ในที่สุดเซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่ได้ช่วยทายาให้เขา
แม้ว่าเธอจะอยากช่วยทายาให้เขา แต่เพื่อไม่ให้ตกหลุมพรางที่เขาขุดไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอดทน
อย่างไรเสีย คนมีแผลเป็ก็ไม่ใช่เธอสักหน่อย
เซวียเสี่ยวหรั่นกัดแทะเนื้อปลารสชาติจืดชืดอย่างหงุดหงิด
แม้ไม่มีทั้งน้ำมันและเกลือ แต่รสชาติของปลาย่างก็ยังไม่เลว
เหลียนเซวียนเหลือบมองดวงหน้าเล็กจ้อยที่กำลังโมโหโทโส รอยยิ้มก็ผุดวาบบนมุมปาก
ปลาไม่ติดเบ็ด น่าเสียดาย...
"เมื่อก่อนท่านย่างปลาบ่อยหรือ ปลาย่างนี่อร่อยมากเลย" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่อยากตอแยเขาต่อเื่ทายาไม่ทายา จึงเปลี่ยนเื่คุยเสียเลย
"เมื่อครั้งติดตามอาจารย์ไปท่องหาประสบการณ์ ยามอยู่กลางป่ากลางเขาล้วนต้องลงมือเอง"
อาจารย์ไม่ชอบพาบ่าวรับใช้ติดตามมาด้วย หลายๆ เื่จึงเป็หน้าที่เขากับศิษย์พี่ลงมือเอง
"มิน่าฝีมือท่านถึงได้ดีนัก" เซวียเสี่ยวหรั่นเยินยอเขา
เหลียนเซวียนมองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "ฝีมือเ้าดียิ่งกว่า"
ทุกการกระทำอันบ้าบิ่นของนางยามอยู่ในป่า เขาล้วนจำได้
"คนเราเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์พิเศษบางอย่าง ย่อมสามารถทลายขีดจำกัดของตนเอง หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ใครเล่าจะไม่อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่เมื่อตกมาอยู่สถานการณ์เลวร้ายไร้หนทางเลือก หากท่านไม่พยายามปรับตัวอย่างสุดกำลังก็ย่อมจะถูกธรรมชาติกำจัด แม่นางเช่นข้าผู้นี้ยังใช้ชีวิตวัยสาวไม่พอเลย ไหนเลยจะยอมแพ้ง่ายๆ"
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นสีหน้าเขา ก็รู้แล้วว่าคิดอะไรอยู่ ครั้นแล้วก็เริ่มบ่นเป็คนแก่ ตบอกของตนเองพูดถึงหลักสัจธรรม
แต่สายตาของเหลียนเซวียนกลับตกมาอยู่ที่บางส่วนซึ่งกระเพื่อมไหวตามแรงตบของเธอ
ชั่วขณะนั้นปากของเธอพูดอะไรบ้างล้วนได้ยินไม่ชัด
"เหลียนเซวียน? เหลียนเซวียน?"
เซวียเสี่ยวหรั่นพูดพล่ามเสียยืดยาว กลับพบว่าคนข้างกายดูเหมือนจะใจลอยไปถึงไหนต่อไหน ก็รู้สึกฉุนอย่างบอกไม่ถูก
"แฮ่ม ข้าฟังอยู่" เหลียนเซวียนได้สติกลับมา ก็เบนสายตาไปอย่างสงบนิ่ง
มีดอกไม้เล็กๆ สีชมพูไม่ทราบชื่อขึ้นอยู่ในพงหญ้าไม่ไกลนัก
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปนานแล้ว แต่นับวันหัวใจของเขากลับยิ่งหวั่นไหวง่ายขึ้น ปลายจมูกของเหลียนเซวียนเริ่มแดงเล็กน้อย
เขาควรรุกให้เร็วกว่านี้เสียแล้ว
"เห็นอยู่ว่าท่านไม่ได้ฟัง" เซวียเสี่ยวหรั่นตัดพ้อ ไม่อยากให้เขาทำไขสือแล้วปล่อยผ่านไป
"ฟังอยู่ เ้าพูดถูกทั้งหมด" นางวางตัวทรงภูมิกล่าวอ้างเหตุผล ไม่จำเป็ต้องฟังก็รู้ว่าพูดอะไรอยู่ ลูกไม้พื้นๆ ของนางเหล่านี้เหลียนเซวียนคุ้นเคยเป็อย่างดี
เซวียเสี่ยวหรั่นกะพริบตาอย่างคลางแคลง
"อ้อ พูดถึงเื่นั้น เ้าใคร่ครวญไปถึงไหนแล้ว" เหลียนเซวียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
"เื่ไหน?" เซวียเสี่ยวหรั่นงุนงงอีกครา เศษปลาไหม้เกรียมชิ้นหนึ่งติดอยู่บนริมฝีปากชมพูระเรื่อ
"เื่สถานะใหม่" สายตาลุ่มลึกของเหลียนเซวียนจดจ้องนาง นึกอยากเอื้อมมือเข้าไปหยิบออกให้
"เื่นี้เองเหรอ" เซวียเสี่ยวหรั่นถูกจนลนลาน "เพราะเหตุใดท่านถึงอยากให้ข้าเปลี่ยนไปเป็ญาติผู้น้องจากแดนไกลของพี่ใหญ่ผูหยางนัก?"
