แสงแดดยามบ่ายสาดส่องลงบนพื้นสนามที่ดาษดื่นไปด้วยเศษไม้และกระบี่รวมทั้งแอ่งน้ำขังจากฝนที่ตกลงมาเมื่อวานส่องสะท้อนเงาของกลุ่มลูกศิษย์ที่สวมชุดของสำนัก
สิ่งเดียวที่ข้าแตกต่างจากคนพวกนี้ราวฟ้ากับเหวที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้คือสถานะ‘ขั้นสูง’ และ ‘สำรอง’ บนหน้าอก
แววตาที่จดจ่อและคาดหวังกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นของลูกศิษย์พวกนั้นยิ่งทำให้ข้าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนหลัวเหวินก็อยู่ในกระบวนท่าัพันศิลาเรียบร้อยแล้วพร้อมกับสายตาที่มองมาอย่างดูถูกก่อนจะพูดขึ้น “เข้ามาสิให้ทุกคนได้รู้ว่ากระบวนท่าัพันศิลาของเ้าแข็งแกร่งสักแค่ไหนแต่เ้าไม่ต้องกังวลไปเพราะข้าจะไม่โจมตีแม้แต่นิดเดียว หวังว่าเ้าจะกล้าพอหรือถ้าไม่...ก็สมควรแล้วล่ะที่เ้าจะเป็ไอ้ศิษย์สำรองกระจอกในโรงเกลากระบี่นั่นต่อไป!”
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะวางกองกระบี่ในมือไว้ข้างๆและเดินเข้าไปประจันหน้ากับหลัวเหวิน“ท่านแน่ใจนะว่าจะให้ข้าจู่โจมท่านอยู่ฝ่ายเดียว”
“แน่ใจสิ”
หลัวเหวินมองตอบด้วยสายตาที่เชื่อมั่นในพลังของตัวเอง“สบายใจได้เลย เพราะศิษย์สำรองที่ยังไม่บรรลุขั้นหลอมปราณอย่างเ้าไม่มีทางทำร้ายข้าได้แน่นอน”
ข้าขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วคงต้องลองดูกันสักตั้ง!
หลังจากเคลื่อนลมปราณก็เกิดเป็พลังลมหายใจัแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างกายศิษย์คนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา
“เป็แค่ศิษย์สำรองแต่กล้าใช้พลังลมหายใจัมาสู้กับอาจารย์ผู้ช่วยงั้นเหรอ?”
“ฮ่าๆๆ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงซะจริงๆ”
“รอดูมันขายหน้าเถอะ เพราะดูๆ แล้วพลังของมันก็ไม่น่าจะเกินขั้นหนึ่งแน่ๆ”
เมื่อปรากฏพลังของวิชาลมกายใจัท่ามกลางสายตาที่ต่างชะงักงันไปชั่วขณะจริงอยู่ที่พลังเมื่อครู่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปแต่ไม่ใช่กับศิษย์สำรองที่น้อยคนนักจะทำได้ขนาดนี้
พลังยังคงเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆกระทั่งเข้าขั้นที่สองอย่างัพันศิลาที่ทั้งหนักแน่นดุจขุนเขาและเยือกเย็นราวกับสายน้ำให้ประจักษ์แก่สายตาคนพวกนั้น
“พระเ้าช่วย นี่มันพลังระดับสมบูรณ์ในขั้นที่สอง!”คนที่ตกตะลึงมีเพิ่มมากขึ้นกว่าครึ่ง
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงพลังิญญาในตัวข้าก็ยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุดจนเข้าสู่ขั้นที่สามและสี่ตามลำดับคลื่นพลังสาดซัดออกมาเป็ระลอกจนเผยให้เห็นัสีเขียวมรกตกว่าครึ่งตัวกำลังแหวกว่ายในอากาศเกล็ดเลื่อมแวววาวเมื่อแสงตกกระทบ และกรงเล็บคมดุจคมมีดทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นคือกระบวนท่าระดับสมบูรณ์ในขั้นที่สี่ของวิชาลมหายใจัอย่างปราณัเอกานั่นเอง!
