชามารก็จะเป็สีดำตามไอมารของพวกมัน หวังเค่อ
เ้ากล้าหรือเปล่า?” มู่หรงลวี่กวงหรี่ตาถาม
“แล้วถ้าสัจปราณของข้าไร้ซึ่งไอมาร
แถมยังสามารถปลดปล่อยคาถาเพลิงออกมาได้อีก เ้าจะว่าอย่างไร?” หวังเค่อจ้องตามู่หรงลวี่กวง
“เ้า้าอะไร?” มู่หรงลวี่กวงถามอย่างเคร่งขรึม
“ค่าเสียหาย
เมื่อกี้เ้าทำกระบี่บินข้าพังไปเล่ม เพราะงั้นเ้าก็ใช้คืนข้ามาเล่มหนึ่ง แล้วก็
เ้าทำร้ายบ่าวรับใช้ขององค์หญิง ต้องจ่ายค่ายากับค่าเสียหายทางจิตใจมาด้วย
แต่เห็นแก่ที่เราเป็ศิษย์ร่วมสำนักกัน ข้าจะลดให้เ้าสองในสิบส่วน
คิดเ้าแค่หนึ่งหมื่นชั่งก็พอ ว่าอย่างไรล่ะ?” หวังเค่อจ้องมู่หรงลวี่กวง
จางเจิ้งเต้าเบิ่งตามองหวังเค่อ นี่เ้ากำลังรีดเอาทรัพย์ต่อหน้าต่อตาท่านประมุขเลยนะนี่!
ศิลาิญญาหนึ่งหมื่นชั่ง? บิดาวิ่งวุ่นช่วยเ้ามาหลายวันจนขาขวิดยังได้เงินจากกระเป๋าเ้ามาเป็ค่าเดินทางแค่ไม่กี่พันชั่ง
แต่ในชั่วพริบตาเ้าก็หาเงินกลับเข้ากระเป๋าได้แล้ว?
“ตกลง!”
มู่หรงลวี่กวงตอบรับเสียงต่ำ
มู่หรงลวี่กวงแน่ใจว่าวิชาที่หวังเค่อฝึกจะต้องมีปัญหา
มันจึงไม่คิดเสวนาไร้สาระกับหวังเค่อแต่ตกปากรับคำทันที
มู่หรงลวี่กวงยอมรับปากออกมาง่ายๆ
จางเจิ้งเต้าที่อยู่ไม่ไกลจึงร้อนใจขึ้นมา หวังเค่อ
เ้าจะเดิมพันกับมันไปทำผายลมอันใด! ธาตุอัคคี? ของเ้าน่ะมันธาตุผายลมต่างหาก! ขืนใช้ออกมาไม่ถูกจับได้กันพอดี?
หวังเค่อขยับมือไปมา
จากนั้นบนใจกลางฝ่ามือก็ปรากฏะุควงสว่านขนาดเท่าไข่ใบหนึ่งขึ้นมา ไม่สิ
เป็ลูกโป่งสัจปราณต่างหาก
เพียงแต่ว่าลูกโป่งสัจปราณในเวลานี้ไม่ได้เป็สีทองเหมือนตอนก่อนหน้านี้อีก
แต่เปลี่ยนเป็สีเหลืองสว่าง
“มู่หรงลวี่กวง
มีไอมารแอบอยู่ตรงไหนหรือเปล่าล่ะ?” หวังเค่อถามเสียงต่ำ
สัจปราณขุ่นควบแน่นอยู่บนฝ่ามือของหวังเค่อ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ส่งกลิ่นออกมา
“มีไอมารอยู่ตรงไหนกัน?”
เฉินเทียนหยวนเอ่ยเสียงเย็น
ตัวหวังเค่อยอมเผยสัจปราณออกมาเอง
ดังนั้นก็ไม่จำเป็จะต้องไปพิสูจน์ตรวจสอบอะไรอีกแล้ว
สัจปราณลอยเด่นเป็สง่าอยู่บนฝ่ามืออยู่โทนโท่ จะบอกว่าเป็ไอมารรึไง?
