โลกนี้มีคนอ่อนแอขี้ขลาดอยู่มาก แต่เมื่อใดก็ตามที่มีคนคอยสนับสนุนอยู่ด้านหลัง คนผู้นั้นจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ราวกับเป็คนละคนกับเมื่อก่อนที่ทำได้เพียงหวาดกลัวจนหัวหด
อย่างเช่นภรรยาของหูเอ้อร์หู่ในหมู่บ้าน นางถูกครอบครัวหูเอ้อร์หู่รังแกมานานหลายปี โดนก่นด่าโดนทุบตีอย่างไรก็ไม่เคยคิดตอบโต้ ท้ายที่สุด เมื่อพี่ชายที่เป็ทหารของนางกลับมาจากสนามรบ ทั้งยังได้ตำแหน่งเล็กๆ ในกองทัพ นับจากนั้นมาภรรยาของหูเอ้อร์หู่ก็สู้คน ไม่เพียงแต่ไม่ถูกคนตระกูลหูรังแกเท่านั้น นางยังก่นด่าหูเอ้อร์หู่กับแม่ยายเป็ประจำเสียอีก
เช่นเดียวกับหลินหวั่นชิว ที่เอาแต่พูดว่าสามีของข้า…เพราะถูกนายพรานเจียงตามใจจนเคยตัวเป็แน่
อันที่จริง หลินหวั่นชิวกลับไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่านับวันนางยิ่งพูดคำว่า ‘สามีของข้า’ ได้คล่องปากมากขึ้น
แค่อ้าปากนางก็สามารถกล่าวออกมาได้โดยไม่ต้องผ่านความคิด
แน่นอนเป็เพราะว่าคำนี้ใช้ได้ผลดีเช่นกัน เพียงนางกล่าวออกมาก็ทำให้ชาวบ้านที่มีเจตนาว่าร้ายหุบปากลงทันที
เนื่องจากในหมู่บ้านมีแค่ไม่กี่ครอบครัวที่มีวัว ซึ่งจะเข้าตำบลก็ต่อเมื่อมีงานเท่านั้นจึงถือโอกาสรับชาวบ้านไปด้วยกัน เก็บเงินคนละสองเหรียญทองแดง สินค้าหนึ่งตะกร้าเก็บสามหรือสี่เหรียญทองแดง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเกวียนของตระกูลหวางจะเข้าตำบล ยังไม่ทันได้ออกจากหมู่บ้านก็มีคนนั่งเต็มเกวียนเสียแล้ว
เนื่องด้วยราคาที่ถูก แค่สองเหรียญทองแดงชาวบ้านยังพอจ่ายไหว
“หวั่นชิว ท่านเก่งมากเลย!” หวางกุ้ยเซียงชูนิ้วโป้งให้หลินหวั่นชิวเมื่อออกจากหมู่บ้าน
ที่จริงแล้วเมื่อก่อนนางไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับหลินหวั่นชิวนัก หลินหวั่นชิวทำงานทั้งวัน หากนางชักช้าจะโดนก่นด่าโดนทุบตี ไม่มีเวลามาคบหากับเพื่อนในวัยเดียวกัน
ทว่าั้แ่มาอยู่กับเจียงหงหย่วน หลินหวั่นชิวได้มีที่พึ่ง นางไม่เพียงไม่อ่อนแออีกต่อไป แต่นางยังมีความห้าวหาญเด็ดเดี่ยว หวางกุ้ยเซียงชอบคนประเภทนี้มาก
“กุ้ยเซียง วาจาเ้าไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่ เ้าต้องเรียกนางว่าพี่สะใภ้” หวางฟู่กุ้ยที่กำลังขับเกวียนอยู่ หันมาจ้องหวางกุ้ยเซียงแวบหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของนาง
หวางกุ้ยเซียงแลบลิ้นใส่ “ได้ ข้าจำไว้แล้ว ต้องเรียกนางว่าพี่สะใภ้”
“พี่สะใภ้? กุ้ยเซียง พี่ชายเ้าแต่งงานั้แ่เมื่อไร?”
“กุ้ยเซียง คำนี้เ้าจะเรียกมั่วๆ ไม่ได้นะ”
“นั่นน่ะสิ ให้เรียกผู้อื่นว่าพี่สะใภ้ไปเสียหมด…เ้ายังไม่แต่งงาน ระวังชื่อเสียงตัวเ้าจะเสียหาย”
บรรดาสตรีที่ผ่านการแต่งงานแล้วบนเกวียนถึงกลับอยู่นิ่งไม่ได้ เมื่อได้ยินสองพี่น้องตระกูลหวางคุยกันจึงพูดแทรกขึ้น เพียงเพราะความกล้าหาญของหลินหวั่นชิวก่อนหน้านี้ทำให้พวกนางไม่กล้าเยาะเย้ยนางโดยตรง จึงทำทีเปลี่ยนไปคุยเื่ของหวางกุ้ยเซียงแทน
หวางกุ้ยเซียงหัวเราะเสียงเย็น “คงไม่รบกวนให้ท่านอาทั้งหลายต้องเป็ห่วง ข้าอยากเรียกนางว่ากระไรก็จะเรียกเช่นนั้น ไม่เกี่ยวกับพวกท่าน!” หวางกุ้ยเซียงเป็คนตรงไปตรงมา ไม่ชอบฟังสิ่งใดก็พร้อมที่จะโต้กลับ
“เด็กคนนี้นี่ เหตุใดไม่รักษาความหวังดีของพวกข้าบ้างเลย?”