ดูเหมือนว่าภาพตรงหน้าจะทำให้ศิษย์ทุกคนต่างตกตะลึง
“เป็ไปได้ยังไง ทำไมเ้าศิษย์สำรองนี่ถึงฝึกฝนจนเข้าขั้นที่สี่ได้!?”
“ไม่น่าเชื่อ...มิน่าล่ะทำไมเ้านี่ถึงได้รับมือกับเฉิ่นปู้หยุนได้ถึงสี่กระบวนท่า!”
“พลังของมัน...คงจะไม่เพิ่มอีกแล้วใช่ไหม?”
เมื่อสิ้นเสียงจากรอบข้างข้าก็ะโลั่นแล้วะเิพลังออกมาอีกครั้งพลังิญญาหลอมรวมปรากฏัเลื้อยรัดอยู่รอบตัวดุจราชันที่มีอำนาจเหนือสรรพสิ่งแม้จะเพิ่งเริ่มเข้าสู่ขั้นที่ห้าแต่พลังกลับแก่กล้าและแทรกซึมสู่ภายในอย่างเต็มเปี่ยมจนต้องปลดปล่อยเมื่อสบโอกาส
“ขั้นที่ห้า!นั่นมันขั้นที่ห้าของวิชาลมหายใจั!”
“พระเ้าช่วยเ้าศิษย์ตัวสำรองนี่มันตัวอะไรกันแน่ถึงได้ฝึกฝนวิชาลมหายใจัขั้นที่ห้าจนสำเร็จได้!?”
“ปกติอา...อาจารย์ผู้ช่วยต่างก็อยู่ในขั้นที่ห้ากัน แต่นี่มัน...”
...
ข้าจับจ้องไปยังหลัวเหวินแล้วพูดขึ้น“จะเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทัน”
หลัวเหวินชะงักนิ่งไปชั่วขณะเพราะเขาเป็ถึงระดับอาจารย์ผู้ช่วยซึ่งอยู่ในขั้นที่ห้าเหมือนกันและที่สำคัญตอนนี้เขาใช้ได้เพียงพลังของขั้นที่สองเท่านั้นซึ่งความรุนแรงของมันก็ต้องแตกต่างจากพลังในขั้นที่ห้าของข้าแน่นอนอยู่แล้วเขาแพ้ให้ข้าเมื่อเทียบขั้นของวิชา แต่กลับชนะในขั้นการบำเพ็ญ ขั้นเทวิญญาและขั้นหลอมปราณที่แตกต่างกันมากจนยากจะอธิบายเป็คำพูด
เขากระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะพูดขึ้น“เข้ามาสิ...แล้วข้าจะทำให้เ้ารู้ว่ากระจอกก็คือกระจอกและถึงจะบรรลุสูงขึ้นไปกี่ขั้นก็ยังเป็พวกกระจอกอยู่วันยังค่ำ!”
ข้าได้ยินแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อแต่กลับะโขึ้นแล้วพุ่งไปยังหลัวเหวินอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาดโดยใช้เพลงขาเมฆาหมอกในขั้นแรกอย่างเอกากัลป์เบิกขุนเขาถีบลงไปอย่างแรง
ตูม!!!
ขาซ้ายที่ถีบลงไปยังกระบวนท่าัพันศิลาของหลัวเหวินเหมือนกับการถีบลงบนเสาเหล็กจนเกิดเปลวเพลิงจากแรงกระแทกอันรุนแรงแม้ความเจ็บจะแล่นแปลบขึ้นมาแต่กลับทำให้ข้ารู้สึกดีก่อนจะเบี่ยงตัวและหลอมพลังจนเกิดเป็เปลวเพลิงอีกครั้งส่วนขาข้างเดิมก็รัวลูกถีบด้วยกระบวนท่าเพลิงม้วนใบที่ฟาดลงไปดุจสายฟ้า
เพลิงม้วนใบเป็กระบวนท่าที่รวดเร็วและทรงพลังเมื่อโจมตีจากด้านข้างของคู่ต่อสู้จากการถีบลงไปคราวนี้ข้าจะมีพลังที่เหมือนกับเฉิ่นปู้หยุนได้จริงๆจนทำให้ร่างของหลัวเหวินสั่นะเืจากแรงที่ส่งไปถึงแม้พลังจากกระบวนท่าัพันิญญาจะยังอยู่ แต่ร่างของเขาถลาจนเกลือบล้มแต่ในฐานะผู้ที่ฝึกฝนไปถึงขั้นสูงอย่างเทวิญญาก็ต้องมีไหวพริบและปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วเป็ธรรมดา ซึ่งนั่นก็ทำให้หลัวเหวินออกแรงที่ขาซ้ายและเบนตัวขยับไปทางขวาอย่างรวดเร็ว
และนี่แหละคือสิ่งที่ข้า้า!