เฉินเทียนหยวนยิ่งมายิ่งไม่พอใจในตัวมู่หรงลวี่กวง
“ไม่ถูกต้อง
ข้าจำได้ว่าสัจปราณของเคล็ดเทพอัคคีเป็สีแดง
แต่ทำไมสัจปราณนี้ถึงได้มีสีเหลืองกันล่ะ...?” เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเอ่ยอย่างฉงนฉงาย
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ยเมื่อเห็นว่าสัจปราณของหวังเค่อไม่มีสีดำอย่างไอมาร
สายตาที่ใช้มองหวังเค่อก็ไม่ได้เ็าบาดจิตถึงเพียงนั้นอีก
แต่ความกังขาก็ยังคงไม่หายไปจากใจ
จางเจิ้งเต้าทางด้านข้างไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป
นี่ใช่สัจปราณสีเหลืองตรงไหน! นี่เขาเรียกสีขรี้โอเคไหม? หวังเค่อเอ๋ยหวังเค่อ
เคล็ดลมปราณของเ้าสุดท้ายก็ถูกเปิดโปงจนได้
“นั่นเป็เพราะว่าสรีระของข้าต่างหาก
เคล็ดเทพเมื่ออยู่ในมือข้าจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงพิลึกพิลั่นเล็กน้อย
นี่เป็เื่ปกติอย่างยิ่ง!” หวังเค่ออธิบาย
“เกิดการเปลี่ยนแปลง? ฮึ่ม หวังเค่อ แล้วธาตุอัคคีล่ะ? เพลิงของเ้าไปอยู่ไหนเสียล่ะ?
ข้ามองไม่เห็นธาตุอัคคีอยู่ในสัจปราณของเ้าเลยสักนิดเดียว
เ้าบอกข้าซิว่าเ้าจะใช้คาถาเพลิงออกมาอย่างไร?” มู่หรงลวี่กวงยังกัดไม่ปล่อย
“หืม?” ทุกคนนิ่วหน้ากันทันที
จริงด้วย! แล้วธาตุอัคคีเล่า? ต่อให้เคล็ดเทพอัคคีเกิดการเปลี่ยนแปลงจริง
แต่ยังไงก็ยังเป็เคล็ดเทพอัคคีอยู่วันยังค่ำ! ดังนั้นก็ควรจะต้องมีธาตุอัคคีอยู่ด้วยสิ!
แต่ไม่มีใครััได้เลยสักคนเดียว หรือว่าหวังเค่อจะโกหก?
เฉินเทียนหยวนเองก็เริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน
“เพลิง? นี่มีตรงไหนยากกัน? ไปเอาไม้ขีดมา!”
หวังเค่อสั่งคนของตัวเอง
ไม่นานลิ่วล้อคนนั้นก็นำไม้ขีดมาให้หวังเค่อ
ท่ามกลางสายตางุนงงของทุกคน
หวังเค่อก็จุดไม้ขีดเบาๆ
“เชี้ยะ!”
ไม้ขีดติดไฟ
จางเจิ้งเต้าเผยสีหน้าตกตะลึง
นี่น่ะหรือวิชาอัคคีของเ้า? เ้าก็แค่จุดไม้ขีดไฟเท่านั้นไหม? นี่เ้ากำลังสบประมาทระดับสติปัญญาของทุกคนอยู่หรือไง?
นี่ไปเกี่ยวอะไรกับสัจปราณผายลมนั่นของเ้าด้วย?
จากนั้นก็เห็นหวังเค่อนำไม้ขีดที่กำลังติดไฟเข้าไปใกล้ลูกโป่งสัจปราณบนฝ่ามือ
“ฟุ่บ!”
ลูกโป่งสัจปราณลุกโพลง
พลันติดไฟขึ้นมา
จางเจิ้งเต้า “…!”
เฉินเทียนหยวน “…!”
เนี่ยเมี่ยเจวี๋ย “…!”
องค์หญิงโยวเยว่ “…!”
มู่หรงลวี่กวง “…!”
คาถาเพลิงที่เ้าฝึกจำต้องใช้ไม้ขีดมาจุดให้ติดไฟ?
คาถาเพลิงที่มีแต่ต้องใช้ไม้ขีดจุดให้ติด? คาถาเพลิงที่หากไม่มีไม้ขีดช่วยจุดก็จะไม่มีวันเสกไฟออกมาได้?