"แล้วเ้ามีสถานะอื่นหรือไม่เล่า?" เหลียนเซวียนถามตามตรง
มีสิ แค่ไม่ได้อยู่โลกนี้เท่านั้น เซวียเสี่ยวหรั่นกัดริมฝีปากมองเขา
เห็นแค่นี้ เหลียนเซวียนก็รู้ว่านางเตรียมซุกหัวเข้าไปในกระดองอีกแล้ว จึงทำสีหน้าเคร่งขรึมทันควัน
"เ้าไม่มีสถานะที่เหมาะสม ต่อให้ซื้อทะเบียนสำมะโนครัวได้ ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมใหม่ที่ไม่รู้จักมักคุ้น ซ้ำร้ายอาจถูกคนมีจิตไม่ซื่อตรงจ้องเอาเปรียบได้ หากมีสถานะเช่นตระกูลผูหยางคอยปกป้อง ย่อมดีต่อเ้าและเสี่ยวเหล่ยมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเ้าไม่อยากให้เสี่ยวเหล่ยเข้าสถานศึกษาส่วนตัวหรอกหรือ สถานศึกษาส่วนตัวบางแห่งไม่รับเด็กจากครอบครัวสามัญชนธรรมดา หากเ้าคิดใคร่ครวญเพื่อเสี่ยวเหล่ย ก็ต้องมีสถานะที่ดีพอปกป้องเขาด้วย"
พอเห็นสีหน้าเขาบึ้งตึง เซวียเสี่ยวหรั่นพลันตื่นตระหนก หลังฟังคำกล่าวของเขาแล้ว ก็ดูเหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง
"แต่เกรงจะรบกวนพี่ใหญ่ผูหยางมากไปน่ะสิ"
กล่าวถึงที่สุดแล้วเซวียเสี่ยวหรั่นแค่กังวลว่าเื่ของตนเองจะสร้างความวุ่นวายให้ผู้อื่น
"ไม่รบกวนสักนิด มิเห็นหรือ เขาอยากได้เ้ามาเป็ญาติผู้น้องของตนเองใจจะขาด" เหลียนเซวียนนึกถึง่ก่อนหน้านี้ ผูหยางชิงหลันแทบจะทำตัวติดกับเซวียเสี่ยวหรั่นตลอดเวลา พูดมากไม่จบไม่สิ้นจนน่าโมโห
เซวียเสี่ยวหรั่นนึกถึงท่าทางของผูหยางชิงหลันก็เกือบจะหลุดขำต้องเม้มริมฝีปากไว้
"เสี่ยวหรั่น เ้าไม่เชื่อข้าหรือ" เห็นนางไม่ยอมตกปากรับคำเสียที เหลียนเซวียนก็เริ่มวางหลุมพรางใหญ่
"เชื่อสิ" เซวียเสี่ยวหรั่นตอบอย่างไม่ลังเล
ดวงตาสงบนิ่งของเหลียนเซวียนมีกระแสลึกลับสายหนึ่งวาบผ่าน นางตอบอย่างแน่วแน่ ไร้ความลังเลแม้กระผีก ประหนึ่งว่าเป็ความชอบธรรมอันเหมาะสม
หัวใจของเขาสะท้านะเืดังถูกปะทะเข้ามาอย่างจัง
ชั่วชีวิตคนผู้หนึ่งจะมีโอกาสได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจโดยปราศจากเงื่อนไขจากใครสักกี่คนกัน
"เช่นนั้น เ้าก็ควรรู้ว่าสถานะที่ข้าเลือกให้ ล้วนเป็ประโยชน์ต่อตัวเ้าเอง"
ดวงเนตรของเขาทอประกายเจิดจ้า แต่น้ำเสียงกลับยิ่งลุ่มลึกแหบพร่า