เพียงชั่วพริบตาที่หลัวเหวินออกแรงเบนตัวไปทางขวาเท้าทั้งสองข้างของข้าก็ได้กักเก็บพลังิญญาจากเพลงขาเมฆาหมอกไว้เต็มเปี่ยมก่อนจะโน้มตัวเหมือนคันธนูและใช้แขนข้างหนึ่งค้ำร่างเอาไว้แล้วฉวยโอกาสจากแรงเบนตัวด้วยกระบวนท่าสองขาทลายบัวถีบเข้าไปสองครั้งรวดที่ไหลซ้ายของหลัวเหวินอย่างแรง
ตุบ!ตุบ!
ทั้งเร็วและรุนแรงจากการใช้แรงของขาทั้งสองข้าง “แย่แล้ว...”
หลัวเหวินร้องเสียงดังร่างที่เกือบจะล้มพยายามดีดตัวให้ลุกขึ้นแต่ก็ถูกข้าที่รุกเร็วกว่าใช้กระบวนท่าลำแสงหมื่นลี้ยกขาขั้นสูงแล้วฟาดลงมาจนเกิดเสียงดัง
ตูม!
เท้าที่ทรงพลังฟาดลงมาบนใบหน้าของหลัวเหวินอย่างจังก่อนจะเตะซ้ำจนร่างปลิวไปตกในแอ่งน้ำจนละอองน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วรวมถึงใบหน้าที่แปดเปื้อนดินโคลนจนหมดสภาพ
ทุกคนต่างยืนมองอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าระดับอาจารย์ผู้ช่วยจะมาพ่ายแพ้ให้กับศิษย์ตัวสำรองอย่างข้าแถมยังแพ้แบบย่อยยับขนาดนี้อีก
“ท่านอาจารย์ ข้าสู้เสร็จแล้ว จะกลับได้หรือยังขอรับ?” ข้าถามขึ้นเสียงเรียบ
“เ้า...เ้า...” หลัวเหวินลุกขึ้นนั่งด้วยความเ็ปจนพูดไม่ออกเพราะทีแรกตั้งใจทำให้ข้าขายหน้าแต่สุดท้ายกลับให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวเสียเองจนศิษย์หญิงของสำนักบางคนถึงกับหัวเราะออกมา
ถึงจะอย่างไรก็ต้องทำตัวเป็ศิษย์ที่มีมารยาทข้าจึงเดินไปโค้งคำนับเขาหนึ่งครั้ง ก่อนจะเข็นรถเดินออกมา
เป็เื่ธรรมดาที่จะมีทั้งผู้มีจิตใจบริสุทธิ์และจิตใจต่ำทรามปะปนอยู่บนโลกที่สงบและสันติใบนี้
ส่วนข้าเพียงแค่อยากให้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ในโรงเกลากระบี่เพื่อตามหาพลังที่หายไปเท่านั้นและไม่เคยคิดหาเื่หรือรังแกใครก่อนแต่ถ้าเกิดมีพวกคนต่ำทรามมาหาเื่ก่อนก็จะโทษข้าไม่ได้!
...
กลับมาที่โรงเกลากระบี่ได้ไม่นานสวี่ลู่ก็เดินเข้ามาพอดี
“มีธุระอะไรหรือเปล่า พี่ลู่?”
นางขมวดคิ้วเล็กๆก่อนจะถามขึ้น “เมื่อเช้าเ้าไปอัดหลัวเหวินที่สนามฝึกมาใช่ไหม?”