“ใช่ มองเจตนาดีของพวกข้าเป็เจตนาร้าย”
“ก็ได้ พวกข้าเป็ห่วงเ้าไม่เข้าเื่เอง ลูกสาวบ้านอื่นไม่ฉลาด วันหน้าไม่ได้แต่งงานกับบุรุษดีๆ ล้วนแล้วไม่เกี่ยวกับพวกข้า”
บรรดาสตรีต่างพากันพูดเหน็บแนม หวางกุ้ยเซียงกระซิบข้างหูหลินหวั่นชิว “ถ้าตดเหม็น[1]ก็ปิดจมูกสิ ไม่เห็นจะต้องปล่อยออกมาพร้อมกัน”
“พรืด…” หลินหวั่นชิวกลั้นหัวเราะไม่อยู่ หลุดขำออกมา
นางรู้สึกอุ่นใจที่หวางกุ้ยเซียงปกป้องตัวเอง มองอีกฝ่ายเป็เพื่อนคนแรกนับั้แ่มาโลกนี้
หวางกุ้ยเซียงตะลึงงันเมื่อเห็นนางหัวเราะ “แม่เ้า! พี่สะใภ้ยิ้มแล้วงดงามยิ่งนัก หากข้าเป็บุรุษเพศคงหลงท่านจนตายเป็แน่”
ตอนอยู่บ้านตระกูลหลิน หลินหวั่นชิวไม่เคยมีเวลาล้างหน้าให้สะอาด หน้าตามอมแมมทั้งวัน ตอนนั้นคนในหมู่บ้านรู้แค่ว่านางรูปร่างดี หน้าตาเหมือนจิ้งจอก แต่ไม่ได้รู้สึกว่านางงดงาม
แต่ตอนนี้หลินหวั่นชิวแต่งตัวสะอาดสะอ้าน ถูกบ้านตระกูลเจียงเลี้ยงดูแค่สองวัน ช่างน่าแปลกที่ผิวของนางขาว…ราวกับเครื่องเคลือบ หน้าตาก็ราวกับเทพธิดาในภาพวาด
ดวงตาจิ้งจอกที่มองอย่างไรก็มีเสน่ห์
เหล่าหลินสองสามีภรรยาหน้าตาขี้เหร่นั่นมีลูกสาวงดงามเช่นนี้ได้อย่างไร?
ไผ่ไม่ดีก็ออกหน่อดีได้
เป็นังจิ้งจอกโดยกำเนิด สตรีบางคนคิดในใจ
“อย่ากล่าววาจาไร้สาระเช่นนั้น” หลินหวั่นชิวหุบยิ้ม แม่นางผู้นี้ทำท่าประจบน้ำลายไหล อยากได้สิ่งใดจากนางกัน
แต่เื่นี้ช่วยเตือนสติหลินหวั่นชิวเช่นกัน ที่นี่ไม่ใช่ยุคสมัยใหม่ที่มีกฎหมายรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม
หากใบหน้านี้ถูกคนชั่วถูกใจเข้าและมาฉุดตัวนางไป…เจียงหงหย่วนก็ไม่อยู่…หลินหวั่นชิวแค่คิดก็ขนลุกทั้งตัวแล้ว
นางรีบใช้มือถูเศษดินข้างเกวียนมาป้ายลงบนหน้า
“พี่สะใภ้ทำอันใด?” หวางกุ้ยเซียงถามอย่างไม่เข้าใจ
หลินหวั่นชิวตอบเสียงเบา “ข้าไม่อยากเป็ที่สะดุดตามากเกินไป”
“ชิ คิดว่าเ้าเป็เทพธิดาที่บุรุษคนใดพบก็หมายปองไปหมดหรืออย่างไร” คนที่เหน็บแนมรอบนี้เป็สตรีม้าย นามว่าจูกุ้ยฮวา
จูกุ้ยฮวาคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็สตรีผ่านการแต่งงานแล้วที่งดงามที่สุดในหมู่บ้านเค่าซาน ไม่เคยคิดว่าตอนนี้จะมีหลินหวั่นชิว
หลินหวั่นชิวไม่สนใจนาง หวางกุ้ยเซียงโมโหแต่ถูกหลินหวั่นชิวห้ามไว้
นางไม่ได้กลัวมีเื่ แต่ไม่อยากเสียเวลากับคนพวกนี้ต่างหาก
“พี่สะใภ้…”