เซวียเสี่ยวหรั่นพยักหน้า เธอรู้ว่าเขาหวังดีต่อเธอ
"เช่นนั้นเ้าจะรับปากหรือไม่"
เขาจดจ้องนางตรงๆ ประกายวับวาวั์ตาสุกสกาวยิ่งกว่าหมู่ดารายามราตรี ทำเอาเซวียเสี่ยวหรั่นมิอาจละสายตาไปได้
"เสี่ยวหรั่น พูดสิว่าได้หรือไม่" น้ำเสียงนุ่มลึกแฝงไปด้วยมนต์เสน่ห์ถามถึงอีกครา
"ได้..." เซวียเสวี่ยวหรั่นคล้อยตามโดยไม่รู้ตัว จึงพลั้งตอบว่าได้ออกไป
เหลียนเซวียนยิ้มทันทีที่ได้คำตอบตาม้า
เซวียเสี่ยวหรั่นถึงได้สติกลับมา
ปิดริมฝีปากด้วยความใ นี่เธอถึงกับหลุดปากตอบตกลงไปแล้ว?
เซวียเสี่ยวหรั่นถลึงตาใส่เหลียนเซวียน ที่ก่อนหน้านี้เธอไม่ให้คำตอบมาโดยตลอดก็เป็เพราะเธอมักรู้สึกว่าเขามีเจตนาขุดหลุมพรางรอให้เธอะโลงไป
เธอเชื่อเขา ใช่ ไม่ผิด
แต่บางเื่ ความคิดเห็นแตกต่าง มุมมองต่อสิ่งต่างๆ ก็ไม่ตรงกัน สิ่งที่เขาคิดว่าดีสำหรับเธอ แต่เธออาจไม่รู้สึกเช่นนั้นก็ได้
สรุปแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นจึงเกิดความรู้สึกเหมือนลงเรือโจรก็ต้องตามโจรไป
"แฮ่ม ประเสริฐ เมื่อตกลงกันได้แล้ว พวกเราก็ควรออกเดินทางเสียที" เหลียนเซวียนไม่ให้โอกาสนางเสียใจภายหลัง ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อตัวนอกที่ตากจนแห้งหมาดไปครึ่งหนึ่งแล้วมาสวมใส่ "เสวียนโกวจื่อ (ราสเบอร์รี่) เ่าั้ เ้ายัง้าอยู่หรือไม่"
ผลไม้สีแดงสดหลังจากล้างสะอาดแล้วก็วางอยู่บนแผ่นหินด้านข้าง
"เอาสิ จะไม่เอาได้อย่างไร" เซวียเสี่ยวหรั่นเบ้ปาก พลางเดินเข้าไปหยิบราสเบอร์รีสีแดงฉ่ำกลืนลงไปในคำเดียว รสเปรี้ยวอมหวานทำให้อารมณ์ของเธอดีขึ้นไม่น้อย
"จุ๊บจั๊บๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นกินราสเบอร์รี่คนเดียวจนหมด ผลเดียวก็ไม่เหลือให้เขา แต่ผลก็คือกินมากเกินไปจนฟันเริ่มเสียว
เจ็บจี๊ดที่รากฟัน
เซวียเสี่ยวหรั่นใบหน้าเหยเกเดินตามหลังเหลียนเซวียนไป
"ชอบสระน้ำแห่งนั้นหรือไม่"
เหลียนเซวียนประคองนางขึ้นไปบนโขดหินก้อนใหญ่ สระน้ำสีมรกตใสแจ๋วพลันปรากฏอยู่เบื้องหน้า
"ชอบสิ หน้าร้อนอย่างนี้เห็นแล้วสดชื่นดี" เซวียเสี่ยวหรั่นผงกศีรษะ พอเห็นสระสีมรกตก็ลืมความรู้สึกเสียวฟันไปจนหมดสิ้น