“อืม ทำไมเหรอ? ก็เห็นหลัวเหวินอยากจะประลองจนตัวสั่นข้าก็เลยสนองให้ก็เท่านั้น”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาแต่ปัญหาคือมีศิษย์หลายคนเห็นเ้าใช้เพลงขาเมฆาหมอกของเฉิ่นปู้หยุนหลัวเหวินก็เลยไปฟ้องฝ่ายปกครอง พี่เ้าก็เลยให้ข้ามาตามไปพบ”
“อ่อ...”
ได้ยินแบบนี้ข้าก็เลยตามนางไปโดยไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย
ยามเย็นใน่ฤดูใบไม้ร่วงที่มีลมพัดเย็นแทนที่ความร้อนใน่บ่ายศิษย์หลายคนต่างก็เลิกเรียนและออกมาเดินเตร่อยู่บนถนนส่วนข้ากลับต้องเดินคอตกตามสวี่ลู่ไปยังห้องทำงานของพี่เสวียนยินที่พอเข้ามาได้นางก็ขอตัวเดินออกไป
ปู้เสวียนยินในชุดสีเทานั่งอยู่บนโซฟาอยู่ก่อนแล้วพอเห็นข้าเข้ามาก็พยักหน้ารับก่อนจะพูดขึ้น “นั่งสิ...”
ข้านั่งลงตามคำเชิญก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดูเป็กังวลจนนั่งแทบไม่ติด“มันกลายเป็เื่ใหญ่แล้วใช่ไหมท่านพี่?”
“ใช่”
นางยกน้ำชาชั้นดีขึ้นมาจิบคำหนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองมาที่ข้าแล้วถาม “เสี่ยวเชวียนนี่เ้าไปเรียนเพลงขาเมฆาหมอกมาั้แ่เมื่อไร?”
“ข้าก็ไม่รู้”
ข้าตอบพลางส่ายหัว“ขนาดข้าเองยังไม่รู้เลยว่าทำไมทุกๆ ครั้งที่ไปประลองกับเฉิ่นปู้หยุนกระบวนท่าต่างๆ ของเขาถึงได้กลายเป็ภาพติดตาที่สะบัดเท่าไรก็ไม่หลุดสักที”
ปู้เสวียนยินฟังแล้วก็เงียบอยู่นานก่อนจะพึมพำออกมาทั้งน้ำเสียงและแววตาดูร้อนรนและกระสับกระส่ายเล็กน้อย“หรือพลังพร์ของเ้าจะเป็การผสานพลัง?”
“การผสานพลัง?”
“อืม มันเป็พลังพร์ระดับ S ซึ่งเ้าสามารถลอกเลียนแบบรักษา ควบคุมเวลา และสลายพลังของคู่ต่อสู้ได้แต่ว่า...หากเป็แค่การผสานพลังอย่างเดียวเ้าจะทำได้แค่ลอกเลียนแบบแต่ไม่มีทางใช้พลังจนเอาชนะอาจารย์ผู้ช่วยคนหนึ่งได้แน่ๆ”
นางที่เหมือนพึมพำอยู่กับตัวเองเงยหน้าขึ้นมองข้าอีกครั้ง“ไหนลองใช้เพลงขาเมฆาหมอกให้ข้าดูหน่อยสิ”
“อืม”
ข้าลุกขึ้นยืนก่อนจะใช้กระบวนท่าเอกากัลป์เบิกขุนเขาที่ส่งพลังมาจากขาซ้ายแล้วสะบัดเท้าไปข้างหน้าจนเกิดการปะทุและะเิออกของพลังิญญาในอากาศจนพุ่งเข้าชนผ้าม่านและหน้าต่างเกิดเป็ระลอกคลื่นปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ปู้เสวียนยินเม้มปากแน่นเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่แล้วพูดขึ้น“นี่ไม่ใช่สิ่งที่การผสานพลังจะทำได้แน่ๆ เ้าบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเ้าทำได้ยังไง”
ข้าบอกไปตามตรงอย่างละเอียด“ทุกครั้งที่ถูกเฉิ่นปู้หยุนอัดจนน่วม ข้าจะสามารถซึมซับเอาพลังของเขามาได้ส่วนหนึ่งทำให้ทุกครั้งเมื่อข้าใช้กระบวนท่าเดียวกันก็จะใช้พลังนั้นได้เช่นกัน”
“หรือจะเป็มัน...”