“หมาเห่าเ้าสองที เ้าก็จะเห่ากลับหรือ ฝ่ายหนึ่งเป็สัตว์ ฝ่ายหนึ่งเป็คน อยู่คนละระดับ คุยกันไม่รู้เื่หรอก”
หวางกุ้ยเซียงปิดปากหัวเราะเมื่อได้ยินดังนี้ คนอื่นบนเกวียนต่างหัวเราะเช่นกัน จูกุ้ยฮวาไม่ใช่คนดีกระไร วันๆ มีแต่ยั่วผู้ชาย
อีกอย่าง ตลอดทางก็ไม่มีกระไรทำ มีเื่ตลกให้ดูก็ต้องดูอยู่แล้ว
“นังจิ้ง…เ้าว่ากระไรหลินหวั่นชิว? ผู้ใดเป็หมา?” จูกุ้ยฮวาอยากด่าว่านังจิ้งจอก แต่เมื่อสบตากับดวงตาเย็นยะเยียบของหลินหวั่นชิวกลับไม่กล้าพูด เพราะเมื่อครู่หลินหวั่นชิวเพิ่งจัดการอาสามสวีไป
มิหนำซ้ำ นางยังกลัวนายพรานเจียง
“ผู้ใดรับก็ผู้นั้นแหละ” หวางกุ้ยเซียงทิ้งคำพูดดูถูก ทำเอาจูกุ้ยฮวาพูดไม่ออก
“คืนเงิน ข้าไม่นั่งเกวียนเ้าแล้ว!” จูกุ้ยฮวาโมโห แต่หวางกุ้ยเซียงตวาดใส่ “ใครจะอยากได้เงินของเ้ากัน อยากลงก็ลงไปเลย แต่อย่าหวังว่าเ้าจะได้เงินคืน อีกประเดี๋ยวก็จะถึงแล้ว เ้าคิดจะนั่งแบบไม่จ่ายเงินหรือ ฝันไปเถิด!”
จูกุ้ยฮวาโมโหเดือดดาล สายตาของทุกคนบนเกวียนทำให้นางอึดอัดใจเป็อย่างมาก ใบหน้าของนางแดงก่ำ ได้แต่หันหน้าไปทางอื่นแล้วไม่พูดอะไรอีก
ไม่มีใครสนใจนาง บางคนก็คุยกันเล่น บางคนก็นั่งเหม่อ
เมื่อมาถึงตำบล หวางฟู่กุ้ยจอดเกวียนไว้หน้าถนน “เดี๋ยวข้าจะรออยู่ที่นี่ กลับหมู่บ้านหนึ่งชั่วยามก่อนเที่ยง ผู้ใดจะนั่งเกวียนกลับก็เชิญ”
“ได้เลย เข้าใจแล้ว”
“พี่สะใภ้ ท่านจะไปที่ใด? ข้าจะพาท่านไป” หวางฟู่กุ้ยถามหลินหวั่นชิวหลังจากที่ทุกคนลงจากเกวียนหมด
หลินหวั่นชิวยิ้มตอบ “พวกเ้าไปจัดการธุระของตัวเองเถิด ข้าจะไปร้านตำรา ดูว่ามีตำราราคาถูกให้หงหนิงหรือไม่ เด็กคนนี้ถึงวัยที่ต้องเล่าเรียนแล้ว”
“เช่นนั้นกุ้ยเซียง เ้าไปกับพี่สะใภ้เถิด ข้าจะไปส่งของ” หวางฟู่กุ้ยได้ยินดังนี้ก็ไม่ถามสิ่งใด คิดว่าเป็เจตนาของเจียงหงหย่วน
“ได้เลยเกอ” หวางกุ้ยเซียงตอบตกลง ควงแขนหลินหวั่นชิวเดินไปตามถนน
“กุ้ยเซียง เ้ารู้หรือไม่ว่าร้านตำราอยู่ที่ใด?” หลินหวั่นชิวถามนาง
“รู้ ข้าจะพาท่านไป” ทั้งคู่ไม่ได้เดินเที่ยวเตร่ หลินหวั่นชิวเดินไปกับหวางกุ้ยเซียง ในใจพลางคิดหาวิธีผละจากนาง
จังหวะที่เดินผ่านร้านปักเย็บ หวางกุ้ยเซียงเอ่ยขึ้นว่า “พี่สะใภ้ ร้านตำราอยู่ข้างหน้า ท่านรอข้าประเดี๋ยว ข้าเอางานปักไปส่งมอบเสร็จแล้วจะไปกับท่าน”
เชิงอรรถ
[1]ตดเหม็น หมายถึง คำพูดที่ไม่ดี หรือคำพูดแย่ๆ