ปู้เสวียนยินขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิดบางอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
“จริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ท่านพี่?” ข้าถามขึ้น
“เ้าอย่าเพิ่งถาม” ปู้เสวียนยินพูดออกมาเหมือนไม่สบายใจก่อนจะทำหน้าจริงจังแล้วพูดต่อ“นับจากวันนี้ไปอย่าแสดงพร์ของเ้าให้ใครเห็นเป็อันขาดแล้วบอกกับทุกคนไปว่าพร์ของเ้าเป็แค่การผสานพลังเท่านั้น ได้ยินไหม?”
“อืม แล้วสรุปมันคืออะไรกันแน่?”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ขอให้ไม่ใช่มันก็พอ...” ปู้เสวียนยินว่าแล้วกัดริมฝีปากล่างเบาๆ
“แล้วมันที่ว่ามันคืออะไรกันแน่?” ข้าถามขึ้นอย่างสงสัย
“การดูดกลืน”
นางมองมาที่ข้าอย่างจริงจังแล้วพูดต่อ“พลังพร์ที่เรียกว่าการดูดกลืนเป็พลังที่พันปีจะมีหนึ่งครั้งโดยผู้ที่มีพร์นี้คนล่าสุดถูกเผาให้ตายทั้งเป็ไปแล้ว และข้าก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าน้องชายของข้ามีพร์ที่เหมือนต้องคำสาปนี้”
“เ้าพลังพร์นี้มัน...ร้ายกาจมากงั้นเหรอ?” ข้าถามเสียงเบา
เฮ้อ...
พี่เสวียนยินถอนหายใจออกมาเสียงดังก่อนจะจ้องมองข้าด้วยสายที่เหม่อลอย “พลังพร์อย่างการควบคุมิญญาและการผสานพลังพวกนั้นต่างก็อยู่ในระดับSแต่การดูดกลืนยังวัดระดับไม่ได้ มีบางคน้าให้อยู่ในระดับ SSSด้วยซ้ำแต่พลังของการดูดกลืนเป็เหมือนคำสาปที่เ้าจะต้องรู้จักใช้อย่างระมัดระวังเพราะข้าไม่อยากเห็นเ้ามีปัญหาส่วนเย็นวันนี้เ้าเองก็ไม่ต้องไปหาเฉิ่นปู้หยุนแล้วล่ะ”
“ทำไม?”
“เฉิ่นปู้หยุนจะต้องรู้เื่ที่เ้าใช้เพลงขาเมฆาหมอกของเขาแล้วแน่นอนเพราะการลักลอบเรียนวิชาของผู้อื่นเป็สิ่งต้องห้ามเฉิ่นปู้หยุนเขาจะต้องเล่นงานเ้าแบบกะให้ตายไปเลยแน่ๆแต่ถ้าเ้าไม่ไปถึงที่เขาก็อาจจะยังเห็นแก่หน้าข้าแล้วละเว้นเ้าได้บ้าง”
ข้าได้ยินแล้วเงียบไป
“อย่าบอกนะว่าเ้ายังอยากจะไปเจอเขาอีก?”
ข้าพูดน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวแล้วมองตรงไปที่นาง“ยิ่งเป็แบบนี้ ข้าก็ยิ่งต้องไปอธิบายให้ชัดเจนเพราะจะให้ข้าหลบเขาไปตลอดชีวิตก็คงจะไม่ได้ ท่านว่าไง?”
“งั้นก็ตามใจ ข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงกับนิสัยหัวแข็งของเ้าแล้วเหมือนกัน”
นางก้มหน้าลงเล็กน้อยสายตามองมาแบบรู้ทันแล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง“แต่ว่านิสัยของเ้านี่ช่างเหมือนข้าไม่มีผิด สมแล้วที่เป็พี่น้องกัน”